พอพูดถึงเรื่องการหลอมโอสถ ลู่ยงก็มีสีหน้าสดชื่นท่าทางกระฉับกระเฉงราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจิน “ใจคือนายของกาย คือแม่ทัพของร้อยวิญญาณ เพียงแต่ว่าจิตใจนั้นยากจะสงบนิ่งมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ ศาสนาพุทธจึงมีคำกล่าวที่ว่าจิตใจดุจลิงที่ไม่อยู่นิ่ง ความคิดดุจม้าที่แล่นเตลิด เป็นเหตุให้การฝึกตนมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ผูกม้าแห่งความคิด มีจวนหยกกักขังลิงแห่งจิตใจ โอสถนั่งลืมตนที่ข้าหลอมขึ้นนี้หลอมสำเร็จได้ยากอย่างถึงที่สุด ต่อให้โชคดีหลอมได้สำเร็จ วัตถุดิบสำหรับสิบเม็ดในหนึ่งเตา อย่างมากสุดก็หลอมออกมาได้แค่สามสี่เม็ดเท่านั้น การที่มันยังได้รับความนิยมจากเซียนดินมากมายในใบถงทวีป เพราะมีความอัศจรรย์ข้อหนึ่งที่เซียนซือหลอมโอสถของสำนักอื่นไม่เคยมี ยานั่งลืมตนที่มาจากมือข้าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวสามารถหล่อเลี้ยงเทพทวารบาลสององค์ที่เหมือนกับเทพทวารบาลซึ่งแปะอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านชาวบ้านล่างภูเขาให้มาลอยอยู่เหนือจิตใจ ช่วยปกป้องจิตใจของผู้ฝึกลมปราณ!”
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “หล่อเลี้ยงเทพทวารบาลให้อยู่นอกห้องหัวใจ นับเป็นฝีมือของเทพเซียนแล้ว”
ลู่ยงชอบใจคำกล่าวนี้มากจึงลูบหนวดยิ้มกริ่ม
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังหลอมยานั่งลืมตนเตานี้ ‘พอดี’ ในความเป็นจริงแล้วหากคิดจะหลอมยานี้ให้สำเร็จ นอกจากต้องใช้วัตถุดิบวิเศษกองใหญ่แล้ว ยังต้องรอให้ถึงเวลาที่ฟ้าอำนวย และยิ่งต้องเผาผลาญ ‘ดินอวยพร’ ซึ่งก็คือโชคชะตาอันล้ำค่าในแถบภูเขาชิงจิ้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดและโอสถทองของสำนักใบถงก็ยังแย่งชิงกันได้อย่างไร? ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเทพเซียนแห่งการหลอมโอสถของฝ่ายอื่นถึงหลอมออกมาไม่ได้ นอกจากจะเป็นเพราะวิชาการหลอมยาของลู่ยงสูงส่งอย่างแท้จริงแล้ว โชคชะตาน้ำและภูเขาที่มีเฉพาะในภูเขาชิงจิ้งก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
นี่คือสาเหตุที่ว่าเหตุใดการสร้างพรรคก่อตั้งสำนักและการบุกเบิกก่อตั้งจวนของเทพเซียนพสุธาถึงได้ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเซียนดินของใบถงทวีปยังเห็นมันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกเจ็ดก็สามารถเอามาสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงได้เหมือนกันน่ะสิ?”
ลู่ยงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “แน่นอน เพียงแต่ว่าหากเอายานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าไปมอบให้แก่พวกคนมุทะลุที่เดินไปบนทางตันเหล่านั้น ก็ออกจะเป็นการเอาวัตถุดิบใหญ่ไปใช้กับเรื่องเล็กเกินไปหน่อย ไม่ต่างจากยื่นดอกโบตั๋นให้วัวเคี้ยว”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าตำหนักพูดถึงยานั่งลืมตนนี้กับข้า เพราะเห็นแก่หน้าของเจียงซ่างเจิน จึงคิดจะขายให้ข้าเฉินผิงอันในราคาที่ต่ำลงหน่อย ใช่หรือไม่?”
