เฉินผิงอันกำลังจะขยับปากพูด
เจิ้งต้าเฟิงกลับมานั่งบนธรณีประตู กลายเป็นเทพทวารบาลสององค์ของร้านยาฮุยเฉินขนาบซ้ายขวาคู่กับเฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอเถอะ ขอร้องนางไปก็ไม่มีประโยชน์”
ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ หมุนข้อมือทีเดียวขวดกระเบื้องก็หายไป “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันถูกเจิ้งต้าเฟิงตัดบทอีกครั้ง คราวนี้เจิ้งต้าเฟิงถึงขั้นส่ายหน้าให้เขา บอกเป็นนัยว่าอย่าเอาของชิ้นนั้นออกมา
ฟ่านจวิ้นเม่าดวงตาเป็นประกาย “มีของดีอีกจริงๆ หรือนี่?! ไหนลองเอาออกมาดูสิ หากข้ารู้สึกว่ามีค่าพอ ก็ใช่ว่าจะลงมือไม่ได้ ต่อสู้หนักๆ ยืดเส้นยืดสายก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เจิ้งต้าเฟิงถลันพรวดลุกขึ้นยืน “พอแล้ว! ฟ่านจวิ้นเม่า เรื่องที่เฉินผิงอันจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตมีโอกาสเลือนรางจริงๆ หรือ?”
เห็นได้ชัดว่าต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ความสงสัยใคร่รู้นั้นของฟ่านจวิ้นเม่าจึงไม่ยืดขยายออกไปอีก
ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกว่าน่าเบื่อเล็กน้อย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ “เห็นว่าการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นการหลอมยาหล่อเลี้ยงลมปราณไม่กี่เม็ดของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจริงๆ งั้นหรือ? รู้จักคำว่าฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีหรือไม่? หรือว่าเจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองคือคนโชคดีที่ได้รับความเมตตาปราณีจากสวรรค์ มีวาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า แม้จะไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่หากหาสถานที่สักแห่งหนึ่งมาหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็จะหลอมได้สำเร็จจริงๆ? หากเจ้าเฉินผิงอันทำสำเร็จ ข้าฟ่านจวิ้นเม่าจะควักลูกตาตัวเองออกมาส่งให้เจ้าเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหันมาพูดกับเฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องหลอม!”
น้อยครั้งนักที่ในชีวิตนี้เจิ้งต้าเฟิงจะมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้
เฉินผิงอันเพียงแค่พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ข้ารู้จักโชควาสนาของตัวเองดี”
ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เอาตามนี้ก็แล้วกัน เจิ้งต้าเฟิงเอ๋ย ถึงเวลานั้นจงตั้งใจต่อสู้ให้ดี ข้าจะรอดูอยู่บนหัวเจ้านะ จำไว้ว่าตายให้องอาจผึ่งผายหน่อยล่ะ”
จิ้งต้าเฟิงกลับคืนมาเป็นคนเดิม ยิ้มตาหยีถูมือกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ฟ่าน วันนั้นที่อยู่บนทะเลเมฆจะสวมกระโปรงสีอะไรหรือ ชุดกระโปรงสีเขียวชุดนี้น่าดูก็จริง แต่บางครั้งเจ้าก็ควรจะเปลี่ยนชุดใหม่บ้างนะ”
ถึงอย่างไรฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่เหมือนสตรีหัวไป นางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ถึงเวลานั้นต่อให้ข้าเปลือยก้นยืนอยู่บนแท่นมังกร เจ้าก็ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว ไม่แน่ว่าฝูฉีอาจจะใช้หนึ่งกระบี่แทงเจ้าให้ตายก่อน แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ เลยกระทืบหัวเจ้าให้แหลกซ้ำไปอีก ตอนนั้นลูกตาเจ้าคงปลิ้นถลนออกมา ระเบิดดังปัง ปลิวกระเด็นจากแท่นมังกรขึ้นไปบนทะเลเมฆ เดี๋ยวข้าค่อยใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้ แล้วก็บีบให้แตกโพล๊ะ”
เจิ้งต้าเฟิงรีบพูดวิงวอน “คุณหนูใหญ่ฟ่าน ขอท่านผู้อาวุโสช่วยเห็นแก่ความดีข้าบ้างได้ไหม?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะเสียงดังพลางก้าวยาวๆ เดินจากไป
