ในใจลู่ยงได้แต่ร้องคร่ำครวญไม่หยุด
ฟังจากน้ำเสียงของเจียงซ่างเจินแล้ว ดูท่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่มีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน ดูเหมือนตบะของเซียนซือน้อยผู้นั้นจะไม่สูงนัก นั่นก็แสดงว่าต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง เป็นเหตุให้เจ้าประมุขสกุลเจียงเผยตัวอยู่ที่นี่แล้วก็ยังไม่กล้าลงมือสังหารอีกฝ่ายส่งเดช? หรือว่าจะเป็นลูกหลานสายตรงของผู้เฒ่าวิปริตสำนักใบถงผู้นั้น?
เจียงซ่างเจินพูดด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ได้ทำท่าว่าจะต่อสู้กับข้าอย่างสุดชีวิตตั้งแต่ตอนแรกที่พบหน้ากัน ข้าก็วางใจแล้ว พวกเราเดินขึ้นเขาพลางคุยกันไปด้วยดีไหม?”
เฉินผิงอันตอบรับอย่างเรียบง่าย “ดี”
สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินเคียงไหล่ไปกับเจียงซ่างเจิน
ลู่ยงตามติดมาด้านหลัง เผยเฉียนเดินมาอยู่บนบันไดขั้นเดียวกับเซียนดินก่อกำเนิดผู้นี้อย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ว่าเว้นระยะห่างอยู่หลายก้าว คอยแอบมองประเมินเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาผู้นี้
ขอแค่มีลางว่าลู่ยงจะหันหน้ากลับมา เด็กหญิงผิวดำเกรียมดุจถ่านก็จะเบี่ยงหน้าหันไปมองทัศนียภาพที่ห่างออกไปไกลทันที ไม้เท้าเดินป่าในมือเคาะลงบนขั้นบันไดดังป้อกๆๆ
ลู่ยงตกตะลึงอย่างมาก เด็กหญิงผู้นี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉลียวฉลาด
แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็มีตบะก่อกำเนิด ต้นอ่อนในการฝึกตนต้นหนึ่งดีหรือไม่ดี พอจะเดินไปได้ถึงความสูงประมาณไหน กลับยังพอจะมองออกอยู่บ้าง
เจียงซ่างเจินถามเรื่องตัวตนของผู้ติดตามทั้งสี่ท่านก่อน เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง หลังจากเจียงซ่างเจินรู้ความจริงว่าตัวเองเดาไม่ถูกสักคนเดียวก็ตบหน้าผาก เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “สายตาของข้าพอๆ กับลู่ยงเลยทีเดียว”
ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ ไม่คล้ายศัตรูคู่แค้นที่เมื่อมาเจอหน้ากันแล้วจะต้องตาแดงอย่างแค้นเคือง แต่กลับเหมือนสหายเก่ากลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง หรือไม่ก็เหมือนพี่น้องที่หลังจากผ่านหายนะมาด้วยกัน มิตรภาพยังคงอยู่ พบหน้ากันอีกครั้งเพียงยิ้มให้กันก็ลืมบุญคุณความแค้นทั้งหมดไป?
แต่ความจริงเป็นเช่นไรก็มีแค่เจียงซ่างเจินกับเฉินผิงอันเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
เจียงซ่างเจินถาม “การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีแต่การกระทบกระทั่ง อีกทั้งยังเกิดความขัดแย้งที่ไม่เล็กกับองค์ชายสองคนของต้าเฉวียนด้วย”
“อ้อ?”
เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าตำหนักลู่ ฮ่องเต้ต้าเฉวียนชื่อว่าอะไร?”
