เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเผยเฉียนที่มีสีหน้าปิติยินดี เตรียมจะเปิดบาดแผลของผู้อื่นแล้วตวาดอย่างขุ่นเคือง “หุบปาก! กลับไปขอโทษเดี๋ยวนี้!”
เผยเฉียนตกใจเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ขอบตาพลันแดงก่ำ รีบวิ่งกลับไปที่ระเบียง เตรียมจะเปิดปากเอ่ยขอโทษเว่ยเซียน เว่ยเซี่ยนกลับตบศีรษะเล็กของนาง “ช่างเถอะ จะร้องไห้ไปไย เรื่องใหญ่แค่ก้น คราวหน้าเจ้าค่อยเลี้ยงถังหูลู่ข้าบ้างก็พอ”
เผยเฉียนรีบตอบรับทันใด แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่อยู่ในห้องอย่างขลาดๆ จบกัน โกรธจริงๆ ด้วย
นางรีบกอดขาของเว่ยเซี่ยน พูดเสียงสะอื้น “อีกเดี๋ยวถ้าพ่อข้าโยนข้าลงจากเรือ เจ้าต้องคว้าข้าไว้ให้ทันนะ”
เว่ยเซี่ยนระอาใจยิ่งนัก จึงหันหน้าไปมองในห้อง พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรจริงๆ”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า
เพียงแต่ว่าพอยืนขึ้นกลับพูดกับเผยเฉียนว่า “มานี่”
แล้วจึงพาเผยเฉียนไปยังห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ เผยเฉียนรีบปิดประตูลงอย่างว่องไว แล้วจึงทำไหล่ลู่คอตก ยอมรับผิดไม่ขาดปาก ท่าทางน่าสงสารราวกับว่าต่อให้โดนตีก็จะไม่ตอบโต้
เฉินผิงอันพูดเสียงหนัก “เหล่าเว่ยใช่เพื่อนของเจ้าหรือไม่?!”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ไม่กล้าโกหก จึงตอบไปตามตรง “ครึ่งหนึ่ง”
เผยเฉียนรีบพูดเสริมอีกประโยคอย่างรวดเร็ว “ครึ่งหนึ่งก็ถือว่ามากแล้ว เสี่ยวป๋ายยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย แต่เหล่าเว่ยใช่”
เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับเพื่อน ในหนังสือสองเล่มนั้นบอกไว้ว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนพูดตอบโดยไม่ต้องคิด “มิตรภาพกับคนเที่ยงตรง มิตรภาพกับคนซื่อสัตย์ มิตรภาพกับคนได้สดับฟังมา มาก เป็นประโยชน์ หากสหายทำผิด ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมชักนำเขาไปในทางที่ดี หากสหายไม่ยอมรับความหวังดีก็ให้ปล่อยไป มิจำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว หนึ่งวันทบทวนตัวเองหลายครั้ง ถือว่าพยายามทำเพื่อคนอื่นอย่างเต็มกำลังแล้วหรือไม่? วิญญูชนปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ…”
เผยเฉียนพูดรัวเหมือนเทเมล็ดถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำได้ข้อไหนบ้าง?”
เผยเฉียนก้มหน้าลง พึมพำเสียงเบา “ในตำราว่าไว้ ไม่ใช่เจ้าว่าไว้สักหน่อย”
เฉินผิงอันโมโหหนักเข้าไปใหญ่
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ข้าผิดไปแล้ว นอกจากจะไม่ควรล้อเลียนเหล่าเว่ยแล้ว เหล่าเว่ยปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ ข้าก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจเช่นกัน”
สีหน้าของเฉินผิงอันถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดหน้าดำคร่ำเครียดว่า “เอาตำราไปท่องดังๆ ที่ระเบียง”
เผยเฉียนถาม “ข้าท่องได้หมดแล้ว ไม่ต้องเอาตำราไปได้ไหม?”
