ในขณะที่เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ พอได้พบกับก่อกำเนิดเฒ่าที่เร่งรุดเดินทางมาจนเนื้อตัวมอมแมม เขาก็พูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา นึกไม่ถึงว่าลู่ยงจะหัวเราะเสียงดังกังวาน กลับกลายเป็นว่าสีหน้าผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม พวกเขาพากันเดินมาที่ห้องของเฉินผิงอัน บอกให้เซียนดินโอสถทองของตำหนักพยัคฆ์เขียวผู้นั้นเฝ้านอกห้องเอาไว้ ลู่ยงถึงได้หยิบเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นพิเศษที่พอจะบรรจุเตาหลอมโอสถที่ตนรักถนอมไว้ได้อย่างถูไถออกมา เมื่อเตาหลอมโอสถเผยกายบนโลกก็ลอยเหนือพื้นโต๊ะมาหนึ่งฉื่อ ทันใดนั้นก็มีเมฆหมอกห้าสีลอยอวลกรุ่นขึ้นมาเป็นระลอก กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้องทันที
เกรงว่านอกจากคนตาบอด ไม่ว่าใครก็มองออกถึงความล้ำค่าผิดไปจากปกติของเตาหลอมยาใบนี้
เผยเฉียนเดินมือเบาเท้าเบาวนไปรอบโต๊ะ จ้องเป๋งไปยังเตาโอสถสีชาดที่สูงเพียงหนึ่งแขนใบนั้น
เตาหลอมยามีห้าขา แบ่งออกเป็นสัตว์ห้าตัวที่แยกเป็นขาข้างหนึ่งของเตา ส่วนศีรษะของสัตว์เหล่านี้อ้าปากกว้างอยู่บนริมขอบของเตาหลอม ไอหมอกห้าสีที่ลอยกรุ่นถูกพ่นออกมาจากปากของพวกมันนั่นเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้าสีที่สอดคล้องกับห้าธาตุ
ใบหน้าของก่อกำเนิดผู้เฒ่าลู่ยงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชี้ไปยังกระถางที่ลอยอยู่กลางอากาศพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เตาหลอมยาใบนี้มีชื่อว่าเตาตู้ทองห้าสี วัสดุหลักที่ใช้หลอมเป็นตัวเตาคือทองจากห้าธาตุ เพราะอิงตามประโยคสั่งสอนของบรรพบุรุษในการหลอมยาของพวกเราที่ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นพันปีที่บอกว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ในอดีตข้าเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่บนเส้นทางการฝึกตนอย่างหนึ่ง ได้รับจวนเซียนจากในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งมา ครานั้นกองกำลังแต่ละฝ่ายช่วงชิงกันอย่างดุเดือด ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็น่าอกสั่นขวัญผวายิ่งนัก ข้าก็แค่โชคดีที่สุด ถึงได้เตาหลอมยาใบนี้มาครอบครอง เพราะเป็นวาสนาที่ได้มาครอง ไม่ได้ซื้อมา ดังนั้นข้าจึงตั้งราคาที่ยุติธรรมสำหรับคุณชาย ไม่กล้าทำตัวเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างต่อหน้าคุณชายเฉิน เงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ แค่ห้าสิบเหรียญเท่านั้น!”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ก่อกำเนิดผู้เฒ่าได้ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง
เฉินผิงอันมุมปากกระตุก
ตั้งห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!
ราคาสูงเทียมฟ้า
แต่ส่วนลึกในใจก็รู้ดีว่าลู่ยงเรียกราคานี้ ยุติธรรมจนไม่อาจยุติธรรมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่มัวคิดมากอีก กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าตำหนักลู่ ข้าต้องอยากซื้อไว้อยู่แล้ว แต่ไม่กลัวท่านหัวเราะเยาะ สหายที่นครมังกรเฒ่าจะยอมให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชจำนวนเท่านี้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่อาจบอกได้”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็กุมหมัดกล่าวว่า “หากทำให้เจ้าตำหนักลู่ต้องมาเสียเที่ยว ข้าก็ต้องขอโทษท่านไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน ในใจเขาคิดว่า มารดามันเถอะ หากผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าจะมีตบะสูงหรือต่ำก็ล้วนพูดง่ายและเข้าใจมารยาทอย่างเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะดีสักเท่าไหร่นะ
หากถามว่าเขาเต็มใจขายเตาตู้ทองห้าสีใบนี้หรือไม่ ก่อนหน้าที่จะเจอกับเจียงซ่างเจินและเฉินผิงอัน หากใครกล้าเปิดปาก เขาก็กล้าด่าคนนั้น หากเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าอาจจะโดนเขาซ้อมสักรอบหนึ่งด้วย
เพียงแต่ว่าเวลานี้ สภาพจิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน คราวนี้หลังจากลู่ยงหวนกลับไปถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวพร้อมกับเงินฝนธัญพืชที่ใช้ชีวิตแลกมากองนั้น เขาคิดไปคิดมาก็คิดตกเรื่องหนึ่งจริงๆ นั่นก็คือควรจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินอย่างไร ดังนั้นพอได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากเฉินผิงอัน เขาจึงไม่เพียงไม่โมโห กลับกันยังรู้สึกยินดี ข่มกลั้นความเจ็บปวดปานหัวใจหลั่งเลือดนำเตาหลอมยาที่เป็นดั่งเงินทุนค่าโลงของเขาลู่ยงใบนี้มา ขอแค่เขาเฉินผิงอันกล้าซื้อ เขาลู่ยงก็กล้าขาย!
