เรือข้ามฟากลำนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ ก่อนจะไปถึงนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปยังต้องจอดเทียบท่าอีกสามครั้ง ท่าเรือที่อยู่ทางเหนือสุดก็คือท่าเรือฉางชุนซึ่งอยู่นอกภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักใบถง สี่ฤดูของที่นี่ล้วนเป็นดั่งฤดูใบไม้ผลิ
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันคิดแต่อยากจะไปถึงนครมังกรเฒ่าอย่างสงบสุขปลอดภัย เวลาที่จอดเทียบท่าเรือทั้งสามแห่งนี้รวมกันแล้วก็เกือบสิบวัน เขาไม่ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนลงจากเรือไปเดินเล่นตามร้านค้าต่างๆ ของท่าเรือ เด็กหญิงผิวดำเกรียมจึงได้แต่ยกม้านั่งมานั่งบนระเบียง มองภาพความเจริญรุ่งเรืองที่ผู้คนเบียดเสียดกันอย่างแออัดตรงท่าเรือทั้งสามแห่ง บางครั้งเว่ยเซี่ยนก็จะมาคุยเล่นเป็นเพื่อนเผยเฉียน
แต่ว่าถึงแม้จะไม่ได้ลงจากเรือ เฉินผิงอันกลับขอให้ผู้ดูแลอาวุโสของตำหนักพยัคฆ์เขียวช่วยไปซื้อของมาให้หลายอย่าง พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนเองก็มอบใบรายการให้กับผู้ดูแล
เว่ยเซี่ยนต้องการตำราที่บอกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่ต่างๆ หลูป๋ายเซี่ยงซื้อกู่ฉินของเชื้อพระวงศ์ในวังที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านคันหนึ่ง สุยโย่วเปียนไม่ได้ต้องการอะไร ยังคงวางท่าว่ามีเพียงกระบี่อยู่ข้างกายก็เพียงพอแล้วเหมือนเดิม จูเหลี่ยนกลับเขียนรายการหนังสือมายาวเหยียด ผลคือเฉินผิงอันบอกว่าให้จูเหลี่ยนเก็บกลับไป บอกว่าท่าเรือตระกูลเซียนไม่ขายหนังสือพวกนี้ เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าแล้วให้เขาไปเลือกหาด้วยตัวเองในร้านหนังสือของหมู่ชาวบ้าน จูเหลี่ยนเสียดายอย่างสุดแสน ทว่าก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด เดิมทีนิยายกองโตที่ผู้เฒ่าหลังค่อมคิดจะซื้อนั้น ลำพังแค่ดูจากชื่อหนังสือบนหน้ากระดาษ เฉินผิงอันก็รู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะแล้ว ให้ตายก็ไม่ยอมมอบให้แก่ผู้ดูแลเรือ เพราะเขาไม่อาจขายหน้าด้วยเรื่องนี้ได้จริงๆ
เฉินผิงอันนอกจากจะฝึกท่ายืนนิ่ง เดินนิ่ง นอนนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแล้ว วิชากระบี่ที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ก็ไม่ได้ละทิ้ง ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างก็สามารถฝึกด้วยกันได้ นอกจากนี้ยังศึกษาคาถาตระกูลเซียนบทนั้นด้วย แม้ว่านี่จะเป็นวิชาชั้นสูง ทว่าการหลอมวัตถุบนโลกกลัวเรื่องไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจทำงานได้ดีมากที่สุด ต่อให้มีฝีมือเลิศล้ำก็ไม่อาจลงมือได้ กระบี่บินชูอีและสืออู่ที่เนื่องจากไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เฉินผิงอันหลอมเอง ดังนั้นเขาจึงแค่ต้องเลี้ยงกระบี่ก็พอ อีกทั้งยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่าง ‘เจียงหู’ ลูกนี้ เขาจึงยิ่งไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเข้าไปอีก แต่หากตนหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วยตัวเอง จำนวนและมูลค่าของวัตถุดิบล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ก็มากจนทำให้คนอ้าปากค้างได้อย่างแท้จริง ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเหมือนหลุมที่ไร้ก้นมากเท่านั้น
ประโยค ‘จ่ายเงินเหมือนน้ำไหล’ ที่นักพรตผู้เฒ่าตงไห่เจ้าอารามกวานเต๋าผู้นั้นให้หลูป๋ายเซี่ยงนำมาบอกต่อ นอกจากจะต้องการสัพยอกแล้ว ยังเป็นเรื่องจริงที่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจล้มล้างได้
ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะสร้างมาได้เกินครึ่ง ประตูใหญ่ของจวนเปิดอ้า ต้อนรับแขกจากแปดทิศ ยิ่งอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เฉินผิงอันก็ยิ่งอันตราย ดังนั้นตอนอยู่บนสะพานหินโค้งที่ใกล้กับยอดเขาเทียนแจว๋ของภูเขาชิงจิ้ง เฉินผิงอันถึงได้สะดุดล้มหัวทิ่ม ตอนนั้นเขายังไม่สามารถควบคุมชุดคลุมอาคมจินหลี่ให้ไปขัดขวางการพุ่งทะยานดุจกองทัพม้าเหล็กของปราณวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปราณวิญญาณจึงเกิดปะทะกับลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในร่างกาย ถึงได้เสียการควบคุม
ต่อให้ชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสามารถรับและถ่ายโอนปราณวิญญาณได้มากแค่ไหน แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังมีขีดจำกัด หากจินหลี่กักเก็บน้ำไว้จนเต็มอิ่มแล้ว ปล่อยให้ปราณวิญญาณพุ่งไปตามช่องโพรงลมปราณใหญ่แต่ละแห่งในร่างกายก็ถึงคราวที่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันต้องถดถอยลงแล้ว
ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ว่าควรจะเลือกอะไรมาหลอมเป็นสมบัติอาคมชิ้นแรกของถ้ำสวรรค์ หากเลือกน้ำของห้าธาตุก็จะง่ายหน่อย เพราะบนแผ่นหยกนั้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้ยกการหล่อหลอมน้ำเป็นตัวอย่าง อธิบายถึงมหามรรคาที่ซุกซ่อนอยู่ในบทความขอฝน อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมน้ำคร่าวๆ หนึ่งในนั้นได้เน้นย้ำถึงวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญอย่าง ‘แก่นน้ำ’ สมบัติทุกชิ้นที่สามารถรวบรวมแก่นของการโคจรทางน้ำเอาไว้ได้ล้วนถือเป็นแก่นน้ำ เพียงแต่ว่าระดับขั้นมีความแตกต่าง น้ำในลำคลองที่พ่อปู่ลำคลองเฝ้าบัญชาการณ์กับน้ำในแม่น้ำที่ตำหนักมังกรโบราณพิทักษ์ดูแล สมบัติแห่งแก่นน้ำที่เกิดขึ้นมาตามโอกาสย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
สามารถพูดได้ว่าใช้แก่นน้ำระดับใดมา ‘หลอมน้ำ’ ก็จะเป็นตัวตัดสินระดับขั้นสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำของเฉินผิงอันโดยตรง
เรือข้ามฝากจอดอยู่ข้างท่าเรือฉางชุน เผยเฉียนยืนอยู่บนม้านั่งมองไปทางท่าเรือ จ้องตาเป็นมัน กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันเวลานี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะคือตราประทับตัวอักษรน้ำที่น่ารักและน่าใกล้ชิดสนิทสนม เขาเองก็กลุ้มเหมือนกัน
ที่กลุ่มยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เฉินผิงอันเข้าใจวิชาที่ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บทนั้นได้อย่างลึกล้ำแล้ว จึงเดาได้ว่าหากเขาหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ทุกครั้งที่ประทับมันลงไปเพื่อช่วยให้เทพวารีบนโลกซึ่งมีวาสนากับเขาได้ยกระดับโชคชะตาน้ำ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิด ข้อดีก็คือเดิมทีเมื่อประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ตราประทับตัวอักษรน้ำก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งส่วน แต่คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาอีกต่อไป ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าน้ำของห้าธาตุ เขาจะเลือกหล่อหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนี้แหละ!
เมื่อเกี่ยวพันไปถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็จะไม่เหมือนเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดทองของเจียวเฒ่าอีกต่อไป เนื่องจากไม่ใช่แค่การหล่อมหลอมสิ่งของให้กลายเป็นภาพมายาว่างเปล่าธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นอันดับต่อไปก็จำเป็นต้องมีเตาโอสถสำหรับหลอมวัตถุหนึ่งใบ นี่ก็เป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้าอีกเหมือนกัน เพราะหาซื้อได้ไม่ง่าย ต้องไปหาตระกูลเซียนที่เต็มใจจะขาย และต่อให้หาเจอแล้ว หากคิดจะซื้อเตาโอสถที่ดี จะบอกว่าง่ายก็ง่าย แต่บอกว่าไม่ง่ายก็เรียกว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ต้องดูว่าในกระเป๋าของเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนเท่าไหร่
ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสไม่เหลือเงินแล้ว!