ลู่ยงรีบตอบคำถาม “หลิวเจิน”
เจียงซ่างเจินหันมองเฉินผิงอัน “ข้าไปนำตัวพ่อของพวกเขาให้มาขอโทษเจ้าดีไหม? ไปเมืองเซิ่นจิ่งใช้เวลาเร็วมากเลยล่ะ ไม่นานเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าตอนที่เจ้ากำลังกินอาหารเจของตำหนักพยัคฆ์เขียว หลิวเจินก็มายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว แต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีสำนักศึกษาต้าฝูเป็นผู้ดูแล เจ้าขุนเขาสำนักศึกษามีภูมิหลังไม่ธรรมดา มาจากจวนอิรยะแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีพี่ชายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษา ถึงเวลานั้นเจ้าแค่อย่าฆ่าหลิวเจินตายก็พอ ไม่อย่างนั้นข้าก็เช็ดก้นให้เจ้าได้ยากแล้ว แต่หากคิดจะป้อนหมัดให้ตาเฒ่าฮ่องเต้จนอิ่มย่อมไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ เจ้าช่วยบอกข้าทีได้ไหมว่าคราวนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร? กักตัวข้าไว้ที่ท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋ หลังจากนั้นจับตัวกลับไปที่สำนักกุยหยก?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เอามือเช็ดปาก พูดกลั้วหัวเราะขำขันอยู่กับตัวเอง “ระหว่างที่เร่งเดินทางหัวซุกหัวซุนมาที่นี่ ข้าเคยคิดว่าจะทำอย่างนี้จริง หาตัวเจ้ายากลำบากขนาดนี้ จะบอกว่าไม่โมโหเลยย่อมเป็นการโกหกตัวเองและโกหกคนอื่น อันที่จริงก็มีลูกศิษย์ของสำนักกุยหยกฝึกตนอยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวได้จริงๆ บอกกับเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ข้าไปอยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งมาวันหนึ่ง หลังจากเข้าใจการกระทำทุกอย่างของเจ้าโดยละเอียดแล้ว ข้ายังไปพบเจ้ากรมกลาโหมคนใหม่ที่แซ่เหยานั่นมาด้วย แต่ก็แค่มองดูเขาอยู่ไกลๆ แล้วก็บอกให้ลูกศิษย์ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งคนนั้นว่าหลังจากนี้จงคอยดูแลตระกูลเหยาให้ดี จากนั้นตัวข้าก็ตรงดิ่งมาที่ตำหนักพยัคฆ์เขียว เพื่อมาพบเจ้า”
เฉินผิงอันหยุดเดิน
เจียงซ่างเจินยังคงเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดพลางเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เมื่อไปถึงข้างบน ข้าจะบอกทุกอย่างกับเจ้าเอง”
เฉินผิงอันจึงตามเจียงซ่างเจินเดินเข้าไปในทะเลเมฆที่ล้อมวนอยู่รอบยอดเขาเทียนแจว๋ ระยะทางช่วงนี้มีเพียงหมอกขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เพียงแต่ว่าการมองเห็นเปิดกว้าง สามารถมองเห็นตำหนักใหญ่โตโอฬารแห่งหนึ่ง ที่แท้ก็ขึ้นเขามาถึงยอดเขาเทียนแจว๋แล้ว
ก่อนที่ทุกคนจะเดินเข้าไปในทะเลเมฆ ลู่ยงอยากจะเห็นหน้านังหนูคนข้างๆ ให้เต็มตาสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอหันหน้ากลับไป เผยเฉียนกลับยังคงเบี่ยงหน้าหลบเขาได้เหมือนเดิม
ลู่ยงยิ่งตกตะลึงมากกว่าเก่า
ทะเลเมฆที่ไหลวนล้อมยอดเขาชั้นนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของตำหนักพยัคฆ์เขียว คนธรรมดาหากเข้ามาอยู่ในนี้ก็จะเป็นการหล่นลงทะเลเมฆที่แท้จริง สิ่งที่สายตามองเห็นมีเพียงความว่างเปล่า
เฉินผิงอันยืนนิ่ง จัดสาบเสื้อให้เป็นระเบียบ ประคองปิ่นหยกขาวที่ปักอยู่บนมวยผม
เจียงซ่างเจินยังคงเดินไปข้างหน้าต่ออย่างสง่างาม ทว่าเดินไปได้หลายก้าวแล้วเห็นว่าเฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิมจึงหันหน้ากลับมา พบว่าคนหนุ่มที่สังหารติงอิงผู้นี้มีสีหน้าที่แปลกประหลาดยิ่ง
รอจนลู่ยง เผยเฉียนและพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนเดินมาถึงยอดเขา เฉินผิงอันก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
เผยเฉียนมองตามสายตาของเฉินผิงอันไป พบว่าตรงตำหนักมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่ ราวกับสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดที่สามารถทำให้เจ้าตำหนักและบุคคลยิ่งใหญ่จากสำนักกุยหยกลงไปต้อนรับด้วยตัวเองได้
พวกคนที่มามุงดูตรงตำหนักพยัคฆ์เขียวส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุไม่มาก บ้างก็เป็นเด็กหนุ่ม บ้างก็เป็นเด็กสาว แล้วยังมีเด็กน้อยที่อายุพอๆ กับเผยเฉียนอยู่อีกไม่น้อย
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ใช้มือหนึ่งกดศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเองก็เหมือนกับพวกเขา ยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ คอยมองคนอื่น”
เฉินผิงอันเดินหน้าต่ออีกครั้ง ติดตามเจียงซ่างเจินตรงไปยังท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่ทิศทางเดียวกับผนังหินเจียวหลงโปรยพิรุณ
ลู่ยงมองลูกศิษย์เหล่านั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่ละคนทำตัวให้เป็นที่ขำขันของคนอื่น จึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดเสียงหนัก “กลับไปฝึกตนกันให้หมด! ไร้ระเบียบเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ได้เรื่อง!”