หัวใจลู่ยงบีบรัดตัว
เจ้าหมอนี่ถึงขั้นกล้าเรียกชื่อเจียงซ่างเจินออกมาตามตรง
ลู่ยงหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณชายเฉินดูแคลนตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าเกินไปหน่อย คบค้าสมาคมกับสหาย จะพูดเรื่องราคาอะไรกัน ยาเตานี้พูดแล้วก็บังเอิญนัก พอคุณชายเฉินไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋ ข้าส่งคุณชายและเจ้าประมุขเจียงจากไปแล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วย! ถึงกับหลอมออกมาได้มากถึงหกเม็ดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ข้าลู่ยงหลอมโอสถมา โชควาสนาเช่นนี้ ในหนึ่งชีวิตมีได้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ดั่งว่าสวรรค์คอยให้ความช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าคุณชายเฉินมีวาสนายิ่งใหญ่กับตำหนักพยัคฆ์เขียว และกับข้าลู่ยง โชควาสนาบนมหามรรคา ข้าหรือจะกล้าเก็บซ่อนไว้เพียงลำพัง? จึงเอายานั่งลืมตนทั้งหกเม็ดนี้มาให้คุณชายเฉิน!”
เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย
มารดาข้า บนโลกนี้ยังมีคนที่พูดจาได้เหลวไหลยิ่งกว่าข้าอยู่อีกหรือ?
วิชาการประจบสอพลอของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ นางสามารถลองเรียนรู้ดูได้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น ‘คนอ่านหนังสือ’ มากยิ่งกว่านางเสียอีก?
ลู่ยงเองก็คงรู้สึกได้ว่าคำพูดประโยคนี้ของตน ‘ไม่ค่อยเข้าที’ สักเท่าไหร่ จึงแสร้งพูดอย่างเสียดายว่า “แม้ว่าจะเป็นจุดที่มหามรรคาชี้ไป จึงจำเป็นต้องทำตามเจตนารมสวรรค์ แต่ข้าก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หวังเพียงว่าวันหน้าคุณชายเฉินจะพูดถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าในทางที่ดีต่อหน้าเจ้าประมุขสกุลเจียงสักหน่อย กิจการของสกุลเจียงมีอยู่เกินครึ่งในใบถงทวีป ไม่แน่ว่ายาวิเศษที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าหลอมออกมาในวันหน้าอาจนำมาใช้ชดเชยยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ได้ นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นคุณชายเฉินแค่รับไว้อย่างสบายใจ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าประมุขสกุลเจียงดูแคลนผลผลิตที่เล็กน้อยนี้ของตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่ตำหนักพยัคฆ์เขียวได้กลายมาเป็นสหายของคุณชายเฉินก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”
เผยเฉียนรีบรินชาอีกถ้วยยื่นส่งไปให้ตาเฒ่าลู่ขี้ประจบ อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าลู่
เฉินผิงอันย่อมคิดเยอะกว่าเผยเฉียน
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงเจียงซ่างเจิน รวมไปถึงกิจการของตระกูลเจียงและผลผลิตของตำหนักพยัคฆ์เขียว
ยานั่งลืมตนหกเม็ดนี้ อันที่จริงค่อนข้างจะร้อนลวกมือ
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็คิดจะปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม หากเปลี่ยนเจียงซ่างเจินมาเป็นตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่า ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีพื้นที่ให้ปรึกษากันได้ เรื่องการค้านี้ เดิมทีก็เป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรของเจ้าและข้าทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินให้มากนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากกล่าวว่า “ความหวังดีของเจ้าตำหนักลู่ ข้าขอรับน้ำใจเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่ายานั่งลืมตนเตานี้มีมูลค่าควรเมืองเกินไป ข้าย่อมไม่กล้าช่วงชิงของรักของผู้อื่นมาครอบครอง อีกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจียงซ่างเจินก็ธรรมดายิ่ง…แต่เรื่องที่เจ้าตำหนักลู่นำยามามอบให้ ข้าสามารถส่งจดหมายไปให้แก่เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกได้ฉบับหนึ่ง เพื่อปฏิเสธเรื่องยานี้ จะไม่ทำให้เจ้าตำหนักลู่ลำบากใจเด็ดขาด”