ซึ่งในนี้ยังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบซุกซ่อนอยู่ นั่นก็คือระดับขั้นของเตาตู้ทองห้าสีใบนี้สูงเกินไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่ยงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด เพราะคาถาหลอมวัตถุที่เขามีความชำนาญนั้นระดับขั้นไม่สูงมากพอ รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษที่ตัวเองมีอยู่ในครอบครอง หรือไม่ก็วัตถุดิบต่างๆ ที่คนอื่นนำมามอบให้ระดับต่ำเกินไป อาจต้องรอถึงร้อยปี เขาลู่ยงถึงจะใช้เตาหลอมห้าสีได้หนึ่งครั้ง อีกทั้งยาหรือวัตถุที่หลอมออกมาจากเตาใบนี้ แค่ทำให้ได้รายรับที่พอๆ กับรายจ่ายเท่านั้น บางครั้งยังถึงขั้นขาดทุน ต่อให้เป็นลู่ยงก็จำต้องยอมรับว่า เอาเตาใบนี้เก็บไว้ในตำหนักพยัคฆ์เขียว สำหรับเขาลู่ยงแล้ว มันคือซี่โครงไก่ และสำหรับเตาหลอมแล้ว เขาลู่ยงก็คือ…เศษสวะ
ก่อนที่ลู่ยงจะย้อนกลับไปยังห้องของตัวเอง เฉินผิงอันได้แต่พูดประโยคหนึ่งตามมารยาทว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่มิจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”
ลู่ยงอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขั้นทิ้งเตาตู้ทองห้าสีใบนี้ไว้ที่เฉินผิงอัน แถมยังมอบตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดไว้ให้ด้วย
เฉินผิงอันเก็บเตาหลอมยาใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มพลิกเปิดตำราลับในการหลอมยาที่ลู่ยงเขียนด้วยตัวเองออกอ่าน อ่านไปได้ครู่หนึ่ง
เขาก็เดินออกจากห้องไปยังห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากที่มีไว้สำหรับกระบี่บินส่งข่าวโดยเฉพาะ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก
นอกจากพูดเรื่องลู่ยงขายเตาให้คร่าวๆ แล้ว ช่วงท้ายของจดหมายลับยังเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ติดค้างน้ำใจเจ้าสองครั้ง’
ในห้องแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโอสถทองของเรือข้ามฟากยืนอยู่ข้างกายลู่ยง เล่าเรื่องที่เฉินผิงอันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้สำนักกุยหยก
ส่วนเนื้อหาในจดหมาย เขาย่อมไม่รู้
ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้ใครจะยังกล้าใช้กระบี่บินส่งข่าวอีก
ลู่ยงอืมรับหนึ่งที
เซียนดินโอสถทองถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าตำหนัก คุณชายเฉินท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”
ลู่ยงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังแล้วก็ยิ้มตอบว่า “อายุน้อยๆ ก็มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งออกมาจากห้องของเฉินผิงอัน ลู่ยงที่เสียเปรียบไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นจากเดิมตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี เพื่อแสดงความจริงใจเขาถึงได้มอบเตาตู้ทองห้าสีไว้ที่เฉินผิงอันอย่างใจกว้าง เพียงแต่เตาใบนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด วัตถุฟางชุ่นธรรมดาอาจเก็บไว้ไม่ได้ อีกทั้งต่อให้ฝืนยัดเข้าไปก็อาจจะทำให้ ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก’ เกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่ลู่ยงเพียงแค่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าลมปราณของเตาพลันหายวับไป อีกทั้งลมปราณในห้องของเฉินผิงอันยังสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด
คือวัตถุจื่อชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เซียนดินก่อกำเนิดถอนหายใจ “มีเงิน มีเงินจริงๆ! ย่อมต้องเป็นลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่สืบทอดตระกูลกันมานานเป็นพันปีแน่นอน เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนเช่นนี้ออกมาท่องเที่ยวอยู่ใต้หล้า แต่กลับชอบให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกาย น่าสนใจยิ่งนัก”
ลู่ยงโบกมือเพราะไม่อยากพูดถึงเฉินผิงอันมากนัก
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ลู่ยงก็กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “โทษทัณฑ์ครั้งนั้นไม่ได้รับไว้อย่างเสียเปล่า ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าโชคดีแล้ว”
เมื่อเรือข้ามฟากจอดเทียบท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลนครมังกรเฒ่าอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้ในที่สุด
มาถึงแจกันสมบัติทวีป
เป็นช่วงปลายฤดูหนาวพอดี
ไม่เห็นเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจอดอยู่ที่ท่าเรือ น่าจะเป็นเพราะย้อนกลับไปยังภูเขาห้อยหัว ตอนนี้ยังไม่กลับมา แค่ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้พบกับกุ้ยฮูหยินอีกหรือไม่
ทว่าเมื่อเฉินผิงอันเห็นผู้ดูแลโอสถทองคนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูโดยที่ไม่มีเงาร่างของเจ้าตำหนักลู่ยง เฉินผิงอันก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว
แล้วก็จริงดังคาด ผู้ดูแลโอสถทองผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างปั้นยากว่า “เจ้าตำหนักมีธุระสำคัญต้องย้อนกลับไปที่ยอดเขาเทียนแจว๋ทันที ดังนั้นจึงฝากคำพูดให้ข้าบอกกับคุณชายเฉินว่า เงินฝนธัญพืชไม่กี่เหรียญนั้น ท่านจะไหว้วานให้คนนำมามอบให้ที่เรือข้ามฟากเมื่อไหร่ก็ได้ หวังว่าคุณชายเฉินจะไม่เก็บเอาเรื่องเล็กๆ นี้ไปใส่ใจ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะพยายามนำเงินฝนธัญพืชมามอบให้ผู้อาวุโสโดยเร็วที่สุด”
เซียนดินโอสถทองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มิกล้าเร่งรัดคุณชายเฉิน เจ้าตำหนักบอกไว้แล้ว อีกอย่างก่อนที่เจ้าตำหนักจะไปจากเรือข้ามฟากก็ได้พูดกับข้าด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าไม่ทำตาม”
ไม่กี่วันหลังจากที่ลู่ยงย้อนกลับมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวก็มีกระบี่บินเล่มหนึ่งที่มีความไวสุดขีดพุ่งมายังตำหนักพยัคฆ์เขียวจนเกือบจะทำให้ห้องกระบี่ของตำหนักแตกสลาย
หลังจากลู่ยงเอาจดหมายลับมาเปิดอ่านอย่างอกสั่นขวัญแขวนก็เดินกลับเรือนพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง
นับแต่วันนี้ไป นอกจากสายหลักของสกุลเจียงจะมอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญให้ลู่ยงโดยเฉพาะแล้ว สำนักกุยหยกจะยังเหมายาทุกๆ หนึ่งร้อยเม็ดที่ออกจากเตาของตำหนักพยัคฆ์เขียว ช่วยนำไปขายให้แก่สี่ทิศของใบถงทวีป
ลู่ยงใช้หมัดทุบฝ่ามือ รีบบอกให้คนลงภูเขาไปสมัครหาลูกศิษย์ ไม่ว่าจะตามหาต้นกล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี หรือเปิดปากขอตัวจากต้าเฉวียนและหนันฉีโดยตรงก็ช่าง สรุปก็คือตำหนักพยัคฆ์เขียวต้องการรับสมัครลูกศิษย์จำนวนมากเข้าสำนัก! พรสวรรค์แย่หน่อยก็ไม่เป็นไร ฝึกตนสักเจ็ดแปดปี ขอแค่ตำหนักพยัคฆ์เขียวให้การอบรมสั่งสอนอย่างตั้งใจ อย่างน้อยก็ต้องสามารถหลอมยาที่ดีที่สุดออกมาได้ ยาทุกเม็ดที่ออกจากเตาล้วนเท่ากับเงินหิมะน้อยที่มีแต่กำไรไม่มีขาดทุนก้อนหนึ่งเลยทีเดียว!