เมื่อผ่านผนังหินที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เกินจะคาดเดา มีเจียวหลงผลุบโผล่อยู่ในก้อนเมฆไอหมอกให้เห็นได้เลือนราง เดินไปอีกประมาณสามสี่ลี้ก็ไปถึงท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋
นั่นคือเรือหลายชั้นขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมหน้าผา เบื้องใต้เรือคือนกสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินวนเวียนไปมา ราวกับว่าพวกมันอาศัยปีกในการประคับประคองและดันให้เรือใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ
อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน
เดิมทีเรือลำนี้ควรออกเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพียงแต่ว่าถูกเจ้าประมุขตระกูลเจียงรั้งเอาไว้ วิธีการของเขานั้นง่ายมาก ทุ่มเงิน
นอกจากตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่กล้าเก็บเงินเจียงซ่างเจินจริงๆ แล้ว ผู้โดยสารทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฝากล้วนได้รับเงินร้อนน้อยก้อนหนึ่งที่มูลค่าเท่ากับค่าเดินทางเพิ่มเติม ลู่ยงบอกให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งไปทำหน้าที่เป็นกุมารแจกทรัพย์นี้
แต่ก็มีพวกที่ตาไม่มีแวว ด่าทอหยาบคาย ไม่ยอมรับเงิน จะทวงคำอธิบายจากตำหนักพยัคฆ์เขียวให้ได้ ตำหนักพยัคฆ์เขียวไม่อาจมีเรื่องกับอีกฝ่าย เจียงซ่างเจินจึงขึ้นเรือ ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบผู้ฝึกตนโอสถทองที่มาจากทิศเหนือของใบถงทวีปผู้นั้นให้ร่วงจากเรือข้ามฟากบนฟ้าลงไปยังกลุ่มยอดเขาเตี้ยแห่งหนึ่งที่อยู่รอบภูเขาชิงจิ้ง รอจนตำหนักพยัคฆ์เขียวไปงัดเซียนดินโอสถทองที่ลมหายใจรวยรินคนนั้นออกมาจากผนังภูเขา สภาพของเขาสะบักสะบอมจนแทบทนมองไม่ได้ แต่พอรู้ตัวตนของเจียงซ่างเจินแล้ว ผู้ฝึกตนโอสถทองกลับยังลากเอาร่างที่บาดเจ็บของตัวเองกัดฟันเดินขึ้นเขาอีกครั้ง เพื่อมาขออภัยเจ้าประมุขสกุลเจียงที่เพิ่งจะปรากฎตัว ไม่ทันพูดจาก็ลงมือทำร้ายคนผู้นั้น
ลู่ยงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในสายตาทั้งหมด
เห็นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีนกบินล้อมวนลำนั้น เผยเฉียนตื่นเต้นสุดขีด แทบอยากจะร่ายวิชากระบี่อันบ้าคลั่งสักคำรบหนึ่ง นั่นเป็นวิชาที่ฟาดฟันกี่ทีก็เข้าเป้าทุกครั้งเชียวนะ
เว่ยเซี่ยนสี่คนก็เพิ่งเคยเห็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าสีหน้ายังคงเฉยเมย ทว่าในใจกลับปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด
ที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาลแล้ว
เจียงซ่างเจินยืนอยู่ข้างท่าเรือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคงส่งแค่ตรงนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เจียงซ่างเจินลังเลเล็กน้อย “ขอถามประโยคหนึ่งได้ไหม อาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของเจ้าคือใคร?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มเฉย
เจียงซ่างเจินยังคงไม่ถอดใจ “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หาใช่จงใจปิดบังเจ้าไม่ แต่เป็นเพราะข้าไม่มีอาจารย์ตามความหมายที่จริงจัง”
คนที่สอนเขาเผาเครื่องปั้น คือผู้เฒ่าเหยาที่ไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ คนที่สอนปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้เขาคืออาเหลียง คนที่สอนวิชาหมัดให้เขาคือผู้เฒ่าแซ่ชุยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ คนที่สอนความรู้ให้เขาคืออาจารย์ฉีและซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง
คนที่สอนให้เขาเป็นคนดี คือพ่อแม่
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างจนใจ “ก็ได้ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ครั้งนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีคนไหว้วานมา บอกให้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้เจ้า ข้าบรรจุไว้ในขวดใบหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้ว เจ้ารับไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดควรเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นทันที ก่อนหน้าที่เจ้าจะไปถึงสถานที่ที่เจ้ารู้สึกว่าปลอดภัยอย่างแท้จริงก็ห้ามเอาออกมาอีก”