รอจนฟ่านจวิ้นเม่าจากไปไกลจริงๆ แล้ว เจิ้งต้าเฟิงถึงได้พูดเสียงหนักว่า “โอสถปีศาจเม็ดนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย ขอแค่เจ้าเอาออกมา ไม่ว่าจะเป็นฝูฉี หรือคนของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนใดก็ตาม ถ้าได้เห็นล้วนต้องหวั่นไหวกันทั้งนั้น แล้วเจ้าก็จะสามารถเอามันไปแลกกับโอกาสรอดชีวิต วันนี้เจ้ามอบมันให้ฟ่านจวิ้นเม่า สามารถแลกมาด้วยอะไร?! นางลงมือแล้วอย่างไร ความเป็นไปได้แค่ห้าส่วนเท่านั้น แต่สำหรับข้าเจิ้งต้าเฟิงแล้ว ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่พวกเจ้าทั้งกลุ่มล่ะ จะออกไปจากนครมังกรเฒ่ากันอย่างไร?”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เจ้าเจิ้งต้าเฟิง ข้าไม่เต็มใจหรอกนะ”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน นั่งกลับลงไปบนธรณีประตูอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสยินดีนักหรือไง? นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าไม่อาจเงยหัวเวลาอยู่ต่อหน้าหลี่เอ้อร์ไปได้ตลอดชีวิต”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปทางกำแพงฝั่งนั้น “แต่หากจะให้เป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าเจิ้งต้าเฟิงตอนนี้ ข้ากลับเต็มใจ”
ฟ่านจวิ้นเม่าพลัน ‘กลับมานั่ง’ บนเก้าอี้ตัวนั้น นางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูท่าคงจะมีโอสถปีศาจที่น่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าอยู่เม็ดหนึ่งจริงๆ ขอบเขตสิบเอ็ด? ไม่ถูกสิ โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง! ต้องเป็นโอสถทองของปีศาจใหญ่ที่สำนักฝูจีใบถงทวีปแน่นอน น่าสนใจ น่าสนใจ!”
เจิ้งต้าเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง จ้องเขม็งไปที่สตรีชุดกระโปรงเขียวผู้นี้ “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น เจ้าอย่าหวังว่าจะได้โอสถปีศาจเม็ดนั้นไปครอง!”
ฟ่านจวิ้นเม่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่งแล้วหมุนเบาๆ เห็นเพียงว่าผนังด้านหลังของนางมีไอหมอกเป็นกลุ่มๆ แผ่อบอวลสุดท้ายมารวมตัวกันกลายเป็นเมฆก้อนเล็กอยู่ที่ปลายนิ้วของนาง
หากไม่เตรียมการมาก่อน นางก็คงไม่มีทางได้ยินคำพูดจากใจจริงของเจิ้งต้าเฟิงประโยคนี้
จุ๊ๆ ขนาดคนอย่างเจิ้งต้าเฟิงก็ยังเต็มใจควักหัวจิตหัวใจออกมาให้คนอื่นด้วยหรือ?
ฟ่านจวิ้นเม่าหรี่ตามองประเมินคนหนุ่มผู้นั้น
ฟ่านจวิ้นเม่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองสามารถแบ่งการหลอมออกเป็นสามระดับได้แก่ใหญ่กลางเล็ก การหลอมใหญ่ ระดับความยากไม่แพ้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเลย เพราะฉะนั้นเจ้าเฉินผิงอันอย่าได้หวัง เอามาให้ข้าจะดีกว่า ข้าเป็นผู้ควบคุมทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเจ้า ในความเป็นจริงแล้วตระกูลฝูก็มีหน้าที่คล้ายพ่อบ้านเท่านั้น หากข้าไม่อยู่ ตระกูลฝูสามารถดึงมาใช้ได้เล็กน้อย แต่หากข้าอยู่ ต่อให้เขาแค่อยากจะขยับก้อนเมฆเล็กๆ เท่าก้อนเมฆที่ปลายนิ้วข้านี้ก็ยังทำไม่ได้”
นางเช็ดมุมปาก ไม่อาจปกปิดแววตาเร่าร้อนกระตือรือร้นนั่นได้ “มอบโอสถปีศาจเม็ดนั้นให้ข้า ข้าสามารถฮุบเอาโชคชะตาน้ำของน้ำทะเลนครมังกรเฒ่ามาสามส่วน เลือกช่วงเวลาดีๆ ก็จะมีทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีแล้ว เป็นอย่างไร เอาออกมา ข้าก็มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงมีชีวิตรอด ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วชีวิตด้อยค่าชีวิตนี้ก็ต้องรักษาไม่อยู่ ข้าช่วยเขาหนึ่งครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ขอถามคุณหนูฟ่าน แล้วการหลอมแบบกลางกับแบบเล็กล่ะเป็นอย่างไร?”