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะโมโหอีกครั้ง เผยเฉียนก็รีบหมุนตัวกลับเตรียมวิ่งไปทันที บอกว่านางต้องถือหนังสือไว้ ไม่อย่างนั้นจะดูไม่จริงใจมากพอ ย่อมผิดต่ออริยะปราชญ์ผู้เขียนหนังสือ
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที
นึกถึงกู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิงขึ้นมาอีก
พอๆ กันเลย
บนระเบียง สองมือของเผยเฉียนถือตำราไว้สูง ไม่ต้องพลิกเปิดหน้าหนังสือก็เริ่มท่องด้วยเสียงอันดัง ตอนที่แสร้งทำเป็นพลิกเปิดหน้าหนังสือ ยังหันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนด้วยรอยยิ้มเสียงเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “เหล่าเว่ย พ่อข้ารู้สึกว่าคำพูดยอมรับผิดของข้าครั้งนี้ พูดได้ถูกต้องอย่างมาก”
เว่ยเซี่ยนยกนิ้วโป้งให้ แสดงถึงการชื่นชม
เผยเฉียนโคลงศีรษะไปมา
ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนเขกมะเหงกใส่
เผยเฉียนไม่กล้าหันหน้ากลับไป ตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ไม่กล้าแล้วจริงๆ…”
จูเหลี่ยนอืมหนึ่งที เอามือไพล่หลังหันตัวกลับแล้วเดินจากไป “ดีมาก เด็กคนนี้สั่งสอนได้ ยังมีทางเยียวยา”
เผยเฉียนหันขวับกลับมา เตรียมจะสู้ตายกับตาแก่สารเลวผู้นี้ ผลกลับเห็นว่าเฉินผิงอันเพิ่งเดินออกมาจากห้องหนังสือพอดี จึงต้องข่มกลั้นโทสะนี้เอาไว้ หันหน้ากลับไปท่องหนังสือต่อแต่โดยดี
สุดท้ายเผยเฉียนยังท่องหนังสืออยู่บนระเบียง สุยโย่วเปียนจากไปนานแล้ว เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนก็แยกย้ายจากไปด้วย
ดังนั้นจึงเหลือแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งข้างโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามคือเฉินผิงอัน
หลูป๋ายเซี่ยงถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านไม่ถามข้าถึงเนื้อหาในประโยคนั้นของข้าหรือ?”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา รินเหล้าใส่จอกสองใบ ยื่นส่งให้หลูป๋ายเซี่ยงหนึ่งใบ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อยากพูดก็พูด เจ้าไม่อยากพูด ข้ายังจะทำอะไรได้อีก”
จูเหลี่ยนเคยเข้าใจว่าการที่เฉินผิงอันใกล้ชิดสนิทใจกับหลูป๋ายเซี่ยงเพราะฝ่ายหลังพูดประโยคนั้นออกไปเป็นคนแรก ถึงถูกมองว่าเป็น ‘คนทรยศ’ ที่ยอมสวามิภักดิ์ก่อน
แต่ตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว จนถึงทุกวันนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ยังไม่เคยพูด เขาเป็นคนสุดท้ายในสี่คนของม้วนภาพวาดด้วยซ้ำ
หลูป๋ายเซี่ยงมีสีหน้าปั้นยาก ดื่มเหล้าไปหนึ่งจอกแล้วถึงกล่าวว่า “ประโยคนั้นของข้า อันที่จริงน่าจะไม่มีความหมายมากที่สุดเมื่อเทียบกับพวกเขาสามคน ‘จ่ายเงินเหมือนน้ำไหล ดีใจหรือไม่’”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เป็นลักษณะการพูดของคนผู้นั้นจริงๆ”
หลูป๋ายเซี่ยงถาม “วันหน้าไม่เรียกว่านายท่านแล้วได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ฟังแล้วดูมีบารมีดี”
ไม่ว่าอย่างไรหลูป๋ายเซี่ยงก็คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบแบบนี้ เดิมทีนึกว่าเฉินผิงอันจะต้องรับปากเสียอีก
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ต้องเรียกก็ได้ ข้าแค่ล้อเล่น”
หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า กุมหมัดคารวะ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฉินผิงอันปฏิบัติต่อข้าดุจวีรบุรุษแห่งแคว้น หลู่ป๋ายเซี่ยงย่อมตอบแทนกลับด้วยการกระทำของวีรบุรุษแห่งแคว้น”
เฉินผิงอันได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย “ประโยคนี้หากเปลี่ยนมาเป็นจูเหลี่ยนที่พูด ข้ายังพอจะชินอยู่บ้าง แต่พอเจ้าพูด กลับไม่ค่อยคุ้นเคยนัก”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มแล้วเอ่ยลาจากไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง ผ่านไปนานมาก เสียงท่องหนังสือยังคงดังอยู่ เขาถึงพูดขึ้นว่า “กลับเข้ามาในห้อง”
เผยเฉียนกำลังรอประโยคนี้อยู่เหมือนกัน นางปิดหนังสือ วิ่งกลับเข้ามาในห้องอย่างร่าเริง นั่งแปะลงบนม้านั่ง รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ไม่แค้นข้าจริงๆ หรือ?”
“หา?”
เผยเฉียนมีสีหน้างงงันอย่างที่ไม่ได้แกล้งทำ “ทำไมต้องแค้นล่ะ?”
เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่พูดคำใด
เผยเฉียนกล่าวอย่างน่าสงสาร “วันนี้ไม่ต้องคัดตัวอักษรแล้วได้ไหม เดินขึ้นบันไดมาตั้งมากขนาดนั้น เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น เฉินผิงอันตบยันต์แผ่นหนึ่งแปะลงบนหน้าผากเผยเฉียน “ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
เผยเฉียนกำลังจะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดี เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นเสียก่อนว่า “กลับไปคัดหนังสือที่ห้องตัวเอง”
เผยเฉียนใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าตนได้กำไรก้อนใหญ่ จึงหยิบห่อสัมภาระมาสะพายบนไหล่ ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ กระโดดโลดเต้นกลับไปคัดตัวอักษร
เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียง
นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเซียน?
……
สุยโย่วเปียนนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ในห้องของตัวเอง บนโต๊ะวางกระบี่ชือซินที่ยิ่งนานก็ยิ่งคมกริบ หล่อเลี้ยงกระบี่มานานขนาดนี้ สุยโย่วเปียนจึงสามารถสัมผัสถึงปณิธานกระบี่ที่ไหลวนเวียนอยู่ข้างในฝักกระบี่ได้อย่างชัดเจน
ปณิธานกระบี่มิใช่ปราณกระบี่
และหลังจากศึกใหญ่ในคืนนั้นปิดฉากลง นางก็ได้ติดตามเฉินผิงอันเดินออกไปจากวัดร้าง
คนทั้งสองสนทนากันพักหนึ่ง
บางคำพูดของเฉินผิงอันค่อนข้างจะไม่เกรงใจกันสักเท่าไหร่
“เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสองเหรียญที่จ่ายไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าใช้คืน แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง พวกเขาสามคนใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองของข้า ต้องคืนหรือไม่ ยังไม่สรุป แต่เจ้าจำเป็นต้องคืน แต่ว่าจะคืนเมื่อไหร่ ไม่สำคัญ เพียงแต่ข้าต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อน คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าต้องมาแตกหักกัน”
บางคำพูดก็ทำให้คนฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
“เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพูดเรื่องการฝึกตนและวิถีกระบี่กับเจ้า ข้าเคยพบผู้ฝึกกระบี่สองคนที่ไม่ว่าจะเป็นเวทกระบี่หรือปณิธานกระบี่ก็แทบจะแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาแล้ว แม้ข้าจะเพิ่งฝึกกระบี่ได้ไม่นาน แต่ข้าก็รู้แล้วว่าจุดที่สูงที่สุดของปณิธานกระบี่กับเวทกระบี่บนโลกนี้นั้นอยู่ที่ไหน แค่ค่อยๆ เดินทีละก้าวจนไปถึงที่นั่นก็พอ”
บางคำพูดก็ลึกลับ
“เรื่องของการฝึกตน สำคัญที่ด่านเคาะใจตัวเอง พวกเจ้าสี่คนล้วนเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว มีทางของตัวเองให้เดิน อีกทั้งยังจะเดินไปได้หนักแน่นมั่นคงเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสุยโย่วเปียนที่ใจคิดถึงแต่ความอภินิหารเลิศล้ำของเวทกระบี่ ยิ่งปณิธานของเจ้าสูงส่งมากเท่าไหร่ ตอนนี้เจ้าก็ยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น แต่ข้าเชื่อว่าสวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน!”
สุดท้ายสุยโย่วเปียนถามเฉินผิงอันว่าเหตุใดมีเพียงนางที่จำเป็นต้องคืนเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
ตอนนั้นเจ้าหมอนั่นตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า “ข้ามีแม่นางที่ชอบแล้ว คราวหน้าที่ข้าไปหานาง แล้วนางจะตรวจสอบทรัพย์สินของข้า หากไม่ตรงกับบัญชีเดิมขึ้นมา อีกทั้งสาเหตุยังเป็นเพราะสตรีคนอื่น ข้าจะอธิบายกับนางอย่างไร?”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ ศึกใหญ่เพิ่งปิดฉากลง
ท่ามกลางม่านราตรี ใต้หล้าแห่งนี้มีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่สองดวง
ตรงกระท่อมสองหลังหนึ่งใหม่หนึ่งเก่าที่อยู่บนทางเดินม้า หนิงเหยานั่งอยู่บนกำแพงเมืองที่ตรงกับกระท่อมพอดี บนเข่านางวางมีดทับกระโปรงและกระบี่ไม้ไหวเอาไว้ หญิงสาวกำลังเหม่อลอย
เซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชื่อว่าเฉิงชิงตูมานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายหนิงเหยา “ในเมื่อมีเวลาว่างชั่วคราว ถ้าอย่างนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่สามารถบอกกับเจ้าได้แล้ว”
หนิงเหยาหันหน้ามามองอย่างสงสัย
ผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “กระบี่ปราณยาวเล่มนั้น เดิมทีข้าคิดจะมอบให้เจ้าในอนาคต”
ผู้เฒ่าโบกมือ ตัดบทไม่ให้หนิงเหยาเอ่ยแทรก “แต่การโจมตีของเผ่าปีศาจครั้งนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ข้ากลัวว่าหากมอบให้เจ้าแล้วกลับจะกลายเป็นเรื่องร้าย พอดีกับที่เฉินผิงอันต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ ข้าจึงบอกให้เขาสะพายปราณยาวไปที่อารามกวานเต๋าในใบถงทวีป ก่อนจะยืมกระบี่ไป ข้าได้พูดกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า เมื่อสะพายกระบี่ปราณยาวมีข้อดีมากมาย แต่ข้อเสียกลับมากยิ่งกว่า ต้องแบกรับผลกรรม คือผลกรรมใหญ่ระหว่างหนิงเหยากับเผ่าปีศาจ”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนั้น…เผยสีหน้าและแววตาที่แตกต่างไปจากปกติอย่างมากออกมาเป็นครั้งแรก ต่อให้ตอนที่เขาต่อสู้กับเฉาสือ พวกเราอยู่ด้านข้างเห็นเขาแพ้ติดต่อกันสามครั้ง แต่สายตาของเฉินผิงอันก็ยังไม่เป็นประกายเจิดจ้าเช่นนั้นมาก่อน ทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้งยิ่งนัก”
เฉาชิงตูหันหน้ามาถาม “แม่หนูหนิง ทำไมเจ้าไม่โกรธล่ะ? ไม่โทษที่ข้ากระทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น ทำให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายรึ?”
มุมปากหนิงเหยากระตุกขึ้น “โกรธ? ข้าไม่โกรธ ข้าคือหนิงเหยา! เขาคือเฉินผิงอัน!”
ฮึกเหิมและเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา
ราวกับกำลังพูดว่า คนที่ข้าหนิงเหยาชอบเต็มใจทำเช่นนี้ นางไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว!
เฉาชิงตูกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินไปทางกระท่อมพลางจุ๊ปากพูด “ดึกดื่นค่ำคืนต้องมาโดนทิ่มแทงแบบนี้ ข้านี่ก็หาเรื่องใส่ตัวซะจริง”
หนิงเหยาใช้สองมือเท้าคาง เริ่มคิดถึงเขา
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
ฮ่า เหตุใดข้าถึงได้สายตาดีขนาดนี้นะ?
แต่จู่ๆ นางกลับขมวดคิ้ว นึกถึงบทสนทนาครั้งหนึ่งในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงขึ้นมาได้ “หา? ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับเป็นข้าเองที่สมองมีปัญหา สายตาไม่ดีหรือนี่?!”
นางลุกขึ้นยืน เก็บมีดทับกระโปรงที่เคยให้เขายืม รวมไปถึงกระบี่ไม้ไหวที่ขอยืมเขามา จากนั้นก็เริ่มออกหมัดและเดินเลียนแบบเจ้าทึ่มนั่น พูดพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “มือเดียวของข้าหนิงเหยาสามารถตีเซียนกระบี่ใหญ่เฉินผิงอันได้ห้าร้อยคน!”
นางหยุดเดินหมุนตัวกลับ มองไปทางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยกสองแขนขึ้นกอดอก สีหน้าสดใสเบิกบาน “แค่ถามพวกเจ้าว่ากลัวหรือไม่กลัว?!”
……
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด ดีนักนะ หากมีวันนั้นจริงๆ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่กล้าไม่กลัวอีก?
……
ตอนนั้นที่อยู่ข้างท่าเรือบนยอดเขาเทียนแจว๋
สุดท้ายเจียงซ่างเจินถามปัญหาข้อเล็กๆ ข้อหนึ่งกับเฉินผิงอัน
“เหตุใดถึงต้องสนใจความรู้สึกของพวกลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียว? อีกอย่างเจ้าทำอย่างนั้นเพราะ…อยากสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่พวกเขา? เพื่ออะไร? จำเป็นด้วยหรือ?”
แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินย่อมมองคาถาอำพรางตาออก รู้ดีว่าทั้งชุดคลุมอาคมจินหลี่และน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ไม่ธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้เจียงซ่างเจินรู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงคือปิ่นหยกสีขาวที่เฉินผิงอันปักไว้บนมวยผม เป็นเพียงปิ่นหยกธรรมดาชิ้นหนึ่ง
เขาตั้งใจสังเกตก็เห็นว่าบนปิ่นสลักตัวอักษรเล็กๆ แปดคำ
หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก