ช่วงที่อากาศหนาวจัด นกโบยบินผ่านม่านฟ้าไปอย่างว่องไว
ข้างแท่นมังกร เสียงลมหวีดหวิวประหนึ่งเสียงกรีดร้องของสตรีคลุ้มคลั่งที่ดังขึ้นไม่หยุด
ในนครมังกรเฒ่า รถม้าหลายคันมาจอดอยู่ตรงหัวเลี้ยวของถนนนอกร้านยาฮุยเฉิน
เพียงคำสั่งเดียวจากตระกูลฝู เมืองทั้งเมืองก็ถูกป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนอิสระและชาวบ้านไปชมการต่อสู่ที่แท่นมังกรนอกเมือง ยังห้ามไม่ให้ทุกคนที่ไม่ได้ใช้หกแซ่ใหญ่ออกมาเดินบนถนน แน่นอนว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีเส้นสายสามารถยืมป้ายคำสั่งจากตระกูลหกแซ่ที่สนิทสนมกันมาหนึ่งแผ่น เมื่อเอามาแขวนไว้ตรงเอวก็จะสามารถไปเยือนระหว่างแท่นมังกรและเมืองชั้นในได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค สำหรับเรื่องนี้ในเมืองนครมังกรเฒ่าก็มีเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ตอนนี้ตระกูลฝูมีบารมีและอำนาจมากล้น อีกทั้งตระกูลฝูยังแจ้งเรื่องนี้กับคนในตระกูลอื่นที่สำคัญนอกเหนือจากหกแซ่ไว้ก่อนแล้ว ไม่มีใครมีความคิดชั่วร้ายหรือกลอุบายมากนัก ความขัดแย้งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำในนครมังกรเฒ่าก็ถูกสยบไว้ในทันที พวกเด็กเกเรบางคนที่ถือดีในสถานะของตัวเองถูกผู้ฝึกตนตระกูลฝูที่ห้อยหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณไว้ตรงเอวขัดขวางไว้ หลังกลับไปถึงจวนก็ถูกผู้อาวุโสที่รู้ข่าวด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ตำหนิพวกเขาว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร
ร้านยาฮุยเฉิน หลังจากกินโจ๊กที่จูเหลี่ยนเป็นคนต้มไปแล้ว คนทั้งกลุ่มก็เตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังแท่นมังกร
เจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาจากห้องหลักก่อน เขาสูบยาอยู่ตรงหน้าประตูสองสามที สีหน้าไม่มีความตึงเครียดใดๆ แต่เมื่อเทียบกับท่าทางสกปรกมอซออย่างในเวลาปกติแล้ว วันนี้กลับเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ดูเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับสะอาดเอี่ยม
จูเหลี่ยนและเผยเฉียนเก็บชามและตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะ
สุยโย่วเปียนสวมชุดสีขาว สะพายกระบี่ชือซินที่หลังจาก ‘กินหัวใจไปนับไม่ถ้วน’ ระดับขั้นก็เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ไว้ด้านหลัง นางยืนอยู่ใต้ชายคา ตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดร่างทอง บุคลิกสง่างามโดดเด่น มองไปคล้ายเทพเซียน
หลูป๋ายเซี่ยงยังคงสวมชุดขงจื๊อดังเดิม ไม่ถือเม็ดหมากเอามาถูกันกลางฝ่ามืออีกแล้ว ห้อยดาบแคบหยุดหิมะ ดาบพกเล่มนี้ เจ้าของคนเดิมคือเซียนดินก่อกำเนิดแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชอบกำจัดปีศาจปราบมาร มีชื่อเสียงดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และยิ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าปีศาจที่วางแผนทิ้งร่องรอยไว้ไกลเป็นพันลี้ ป้ายหยกผู้สืบทอดศาลบรรพชนแผ่นหนึ่งทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในวงล้อมสังหารที่วัดร้าง
วันนี้เว่ยเซี่ยนแต่งกายสะดุดตาที่สุด เขาถามเฉินผิงอันว่าสวมชุดคลุมมังกรอยู่ในนครมังกรเฒ่าผิดกฎหมายหรือไม่ เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้มว่าต่อให้เจ้าสวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมลายปักของฮองเฮาก็ยังไม่มีใครสนใจเจ้า เว่ยเซี่ยนจึงสวมชุดคลุมมังกรที่นำออกมาจากม้วนภาพวาดด้วย บนร่างสวมชุดพิธีการของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน ในชายแขนเสื้อซ่อนเม็ดเสื้อเกราะซีเยว่ซึ่งเป็นหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแห่งสำนักการทหารเอาไว้
จูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นดั่งพ่อครัวเช็ดหยดน้ำบนมือ เดินออกมาจากห้องครัว ด้านหลังคือเผยเฉียนที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
วันนี้เฉินผิงอันยังคงสวมจินหลี่ชุดคลุมอาคมตัวนั้น บนมวยผมปักปิ่นหยกที่ทำจากวัสดุธรรมดา ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด อีกฝั่งหนึ่งห้อยแผ่นหยกสีขาวที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
แผ่นหยกนี้เฉินผิงอันเอาออกมาจากช่องโพรงลมปราณที่เคยมี ‘ปราณกระบี่ที่เล็กที่สุดกลุ่มหนึ่ง’ ขดตัวนอนอยู่ ถือเป็นการหล่อหลอมระดับเล็กของฟ่านจวิ้นเม่า ตอนนี้ยังคงได้แค่มอง ไม่อาจใช้
การดำรงอยู่ของมัน เดิมทีก็แค่มีไว้ให้ระลึกถึงเท่านั้น
หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ นี่คือหนึ่งในความยึดมั่นถือมั่นที่มีไม่มากของเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอัน
แก้แค้นให้พ่อแม่ เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ตามที่รับปากหนิงเหยาเอาไว้ สัญญาหกสิบปีกับพี่หญิงวิญญาณกระบี่ สักวันหนึ่งจะสามารถพูดประโยคนี้แก่ใต้หล้าทั้งสี่แห่งได้อย่างเปิดเผย
วันนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ คือคู่ที่ก่อนหน้านี้เผยเฉียนแอบเอามาให้ ฟ้ายังไม่ทันสาง เผยเฉียนก็ตื่นขึ้นมา คลำความมืดเดินมาหาเฉินผิงอันที่ปูผ้านอนอยู่ในร้านยาด้านหน้า ในมือหิ้วรองเท้าหุ้มแข้งคู่หนึ่ง เฉินผิงอันถามด้วยความแปลกใจว่าไปเอารองเท้ามาจากไหน เผยเฉียนบอกว่าครั้งนั้นที่อยู่โรงเตี๊ยม นางยืมเงินหลายตำลึงมาจากพวกจิ่วเหนียงใช่ไหมล่ะ ตอนที่ไปเมืองหูเอ๋อร์นอกจากจะซื้อของกินแล้ว ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ก็คือรองเท้าคู่นี้ อยากมอบให้เฉินผิงอันตั้งนานแล้ว แต่ภายหลังคนที่เมืองหูเอ๋อร์มาด่าถึงหน้าโรงเตี๊ยม แล้วเฉินผิงอันก็จะไล่นางไป จะทิ้งนางไว้ที่โรงเตี๊ยมคนเดียว นางโกรธมาก ก็เลยเอามันไปฝัง ตอนหลังเฉินผิงอันเปลี่ยนใจพานางไปที่เมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน คืนนั้นนางเลยแอบไปขุดออกมา ตอนนั้นจงขุยก็ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างกายนางด้วย แถมยังบอกว่านั่นเรียกว่าหลุมอีกวานอะไรสักอย่าง ตลอดทางตั้งแต่เมืองเซิ่นจิ่งมาถึงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาชิงจิ้ง จนกระทั่งมาถึงนครมังกรเฒ่า นางกลัวอยู่ตลอดว่าเรื่องหลุมอีกวานนี้จะทำให้เฉินผิงอันโมโห นางเหมือนคนทำความผิดแล้วร้อนตัวจึงไม่เคยกล้าหยิบมันออกมา
ตอนนั้นหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก ผู้ใหญ่นั่งอยู่บนผ้าปูนอน เริ่มสวมรองเท้า รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยชมเด็กหญิงผอมแห้ง เพียงแต่คำพูดที่อยากพูดได้ปรากฏให้เห็นในดวงตาใสกระจ่างบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว
คนเด็กนั่งยองอยู่ด้านข้าง ถามว่า “พอดีเท้าไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอดี”
เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันสวมรองเท้าเรียบร้อย ลุกขึ้นกระโดดอยู่สองทีก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จำบุญคุณคน บอกว่าให้เผยเฉียนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินกับเทพหยินแซ่จ้าว ไม่ต้องตามไปที่แท่นมังกรด้วย และถ้าหลังจากนั้นเทพหยินต้องออกไปจากร้านยา เผยเฉียนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่ไม่ออกไปจากร้านยาโดยพลการก็จะไม่มีอันตรายแล้ว
เผยเฉียนย่อมไม่ยินดี หลายวันมานี้นางตั้งใจฝึกวิชากระบี่บ้าคลั่งกระบวนท่านั้นทุกวัน เพียงแต่เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยหน้าตาจริงจังจึงได้แต่ไหล่ลู่คอตก รับคำว่าอ้อหนึ่งคำ
เวลานี้เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิงพลางถามด้วยรอยยิ้ม “เอาอย่างไร ออกเดินทางเลยไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงสูบยาแรงๆ หนึ่งคำ ห้อยกระบอกยาสูบไว้ตรงเอว ก้าวยาวๆ ไปทางลานบ้าน “ไป!”
คนทั้งกลุ่มเดินทางออกจากร้านยาฮุยเฉิน มาเดินอยู่ในตรอก
ขึ้นรถม้าที่ตระกูลฟ่านส่งมาให้ ทั้งฟ่านเอ้อร์และผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อต่างก็ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ฟ่านเอ้อร์มาเยือนร้านยาอีกหนึ่งรอบ คนทั้งสองนั่งดื่มเหล้ากันบนหลังคา เฉินผิงอันจึงบอกเขาว่าวันที่อากาศหนาวจัดนี้ห้ามมาปรากฎอยู่ตัวใกล้กับร้านยาเด็ดขาด ฟ่านเอ้อร์บอกว่าเขารู้หนักเบา ไม่มีทางทำอะไรตามใจตัวเองแน่นอน
เผยเฉียนหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งหน้าประตูร้านยาฮุยเฉิน ก้มหน้าค้อมเอว ใช้สองมือกอดเข่า
ตรงฝ่าเท้าวางไม้เท้าเดินป่าที่อยู่กับนางมานานอันนั้น มันถูกนางเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้วเอาเท้าคลึงเบาๆ มันจึงกลิ้งกลับไปกลับมา
ตรงธรณีประตูยังวางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ เฉินผิงอันบอกให้นางทำเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในร้านยาฮุยเฉินก็ต้องเอาร่มมาวางไว้ใกล้ๆ ตัว
ตอนนี้เทพหยินแซ่จ้าวยังไม่ต้องทำอะไร ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงหักกระบอกยาสูบอันนั้น มันก็จะไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงทันที แต่หากไปโผล่ที่แท่นมังกรเร็วเกินไป ไม่แน่ว่าทางฝ่ายนั้นอาจจะวางแผนรับมือไว้นานแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะไม่ควร บริเวณใกล้เคียงกับแท่นมังกรควรต้องพูดว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างแท้จริง คนที่มีคุณสมบัติไปอยู่ที่นั่นล้วนเป็นยอดฝีมือที่สูงส่งของนครมังกรเฒ่าทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือปรมาจารย์ที่เป็นผู้ถวายงานรับใช้ห้าแซ่ใหญ่เลย
เทพหยินตนนั้นมายืนอยู่ข้างกายเด็กหญิงผอมดำ ถามว่า “เป็นห่วงเฉินผิงอันหรือ?”