ฟ่านจวิ้นเม่าเลิกคิ้ว “หลอมระดับเล็กนั้นไม่ยาก จากนั้นก็เอามาหมักเหล้าดื่มจึงจะเหมาะสมที่สุด ส่วนประสิทธิภาพนั้น ใครดื่มคนนั้นก็ได้รู้เอง!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอามา ‘หลอมระดับกลาง’ ก็แล้วกัน ขอบคุณคุณหนูฟ่านที่เอ่ยเตือน”
ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืน สายตาคมกริบ
เจิ้งต้าเฟิงเองก็ลุกขึ้นพูดเสียงหนัก “ฟ่านจวิ้นเม่า! เจ้าอย่าลืมล่ะว่าที่ข้ายังมีเทพหยินอยู่ตนหนึ่ง! หากเจ้ากล้าลงมือ ข้าก็กล้าทำให้ขอบเขตของเจ้าถูกถ่วงให้เลื่อนขั้นล่าช้าอย่างน้อยร้อยปี!”
ฟ่านจิ้นเม่าเดินกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกช่วงที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของร้านยา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเจ้าคนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น
ถึงท้ายที่สุดฟ่านจวิ้นเม่าก็กระทืบเท้า ทะยานตัวผลุบหายเข้าไปในทะเลเมฆ นางกำลังอารมณ์เสียสุดขีด แผดเสียงตะโกนพลางโบกชายแขนเสื้อคว้าจับทะเลเมฆมาเป็นกลุ่มก้อนแล้วปล่อยให้พวกมันชนปะทะกันเองจนแหลกสลาย
นางอาละวาดอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายก็ทิ้งตัวนอนหงายอยู่บนทะเลเมฆ “เอามาหลอมแบบเล็กทำเป็นเหล้าดื่ม ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว”
นางเช็ดน้ำลายที่ปากแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาบนทะเลเมฆ
ทางฝั่งของตรอก เจิ้งต้าเฟิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่มั่นคงดุจภูผา “เจ้านี่มันใจกล้าจริงๆ!”
เฉินผิงอันพูดโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “เจ้าลองดูที่แผ่นหลังข้าสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงข้ามธรณีประตูไปดูจริงๆ จึงเห็นว่าเฉินผิงอันเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง…
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะแล้วกลับมานั่งบนธรณีประตูอีกครั้ง พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มผิวดำเป็นถ่านที่ปีนั้นได้แต่มองทัศนียภาพนอกประตูจะกลายมาเป็นอย่างในวันนี้ได้”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จิบเหล้าคำเล็กๆ “ตัวข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันหันหน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “เปลี่ยนเป็นดีขึ้น หรือว่าเปลี่ยนเป็นแย่ลงล่ะ?”
เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็ตอบว่า “น่าจะไม่เลวกระมัง”
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ตบบ้องหูตัวเอง “เจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่กับเผยเฉียนจูเหลี่ยนแค่วันเดียวก็รู้จักพูดประจบแล้วรึ?”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืน พึมพำพลางเดินกลับไปในเรือนด้านหลังร้านยา เรียกคนทั้งสี่ออกมาประมือ คราวนี้คนทั้งสี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เจิ้งต้าเฟิงนำมา ไม่เหมือนว่าจะป้อนหมัด กลับเหมือนว่าจะเอาพวกเขามาซ้อมมือเสียมากกว่า
ฟ่านเอ้อร์หัวเราะวิ่งออกมาจากร้าน มานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ข้าเอาของวางไว้ในห้องให้เรียบร้อยแล้ว”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าคงจะไม่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้วล่ะ แต่อยากหลอมของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแทน เจ้ารีบกลับไปเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน อย่าสร้างปัญหาเพิ่มให้กับตระกูล”
ฟ่านเอ้อร์เองก็ไม่มัวโอ้เอ้ “วันหน้าข้าค่อยหาโอกาสมาที่ร้านยานี่อีกครั้ง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปส่งฟ่านเอ้อร์ที่หัวเลี้ยว ที่นั่นมีรถม้ามาจอดรออยู่นานแล้ว สารถีก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองที่อยู่บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาคนนั้น หม่าจื้อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือเหลียงอิน
การฝึกตนของผู้ฝึกกระบี่ ถ้ำสถิตหกสิบปีผู้ฝึกลมปราณแก่หง่อม ถ้ำสถิตร้อยปีผู้ฝึกกระบี่ยังเป็นหนุ่ม
ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อยังเคยระบายความทุกข์กับเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหากตระกูลฟ่านยินดีเอาทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลออกมาช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นผู้ถวายงานเช่นเขา เขาก็สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดได้แล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้เดินออกจากตรอก เพียงยิ้มพลางโบกมือทักทายผู้ฝึกกระบี่เฒ่า หม่าจื้อก็ผงกศีรษะยิ้มกลับ
ในค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันนอนอยู่บนหลังคา ในมือคือป้ายหยกที่ไม่ค่อยเอาออกมาบ่อยนัก เขามองมันด้วยสายตาเหม่อลอย ภายใต้แสงจันทร์ แผ่นหยกใสแวววาว
ตอนนี้เฉินผิงอันเหลือเงินเทพเซียนอีกไม่มาก ทว่าทรัพย์สินกลับไม่ถือว่าน้อย แผ่นหยกชิ้นนี้ก็คือหนึ่งในทรัพย์สินที่เฉินผิงอันมีมานานที่สุด ตั้งแต่ก่อนจะออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งแรกไปต้าสุยก็มีมันแล้ว
เขาไม่ได้หลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้น
ชีวิตคนเดินอยู่บนเส้นทาง บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นหลุมที่อันตราย ลองเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเองก็ถือว่าถูกแล้ว แต่เมื่อเจอกับการล่อลวงบางอย่างก็ต้องฟังประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น ‘ชะตาชีวิตแปดฉื่อ อย่าไขว่คว้าหนึ่งจั้ง’
เฉินผิงอันวางแผ่นหยกไว้บนกาย เอาสองมือปิดทับมันเบาๆ หลับตาลง
กระบี่ชือซินได้ให้สุยโย่วเปียนยืมไปแล้ว แต่ต่อให้ไม่มีสุยโย่วเปียน สำหรับเฉินผิงอันแล้ว กระบี่เล่มนั้นก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอนัก น่าเสียดายที่ต้องทิ้งกระบี่ปราณยาวไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่อย่างนั้นก็เอาออกมาใช้ต้านรับศัตรูได้แล้ว
หากมีคนที่ให้ข้ายืมกระบี่ได้ก็คงดี
ทว่าใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนั้น
จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนวันช่วงที่อากาศหนาวที่สุด ร้านยาฮุยเฉินยังคงอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่มีลูกค้ามาเยือนแม้แต่คนเดียว
ทว่าไม่มีลูกค้า แต่เรือข้ามทวีปที่ว่างเปล่าลำหนึ่งกลับมาจอดอยู่ตรงท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลแห่งนั้น
ฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า หมัวมัวก่อกำเนิดที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน และยังมีตู้เหยี่ยนลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงกลับมายืนเคียงไหล่กัน รอคอยให้มีคนเดินลงมาจากเรือลำนั้น
สุดท้ายมีเพียงผู้เฒ่าลักษณะไม่สะดุดตาคนหนึ่งเดินลงเรือข้ามฟากมา
หากคนทั้งสามคนที่ไล่ฆ่าปีศาจใหญ่ของสำนักฝูจีในเวลานั้นอยู่ตรงนี้ด้วยย่อมต้องรู้จักคนผู้นี้แน่นอน
บรรพบุรุษแซ่ตู้ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักใบถงท่านนั้น
ผู้เฒ่าที่สวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายเดินลงจากเรือมาอย่างเชื่องช้า มองเห็นทุกคนที่รออยู่ตรงท่าเรือก็เอ่ยทักทายอย่างสุภาพมีมารยาท พูดจาปราศรัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวอย่างที่เจียงซ่างเจินเรียกว่า ‘ผู้เฒ่าวิปริตของสำนักใบถง’ เลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อผู้เฒ่ามองไปยังทิศทางของนครมังกรเฒ่า พอเปิดปากพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกลับทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันเหมือนขุนเขากดทับได้ทันที “คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า?”
ฝูฉียิ้มขื่นตอบ “ใช่แล้ว”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปาก “ความต้องการของราชสำนักต้าหลีคือให้ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าพวกเจ้ามอบเรือข้ามฟากเส้นทางเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวให้สำนักใบถงข้าสี่ลำ ของขวัญนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว”
—–