ลู่ยงมีสีหน้าเป็นปกติคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
แต่ลึกๆ ในใจกลับหงุดหงิดกับการวาดงูเติมหางของตัวเอง
เขาไม่ควรจะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ เพราะคิดอยากจะให้เฉินผิงอันฟังความนัยที่ตนต้องการให้เขาช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักพยัคฆ์เขียวกับสกุลเจียงออก
ชั้นที่หนึ่งด้านล่างของเรือข้ามฟากลำนี้ มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สีหน้ามืดทะมึน
เจ้าโง่ลู่ยงผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเลยจริงๆ
ในห้องยังมีผู้ฝึกตนหญิงที่หน้าตางดงาม แต่กลับสีหน้าซีดขาวอยู่อีกคนหนึ่ง นางก็คือเซียนดินโอสถทองที่ก่อนหน้านี้เกือบถูกฝ่ามือหนึ่งของเจียงซ่างเจินตบตายอยู่บนยอดเขาเทียนแจว๋
ส่วนนักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งร่ายเวทอำพรางตานั้นก็คือเจียงซ่างเจินที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือข้ามฟาก เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเปิดคาบสอนที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวแล้วก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักกุยหยกในทันที แต่เลือกที่จะแอบขึ้นมาบนเรือข้ามฟาก แล้วตรงมาหาผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตโอสถทองที่ถูกแงะออกมาจากร่องหินอย่างน่าสงสารผู้นี้ หลังจากที่เจียงซ่างเจินมาเคาะประตูจนทำให้นางต้องเปิดประตูอย่างหงุดหงิด วินาทีที่เจียงซ่างเจินถอนคาถาอำพรางโฉมหน้าและลมปราณที่ปกปิดออก ฝ่ายหลังก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าร้องอ้อนวอน
เจียงซ่างเจินไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด
ทำอืดอาดยืดยาดในเรื่องที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงในการฝึกตน หยดน้ำสามารถกร่อนจิตใจ เศษดินก็สามารถทำให้ร่างทองสกปรกแปดเปื้อน ไม่ระวังไม่ได้
เขาแค่จะรอให้ลู่ยงเผยตัวแล้วจัดการเรื่องที่เขามอบหมายให้สำเร็จอย่างเหมาะสมก็จะหวนกลับไปยังสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดของใบถงทวีปทันที ยังมีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอีกเป็นกองพะเนินรอให้เขาไปจัดการ ยกตัวอย่างเช่น ‘บุตรโทน’ ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ากระทำการโดยพลการ เจียงเป่ยไห่ผู้นั้น เจียงซ่างเจินนึกอยากจะตัดมือตัดเท้าเจ้าลูกล้างลูกผลาญผู้นี้แล้วโยนให้ไปเกิดเป็นขอทาน เป็นนางโลมอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาทุกภพทุกชาติซะจริง ดูท่าหกสิบปีที่ตนไม่อยู่ในตระกูล เจ้าคนปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถน้อยนิดผู้นี้ได้เย่อหยิ่งทะนงตนจนลืมแม้แต่หน้าที่ซึ่งตนต้องกระทำไปแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนมีลูกหลานได้ยากมาก อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับห้าขอบเขตกลางที่แค่คิดจะแตกหน่อขยายกิ่งก้านสาขาก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองแล้ว
ชั้นบน ลู่ยงไม่กล้ามีความคิดและอุบายอะไรที่เกินความจำเป็นอีกแล้ว ในที่สุดก็คิดแค่อยากจะมอบยานั่งลืมตนขวดนั้นออกไป
เพียงแต่ทุกเรื่องล้วนเริ่มต้นยาก แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะง่าย เดินผิดไปหนึ่งก้าว กลับกลายเป็นว่ายิ่งยากลำบากกว่ากัน
เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องที่ลับหลังเจียงซ่างเจินใช้ทั้งพระเดชและพระคุณต่อตำหนักพยัคฆ์เขียว เขาแค่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องที่เขามีความสัมพันธ์กับเจียงซ่างเจินก็มีแค่เรื่องที่จั่วโย่วต้องการให้เจียงซ่างเจินนำโอสถปีศาจมามอบให้เขาเท่านั้น จะมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ฝึกวิชาหมัดเพื่อต่อชีวิต นั่นคือรากฐานแห่งการหยัดยืนภายนอกของเฉินผิงอัน
จิตใจและความคิดบริสุทธิ์ ดึงรั้งไว้ได้อยู่นิ่ง หยัดยืนได้อย่างมั่นคง บนโลกที่จิตใจคนซับซ้อน อันที่จริงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันแน่ใจแค่ว่าในเมื่อเจียงซ่างเจินมาปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ ลู่ยงก็ไม่มีทางกล้าเกิดใจคิดร้ายต่อตน ดังนั้นต่อให้ไม่รับยานั่งลืมตนขวดนี้เอาไว้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะแตกหักกับตำหนักพยัคฆ์เขียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่ยงยังเป็นเซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่ง เขามีแต่จะยิ่งทะนุถนอมตบะและตำแหน่งฐานะของตัวเองในทุกวันนี้
นี่จึงลำบากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าที่เสียใจภายหลังอย่างสุดแสน
ถึงท้ายที่สุด ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็งอย่างไร คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังพูดจานุ่มนวลน่าฟัง แต่กลับไม่ยอมรับยานั่งลืมตนขวดนั้นเอาไว้
หรือว่าจะต้องทำตามคำหยอกล้อของเจียงซ่างเจิน เซียนดินก่อกำเนิดอย่างเขาต้องร้องไห้โวยวายว่าจะแขวนคอตายในถิ่นของตัวเองต่อหน้าเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งจริงๆ?
ลู่ยงทำไม่ลง
ดังนั้นจึงได้แต่บอกให้เฉินผิงอันคิดพิจารณาดูอีกสักครั้ง ส่วนลู่ยงก็ออกจากห้องของเฉินผิงอันไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นเดียวกันของเรือข้ามฝาก
ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเปิดประตูก็มองเห็นใบหน้าที่ตนไม่อยากพบเจอมากที่สุด เจียงซ่างเจินผู้มีสีหน้าเฉยชา
เจียงซ่างเจินที่เกลียดคน ‘ทำตัวอวดฉลาด’ ที่สุดในชีวิตไม่คิดจะเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับลู่ยงแม้แต่ครึ่งคำ เขาร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ของขอบเขตหยกดิบออกมาโดยตรง สร้างห้องแห่งนี้ให้กลายเป็นคุกแห่งหนึ่งไว้รอนานแล้ว พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปคว้า กระชากก่อกำเนิดเฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวเข้ามายังฟ้าดินในห้อง ในห้องมีเสาคานสีทองหลายต้นที่มีมังกรทองสีทองล้อมวนปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า พวกมันเริ่มพุ่งออกมาจากเสาเบื้องบน ประหนึ่งโซ่ตรวนสีทองหลายเส้นที่ทะลุผ่านช่องโพรงลมปราณที่สำคัญในร่างของลู่ยง มังกรทองตัวสุดท้ายคือตัวที่มีอำนาจบารมีมากที่สุด กรงเล็บของมันกดลงบนศีรษะของลู่ยง ตบให้เขาล้มลงไปบนพื้น
เจียงซ่างเจินเดินมาหยุดอยู่หน้าก่อกำเนิดเฒ่าที่นอนหมอบอยู่บนพื้น เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนท้ายทอยของเขา พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “เกียรติยศหน้าตาที่ใหญ่เทียมฟ้าก็มอบให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวของเจ้าไปหมดแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้จักพอ นึกจริงๆ หรือว่าข้าเจียงซ่างเจินมีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันปรากฎตัวที่ยอดเขาเทียนแจว๋ เพราะปิ่นหยกชิ้นนั้นของเขาทำให้ข้าหวนรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ข้าก็จะไม่อธิบายถึงมหามรรคามอบโชควาสนาให้แก่ลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่จะตบดวงจิตต้นกำเนิดของตาเฒ่าลู่อย่างเจ้าฝังเข้าไปในผนังหินให้กลายเป็นภาพวาดฝาผนังไปแล้ว?!”