เผยเฉียนพูดเบาๆ “พ่อข้าร้ายกาจขนาดนั้น”
เทพหยินแซ่จ้าวที่เดินออกมาจากศาลเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ร้ายกาจก็ร้ายกาจอยู่หรอก แต่โง่ไปหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของเขา เขากลับดึงดันจะเดินเข้ามาในบ่อน้ำขุ่นนี้ให้ได้”
เผยเฉียนไม่ได้เต้นผางด่าคนอย่างที่หาได้ยาก นางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก็นั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะเอาข้ามาอยู่ข้างกายตลอดเวลาหรือ? ทั้งๆ ที่ข้าเป็นตัวขาดทุน พ่อข้ามีเงินมากขนาดนั้น แต่กลับเป็นพวกขี้งก ไม่เคยใช้เงินมือเติบ เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็ยังอยากจะแบ่งใช้เป็นแปดส่วนด้วยซ้ำ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งกลุ้ม เผยเฉียนยืดเอวตรง หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ แปะเพี๊ยะไว้บนหน้าผากตัวเอง เชิดหน้าขึ้น อมลมจนแก้มพอง เป่าให้ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจปลิวเบาๆ
รถม้าสามคันแล่นจากในเมืองไปยังนอกเมือง
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันหน้าสุดเพียงลำพัง หลับตาทำสมาธิ พยายามสะกดกลั้นปณิธานหมัดของทั้งร่างเอาไว้ แต่กลับยังมีลางว่ามันจะล้นเอ่อออกมา ทุกครั้งที่รถม้ากระเด้งกระดอนก็จะมีพายุลมกรดแผ่กระเพื่อมไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เจิ้งต้าเฟิงหายใจเข้าออก พวกมันก็กลับเข้าไปในร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดย่อมต้องมีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เดิมทีเฉินผิงอันควรจะนั่งอยู่กับจูเหลี่ยนสุนัขรับใช้ที่เรียกตัวเองว่าบ่าวเฒ่า เพียงแต่สุยโย่วเปียนชิงตัดหน้าไปก่อน จูเหลี่ยนรู้กาลเทศะจึงหัวเราะเฮอๆ แล้วเดินไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง
ในห้องโดยสาร คนทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
สุยโย่วเปียนเปิดปากถาม “เจ้าโปรดปรานหลูป๋ายเซี่ยง เป็นเพราะเขาเป็นคนแรกที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ พูดบางประโยคให้เจ้าฟังใช่หรือไม่? เจ้าไม่พอใจข้าขนาดนี้เป็นเพราะตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน ข้าเคยเผยจิตสังหารต่อเจ้า จนเจ้าสัมผัสได้ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันถามกลับ “นักพรตเฒ่าบอกว่าหลังจากพวกเจ้าออกมาจากภาพวาด ย่อมต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า เป็นเพราะเขาเล่นตุกติกกับสภาพจิตใจของพวกเจ้าใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ ไม่เพียงแต่ครั้งนั้นที่เจ้าเผยจิตสังหารต่อข้า ในสายตาของข้า พวกเจ้าสี่คนคือคนตายที่มีชีวิตอยู่ เป็นคนย่อมต้องมีอารมณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง ต่อให้จิตใจจะสงบดุจน้ำนิ่ง ดุจบ่อโบราณไร้คลื่นแค่ไหน บนเส้นทางของการฝึกตนล้วนไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเองไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจเดิม ดังนั้นข้าจึงสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า เหตุใดนักพรตเฒ่าถึงกล้าบอกให้ข้าใช้งานพวกเจ้าได้อย่างวางใจ”
สุยโย่วเปียนเองก็ถามกลับ “เจ้าไม่เชื่อใจ…ท่านเทพเทวาแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเราหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “สำหรับเรื่องนี้ ข้าเชื่อใจนักพรตเฒ่า”
สุยโย่วเปียนยื่นมือมาปาดผ่านฝักกระบี่ชือซินที่วางพาดไว้บนหัวเข่า “พวกเราสี่คนต่างก็ได้รับคำพูดกันคนละหนึ่งประโยค แต่อันที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่คนทั้งสี่ล้วนรู้ดี…เว่ยเซี่ยนนั้นบอกได้ยาก เพราะเขาไม่เคยมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพวกเราสามคน แต่อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็รู้ประโยคนี้”
เฉินผิงอันถาม “บอกได้ไหม?”