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความเจ็บใจ
เงินฝนธัญพืชไม่เหลือสักเหรียญเดียว ตอนนี้ไม่มีถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วก็หมายความว่าใต้หล้าจะไม่มีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองปรากฎขึ้นอีก ทุกครั้งที่ใช้ไปหนึ่งเหรียญก็จะหายไปจากโลกนี้หนึ่งเหรียญ ศึกที่วัดร้างถูกใช้ไปรวดเดียวตั้งสองเหรียญ
หากไม่ใช่สุยโย่วเปียน แต่เป็นพวกบุรุษหยาบกระด้างอย่างเว่ยเซี่ยนสามคน เฉินผิงอันก็อยากจะหิ้วตัวอีกฝ่ายออกไปอัดสักรอบ
เผยเฉียนแบกม้านั่งกลับเข้ามาในห้อง มานั่งข้างเฉินผิงอัน ถามอย่างเป็นกังวลว่า “เป็นอะไรไป? พวกเรามีเงินไม่พอใช้แล้วหรือ?”
คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับแทงใจดำเต็มๆ
เฉินผิงอันมองเผยเฉียนแวบหนึ่ง ความสามารถในการปลอบใจของนังหนูนี่ไปเรียนจากใครมากันแน่นะ?
เผยเฉียนนึกว่าเฉินผิงอันเริ่มรังเกียจที่ตนเป็นตัวขาดทุน นางตกใจไม่น้อย น้ำตาคลอเจียนหยด ใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมยับยุ่ง “อย่าโยนข้าลงจากเรือนะ วันหน้าข้าจะไม่เรียกร้องว่าจะกินเนื้อกินปลาอีกแล้ว ข้าวหนึ่งถ้วยกับคีบผักดองอีกสามทีก็สามารถเลี้ยงดูข้าได้แล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเจ้ากินมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต กินข้าวมากหน่อยจะใช้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว”
เผยเฉียนเช็ดหน้า พลันยิ้มกว้างอย่างสดใส “พอไปถึงนครมังกรเฒ่า พวกเรามีที่พักไหม? หากมีก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เล็กน้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มี ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังถือว่าพอมีเงิน แต่บอกไว้ก่อนว่า คนอื่นเขาใจกว้างก็เป็นเรื่องของคนอื่นเขา ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะแบมือขอสิ่งของจากคนอื่นเขาได้ส่งเดช”
เผยเฉียนทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง พูดอย่างหมดแรงว่า “เข้าใจแล้ว”
นางยังนึกว่าจะได้ไปเจอกับคนอย่างเหยาจิ้นจือที่มอบของให้ผู้อื่นโดยที่ตาไม่กะพริบ แถมยังขอร้องให้นางรับเอาไว้อีก ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังไม่สามารถปฏิเสธได้ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นไม่ควรเอ่ยเหน็บแนมเหยาจิ้นจือด้วยประโยคนั้นเลย มีครั้งหนึ่งเหยาจิ้นจือที่สวมหมวกคลุมหน้ามาพูดคุยกับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว เผยเฉียนเห็นนางปลดหมวกคลุมหน้าลง ผิวของนางนั้นขาวนวลเนียนยิ่งนัก ทำให้เผยเฉียนละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้อย่างมาก ภายหลังลืมไปแล้วว่าคุยเรื่องอะไรกัน เผยเฉียนถึงได้หัวเราะฮิๆ พลางพูดประจบด้วยถ้อยคำที่แฝงใบมีด “พี่หญิงจิ้นจือท่านหน้าตางดงามปานนี้ ความคิดจะสวยงามก็สมควรแล้ว” เหยาจิ้นจือเองก็ไม่โกรธ เพียงแค่ยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวดุจต้นหอมมาจิ้มหน้าผากเผยเฉียนเบาๆ
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป
จากต้นฤดูหนาวก็ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการทั้งอย่างนี้ เรือข้ามฟากแล่นผ่านอาณาเขตของใบถงทวีปมาอยู่เหนือมหาสมุทรระหว่างสองทวีป รอจนขยับเข้าใกล้เกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลของนครมังกรเฒ่า คาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว
ระหว่างนี้มีครั้งหนึ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องได้ถามขึ้นว่า “วิชาหมัดนี้ธรรมดามาก เหตุใดถึงได้ยืนหยัดขนาดนี้?”
เฉินผิงอันตอบมาประโยคหนึ่งว่ารากฐานในการตั้งตัวไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องสูงเท่าไหร่
หลูป๋ายเซี่ยงได้ยินแล้วก็เก็บเอามาครุ่นคิด
รอจนหลูป๋ายเซี่ยงออกไปจากห้อง เผยเฉียนจึงถามเฉินผิงอันเบาๆ ว่าหมายความว่าอย่างไร เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่าคิดหาคำพูดที่สละสลวยสูงส่งไม่ออก ก็เลยพูดส่งเดชไปอย่างนั้น คนที่เล่นหมากล้อมเก่งล้วนชอบคิดอะไรซับซ้อน ทำเอาเผยเฉียนหัวเราะชอบใจ
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เดี๋ยวก็ยกพู่กันขึ้น เดี๋ยวก็วางลง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนเผยเฉียนที่นั่งคัดตัวอักษรอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแล้วร้อนใจยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ออกจากห้องไปหาจูเหลี่ยน ตอนกลับมาเผยเฉียนสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันยิ่งลังเลใจ สุดท้ายก็ได้แต่เก็บพู่กันและกระดาษลงไป
เผยเฉียนสงสัยอย่างยิ่ง
จดหมายสองฉบับก่อนหน้านี้ที่เขียนให้สำนักศึกษาต้าฝูและภูเขาไท่ผิง แล้วให้กระบี่บินพุ่งสวบไปส่ง เฉินผิงอันเขียนได้รวดเร็วมาก
ถ้าอย่างนั้นจดหมายฉบับนี้จะเขียนถึงใครนะ?
เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียง เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
มีคนมาเคาะประตู เผยเฉียนวิ่งไปเปิดประตู เห็นคนผู้นั้นแล้วก็ทำท่าคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที “เผยเฉียนคารวะเทพเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว!”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกโล่งสบายขึ้นหลายส่วน
เขาก็คือลู่ยงเซียนดินก่อกำเนิดแห่งยอดเขาเทียนแจว๋ เฉินผิงอันรีบมาต้อนรับอีกฝ่ายทันที
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย เผยเฉียนก็รินน้ำชาสามถ้วยอย่างคล่องแคล่วว่องไว ยื่นส่งให้เฉินผิงอันก่อน จากนั้นค่อยยื่นให้ลู่ยง แน่นอนว่ายังไม่ลืมรินให้ตัวเองด้วย
ลู่ยงพูดจาปราศรัยตามมารยาทอ้อมไปอ้อมมาอยู่ประมาณหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันก็อดทนพูดคุยกับเทพเซียนลู่ที่ถูกเจียงซ่างเจินข่มตอนอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋อย่างมีมารยาทเช่นกัน
อย่าได้ไม่เห็นเซียนดินอยู่ในสายตา
เฉินผิงอันเคยท่องยุทธภพน้อยใหญ่มามากมาย รู้ถึงน้ำหนักของเทพเซียนพสุธาท่านหนึ่งดี เขาไม่มีทางวางตัวไม่อ่อนน้อมแต่ก็ไม่ยโสต่อหน้าเจียงซ่างเจิน แล้วก็ไม่เกิดใจดูแคลนเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวตรงหน้าผู้นี้เพียงเพราะตัวเองรู้จักจั่วโย่ว ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดที่ได้พิทักษ์พื้นที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม ได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ถ้าไม่นับความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนแล้วตัดสินใจเด็ดขาดจะฆ่าเขาเฉินผิงอัน อย่างมากลู่ยงก็แค่ต้องสะบัดชายแขนเสื้อสองสามทีเท่านั้น
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีคิดจะอาศัยอำนาจมาข่มขู่คนอื่น ความประทับใจที่ลู่ยงมีต่อคนหนุ่มผู้นี้จึงดีขึ้นหลายส่วน
อำนาจที่เขาจะอาศัย มาจากเจียงซ่างเจินขอบเขตหยกดิบที่เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ และยิ่งมาจากผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งสั่งให้เจ้าประมุขสกุลเจียงทำเช่นนี้
หาไม่แล้วสำหรับเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่มีญาติไม่มีสหาย หากเป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย อย่างมากลู่ยงกับเขาก็แค่เดินไปบนเส้นทางใครเส้นทางมัน เหตุใดจะต้องประจบสอพลอ ขึ้นเรือมามอบของขวัญให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองถึงที่ด้วย?
ลู่ยงดื่มน้ำชารสชาติจืดจางไปสองถ้วยแล้ว ในที่สุดก็เข้าประเด็น “คุณชายเฉินไปเยือนยอดเขาเทียนแจว๋ทั้งที ถือเป็นเกียรติของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้า ตอนนั้นอันที่จริงข้ากำลังหลอมโอสถอยู่เตาหนึ่งพอดี เป็นยานั่งลืมตนของลัทธิเต๋า ยานี้มีฤทธิ์อ่อนโยน เหมาะให้ผู้ฝึกตนใช้เวลานั่งสมาธิเข้าฌานมากที่สุด นอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือสามารถบำรุงจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังหล่อเลี้ยงช่องโพรงหัวใจให้อบอุ่น ชื่อยาคือนั่งลืมตน แต่อันที่จริงในโลกมนุษย์ยังมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งที่แม้จะหยาบไปบ้าง แต่กลับตรงอย่างยิ่ง นั่นคือเมื่อกินยานี้เข้าไปแล้ว นั่งก็คือการฝึกตน ลืมเรื่องการฝึกตนแต่เดิมไปสิ้นก็ยังไม่เป็นไร”
—–