เฉินผิงอันออกเดินทางไกลสองครั้งจึงพบเห็นอะไรมาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเคยเห็นส่งหัวคนพันลี้ที่นอกป้อมอินทรีบิน
แต่เจียงซ่างเจินที่เป็นคู่แค้นกับตนกลับเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อนำของมามอบให้ตน ตีให้ตายเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเชื่อ
เจียงซ่างเจินเห็นแววระแวดระวังในสายตาของเฉินผิงอันที่ไม่คิดปิดบังตนแม้แต่น้อยก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ร่ายฟ้าดินขนาดเล็กสกัดกั้นวิชาอภินิหารทุกอย่าง ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสำนักฝูจี เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เจียงซ่างเจินชี้ไปที่ตัวเอง “หลังจากปีศาจใหญ่ตนนั้นได้รับบาดเจ็บก็อาศัยเนื้อหนังที่หนาทนทานหนีไปยังทะเลตะวันตก ส่วนข้าก็เป็นหนึ่งในสามคนที่ตามไปไล่ฆ่าปีศาจใหญ่พอดี อีกสองคนที่เหลือคือซ่งเหมาเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง และยังมีตาแก่สารเลวที่ดูแลทำเนียบผังตระกูลของสำนักใบถงอีกคนหนึ่ง ปีศาจใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ว่าข้ากับสำนักใบถงต่างก็ไม่คิดจะลงมือสังหารมันให้ตาย ด้วยกลัวว่าจะทำให้ปีศาจใหญ่เกิดร้อนใจคิดใช้วิธีที่ทำให้พินาศกันไปทั้งสองฝ่าย เป็นการทำลายตบะของพวกเราเอง เลยคิดจะค่อยๆ เผาผลาญพลังปีศาจใหญ่ไปทีละน้อย ตลอดทางยังได้ชมทิวทัศน์งดงามพลางคุยเล่นกันไปด้วย”
เฉินผิงอันรู้ว่าการเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นย่อมไม่ได้เรียบง่ายผ่อนคลายอย่างที่เจียงซ่างเจินพูดแน่นอน
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตก พูดอย่างสะท้อนใจ “จากนั้นพวกเราสามคนก็เจอกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ปราณกระบี่ของเขาท่วมทะยานฟ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีจิตใจของผู้ผดุงคุณธรรมมาตั้งแต่เกิด นิสัยก็ดี ไม่เพียงแต่ฟันปีศาจใหญ่ให้ตายด้วยกระบี่เดียว ยังพูดคุยกับพวกเราอย่างมีเหตุผล ยิ่งไม่โลภอยากครอบครองร่างของปีศาจใหญ่…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เจียงซ่างเจินก็ตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง “แต่งเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ …”
ดวงตาของเจียงซ่างเจินพลันเฉียบคม จ้องเฉินผิงอันเขม็ง “ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นถามว่าใครรู้จักเจ้าเฉินผิงอัน ข้าก็เลยบอกไปตามตรง เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่จากไปแล้วย้อนกลับมา บอกว่าโอสถปีศาจเป็นของข้าแล้ว พูดแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น คนของภูเขาไท่ผิงและสำนักใบถงไม่มีความเห็นต่างใดๆ ปล่อยให้ข้าควักเอาโอสถปีศาจที่ล้ำค่าที่สุดในร่างของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองมา ข้าเข้าใจความต้องการของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นดี ถึงได้มาหาเจ้าก็เพื่อนำโอสถปีศาจมอบให้ถึงมือเจ้า”
สีหน้าของเฉินผิงอันเป็นปกติ “ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นข้ารู้จัก ชื่อจั่วโย่ว”
รู้จัก?
แค่นี้เนี่ยนะ?
จั่วโย่ว?
ช่างเป็นชื่อที่ประหลาดและไม่คุ้นหูเอาซะเลย
หรือว่าจะเป็นเซียนกระบี่หนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวในช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้จริงๆ?
เจียงซ่างเจินอยากจะเต้นผางสบถด่ามารดา เขาจ้องตาเฉินผิงอันนิ่ง ในมือมีขวดกระเบื้องงามประณีตสูงครึ่งแขนโผล่มาใบหนึ่ง “เจ้ารู้มูลค่าของโอสถปีศาจเม็ดนี้ไหม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องเป็นเซียนกระบี่แบบใดถึงจะสามารถสังหารปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงได้ด้วยกระบี่เดียว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า แต่แล้วก็พยักหน้า “มูลค่าของโอสถปีศาจข้าไม่รู้ แต่วิชากระบี่ของจั่วโย่ว ข้ารู้ดี จั่วโย่วเคยพูดกับข้าเองว่า ปณิธานกระบี่ของเขาต่ำกว่าอาเหลียง วิชากระบี่…สูงกว่าอาเหลียง ข้าเชื่อเขา”
—–