สุยโย่วเปียนยิ้มเจื่อน “อันที่จริงก็บอกได้ ก็คือประโยคว่า ‘คนที่ฆ่าเฉินผิงอันตายกับมือตัวเอง จะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับอิสระ’ ดังนั้นหากเจ้าเชิญข้าออกจากม้วนภาพวาดเป็นคนแรก ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องพยายามฆ่าเจ้าให้ได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่เว่ยเซี่ยนได้เดินออกมาจากภาพวาดเป็นคนแรก แต่กลับไม่ได้ลงมือต่อเจ้า หรือถึงขั้นไม่มีแม้แต่จิตสังหาร ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ รอจนศึกที่โรงเตี๊ยม เจ้าเชิญคนสามคนออกมาพร้อมกันจึงกลายมาเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันเอง ใครก็ไม่ต้องการให้คนอื่นทำสำเร็จ กลายเป็นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ คนนั้น”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แต่ตอนอยู่นอกวัดร้าง เว่ยเซี่ยนพูดเองว่าหากข้าตาย พวกเจ้าล้วนต้องตาย นี่ไม่ขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?”
สุยโย่วเปียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่เป็นเพราะเว่ยเซี่ยนโกหกครึ่งหนึ่ง ก็ต้องเป็นเทพเทวาผู้เฒ่าท่านนั้นที่คาดเดาได้ว่าเจ้าจะเชิญเว่ยเซี่ยนออกมาก่อนจึงจงใจไม่พูดประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยข้า หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนสามคนจะไม่มีทางอนุญาตให้อีกสองในสามคนที่เหลือสังหารเจ้าเด็ดขาด ใครกล้าคิดฆ่าเจ้า เขาก็จะต้องตกเป็นเป้าหมายที่ถูกอีกสองคนที่เหลือหมายหัวสังหาร ไม่ว่าจะมีประโยคที่ไม่รู้ว่าเว่ยเซี่ยนพูดจริงหรือเท็จประโยคนั้นหรือไม่ พวกเราล้วนไม่ยินดีสูญเสียโอกาสที่จะ…ได้เป็นอิสระไป เจ้าเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน น่าจะรู้ว่าสำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว อิสระ ไม่ใช่สิ่งที่แสวงหาซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับ ‘อิสระ’ ที่สุยโย่วเปียนกล่าวถึง เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “มิน่าเล่าถึงได้พูดกันว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต ฟ้าลิขิตได้กำหนดความคิดจิตใจของคนเอาไว้หมดแล้ว”
แต่ไม่นานเฉินผิงอันกลับปฏิเสธข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงนี้ “ไม่ใช่ทุกเรื่องและทุกคนที่จะเป็นอย่างนี้เสมอไป”
สุยโย่วเปียนถามด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้ คุณชายก็ขาดทุนอย่างหนัก คุ้มแล้วหรือ?”
ใต้หล้าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ภูเขาสูงชันเกินไป ผู้ฝึกตนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ไกลเกินไป คนและเรื่องราวที่ไม่มีคุณค่ามีมากมายเกินไป
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาเริ่มหลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
รถม้าสามคันขับออกไปนอกเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังแท่นมังกร
—–