เจียงซ่างเจินเพิ่มแรงที่ฝ่าเท้าอีกเล็กน้อย ลู่ยงผู้น่าสงสารเมื่ออยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ แม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญก็ยังร้องไม่ออก มีเพียงจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารผู้นี้รู้สึกเพียงว่าอยู่ไม่สู้ตาย
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้น “ผู้ฝึกตนกี่มากน้อยบนโลกที่ไม่รู้จักหลักการหยุดเมื่อพอสมควรเช่นเจ้าลู่ยง! ลำพังแค่โชควาสนาเล็กน้อยแค่นี้ ได้กลายเป็นคนบนภูเขาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว? ขนาดข้าเจียงซ่างเจินยังต้องนอบน้อมเจียมตน แค่เพื่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งก็สามารถสะกดกลั้นจิตสังหารที่ท่วมท้นอยู่เต็มท้อง ยอมพูดคุยดีๆ ต่อหน้าเฉินผิงอัน เจ้าลู่ยงกลับดีนัก เก่งกาจยิ่งกว่าข้าเจียงซ่างเจินเสียอีก!”
ท้ายทอยของลู่ยงยุบลงไปเล็กน้อยแล้ว หากผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง คาดว่าจิตต้นกำเนิดคงระเบิด โอสถทองและทารกก่อกำเนิดต่างก็แตกสลายอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินต้องถูกลูกหลงจนบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ ไปด้วย แต่ดูจากท่าทางแล้ว เจียงซ่างเจินไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาพวกนี้เลย
เดิมทีเจียงซ่างเจินรับปากแล้วว่าหากตำหนักพยัคฆ์เขียวมีลูกศิษย์ที่พรสวรรค์พอใช้ได้ ในอนาคตที่คนผู้นั้นเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็สามารถไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ตามหาโชควาสนาของตัวเองได้
และด้วยเหตุนี้ก็ถือว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวผูกความสัมพันธ์กับสกุลเจียงและสำนักกุยหยกแล้ว
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น วันหน้าอย่างน้อยก็จะไม่มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนใดกล้าชี้หน้าด่าประณาม ล่วงเกินผู้อาวุโสของเรือข้ามฟากตำหนักพยัคฆ์เขียวอย่างลู่ยงอีกต่อไป
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
โชควาสนามาถึงมือแล้ว กลับคว้าไว้ไม่อยู่ กลายเป็นหายนะเข้ามาแทน คราวนี้ทุกเรื่องก็ล้วนหมดหวัง
สืบย้อนเรื่องไปไกลอีกหน่อย เป็นเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันซึ่งไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน คนวัยเดียวกันทั้งสองคนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงในโรงเรียนของฉีจิ้งชุนได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะจ้าวเหยาที่ได้รับ ‘ตราประทับอักษรตัวชุน’ ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของฉีจิ้งชุนไป ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับราชครูชุยฉานต้าหลีในเวลานั้น เด็กหนุ่มจ้าวเหยาที่ฉีจิ้งชุนฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้ เด็กหนุ่มผู้นั่งรถเทียมวัวที่แม้แต่คนเฝ้าประตูเจิ้งต้าเฟิงก็ยังชื่นชอบ ก็ยังถูกชุยฉานมองเป็นมดตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อยแค่นั้นไม่ใช่หรือ? เป็นเหตุให้ตราประทับอักษรตัวชุนหายไปจากฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง
หากจ้าวเหยาไม่ได้ ‘ฉลาด’ มากถึงเพียงนั้น แต่ยอมตายโดยไม่ยอมใช้ตราประทับตัวอักษรชุนมาแลกกับโชควาสนาจากชุยฉาน
ฉีจิ้งชุนที่ตอนนั้น ‘ลมวสันต์ยังอยู่ในชายแขนเสื้อของเด็กหนุ่ม’ จะยอมปล่อยให้ชุยฉานเอาตราประทับไปได้อย่างไร?
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน แค่ความคิดชั่ววูบความคิดเดียวที่ผิดพลาด ลู่ยงก็จะต้องมาตายอยู่ตรงนี้