ลู่ยงไปที่ศาลบรรพจารย์ ตอนที่จุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพจารย์ที่อยู่ในภาพแขวน เขาก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “บรรพจารย์ปกป้องคุ้มครองควันธูปของตำหนักพยัคฆ์เขียวให้รุ่งโรจน์สืบทอดไปนานนับพันปีหมื่นปี”
……
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่เดินจากเรือข้ามฟากขึ้นไปบนฝั่งของท่าเรือ
ตอนที่เหลือก้าวสุดท้าย เผยเฉียนจงใจประกบขาสองข้างเข้าหากันแล้วพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยท่ากระโดด นางยืดอกตั้งกล่าวว่า “แจกันสมบัติทวีป ข้ามาแล้ว!”
หึหึ ดูเหมือนว่ายังมีเด็กหญิงที่ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชื่อว่าหลี่เป่าผิงคนหนึ่ง ตอนนี้ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างโง่งมอยู่เลย บังอาจมาเรียกพ่อข้าว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!
พวกเว่ยเซี่ยนสี่คนพากันเดินลงเรือ แล้วมายืนขนาบสองฝั่งของเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนค้อมเอวถามว่า “นายน้อย หลังจากนี้พวกเราจะไปที่ไหน? เข้าเมืองไปโดยตรงเลยหรือ?”
เฉินผิงอันมีแผนการคร่าวๆ นานแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่าเรือแห่งนี้มีคนตระกูลฟ่านของเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาอยู่ เดี๋ยวพวกเราไปหาพวกเขาก็แล้วกัน ข้าเป็นเพื่อนกับคนผู้หนึ่งที่บิดาตั้งชื่อให้ดีมาก และเป็นผู้สืบทอดของตระกูลพวกเขา เป็นเพื่อนสนิทเลยทีเดียว!”
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เพื่อนของนายน้อยไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลังจากกินยาสองเม็ดของตำหนักพยัคฆ์เขียวเข้าไป บาดแผลที่สะสมตามเส้นเอ็นและกระดูกของจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่ล้วนหายดีหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับการบำรุงอย่างมาก ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อย่างราบรื่น เฉินผิงอันไม่ถาม จูเหลี่ยนก็ไม่เคยบอก
หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปี่ยนกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สามารถถูกเฉินผิงอันเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว
เว่ยเซี่ยนพูดกับเผยเฉียนว่า “เจ้ายังติดค้างน้ำตาลปั้นข้า อย่าลืมซะล่ะ”
เผยเฉียนกลอกตาไปมา พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้ายากจนจนแม้แต่เสียงเหรียญเงินกระทบกันก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินหรอกนะ”
เว่ยเซี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นปีนั้น หลอกลวงเบื้องสูงต้องถูกตัดหัว”
เผยเฉียนแอบชี้ไปที่เฉินผิงอัน จากนั้นก็ชูแขนเล็กๆ ขึ้น วางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งติดกัน พูดกับเว่ยเซี่ยนเสียงเบาว่า “เจ้าดูสิว่าพ่อข้าเป็นเพื่อนกับคนอื่นอย่างไร แล้วดูสิว่าเจ้าเหล่าเว่ยเป็นเพื่อนกับข้าอย่างไร เหล่าเว่ยเจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างสักนิดเลยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ “พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นยึดแผ่นดินมาได้แล้วก็นั่งบนเก้าอี้มังกรได้ไม่มั่นคง”
เผยเฉียนกระทืบเท้าเว่ยเซี่ยนหนึ่งที บ่นว่า “เป็นเพื่อนกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
เผยเฉียนรีบย่อตัวลงปัดขากางเกงให้เว่ยเซี่ยน “เหล่าเว่ยเจ้านี่ก็จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้วยังออกมาพบคนทั้งที่เนื้อตัวสกปรกได้อย่างไร ข้าจะช่วยปัดฝุ่นให้เจ้าเอง”
เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำเดินนำไปยังท่าเรือของเกาะกุ้ยฮวาสกุลฟ่าน
พอนึกถึงว่าตอนนี้ตนยังมีหนี้ติดตัวอีกห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ฝีเท้าของเฉินผิงอันก็หนักอึ้งเล็กน้อย
บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว
หากพูดตามคำพูดติดปากของเผยเฉียนก็คือ กลุ้มใจจริง
—–