คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงพาเรือข้ามฟากลำนั้นมาด้วยเล่า? ข้ากำลังรอจั่วโย่วผู้นั้นอยู่ ไม่กลัวว่าเขาจะมา กลัวแต่ว่าเขาจะปล่อยให้ข้านำวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นมาเสียเที่ยวต่างหาก”
ตู้เหยี่ยนอารมณ์ฮึกเหิม กุมมือประสานกล่าวว่า “ท่านบรรพจารย์ช่างปราดเปรื่อง ความองอาจห้าวหาญของท่านเป็นหนึ่งในใบถงทวีปของพวกเรา!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดเหลวไหลพวกนี้อย่าพูดมากเลย มีความสามารถจริงก็เดินไปให้สูงถึงระดับเดียวกับข้าเสียก่อน แล้วค่อยให้ลูกหลาน ให้ลูกศิษย์รุ่นหลังในสำนักของพวกเจ้าเอ่ยคำประจบเยินยอแบบนี้ให้เจ้าฟัง”
ตู้เหยี่ยนกล่าวอย่างกระวนกระวาย “มิกล้าคาดหวัง”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็เป็นเศษสวะที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เพียงแต่โชคดีที่ใช้แซ่ตามข้า”
ตู้เหยี่ยนไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “โชคดีก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ”
ผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “คำกล่าวนี้ก็ไม่ผิด”
ผู้เฒ่าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว
พริบตานั้นผู้เฒ่าก็มาโผล่ตรงหน้าเจิ้งต้าเฟิง ห่างออกไปแค่สองสามก้าวเท่านั้น ใบหน้าแทบจะชนใบหน้าอยู่แล้ว แต่เพราะตัวไม่สูงพอ ผู้เฒ่าจึงต้องแหงนหน้ามองผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่บาดเจ็บไม่เบาผู้นี้เล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าคือคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจู ทำงานให้ตาเฒ่าประหลาดผู้นั้น ไม่รู้ว่าหากข้าฆ่าเจ้าตาย เขาจะกล้าออกจากกรงขังแห่งนั้นมาหาเรื่องข้าหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน
แค่ปล่อยหมัดหนึ่งหมัดออกไปเท่านั้น
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยืนเฉยรับหมัด เขาถอยกรูดออกไปด้านหลังหลายก้าว เพียงแต่ร่างทั้งร่างยังคงนิ่งตระหง่านดุจขุนเขา
หันกลับไปมองเจิ้งต้าเฟิง ตรงหน้าท้องของเขาถูกอาวุธลักษณะเหมือนเรือลำเล็กยาวสองช่วงแขนแทงทะลุไปแล้ว
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งออกมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากด้วยความเคยชิน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอะไร ไหนบอกว่าร่างกายของผู้ฝึกลมปราณบอบบางเหมือนกระดาษอย่างไรเล่า ข้าว่าก็ไม่ได้เหมือนกันทุกคนหรอก”
ผู้เฒ่าดีดนิ้วสลัดเลือดสดหยดนั้นทิ้ง จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าท้องของเจิ้งต้าเฟิง “นี่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ชีวิตนี้ข้ารำคาญพวกผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด พวกเขาชอบทำตัวโดดเด่นเกินไป โดยเฉพาะพวกเซียนกระบี่ที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร ข้าล่ะอยากจะควักลูกตาของพวกเขาออกมาแล้วยัดใส่ก้นพวกเขาซะ น่าเสียดายที่รอจนข้ามีความสามารถจนทำเรื่องพวกนี้ได้กลับต้องเคารพกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้อีก กรงขังใหญ่นี่นะ ไม่อาจออกไปจากภูเขาได้ง่ายๆ เจ้าว่ามันน่าเจ็บใจหรือไม่?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็เหลือบมองไปยังม่านฟ้าแวบหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงเดินออกไปหนึ่งก้าว ปล่อยหมัดใส่ผู้เฒ่าอีกครั้ง
ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าเบี่ยงตัวหลบ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากดศีรษะของเจิ้งต้าเฟิง ผลักเขาให้ถอยไปด้านหลัง
เจิ้งต้าเฟิงกระเด็นไปร้อยจั้งกว่า ตรงหน้าท้องยังถูกปักตรึงไว้ด้วยเรือลำเล็กที่ลักษณะคล้ายกระบี่บิน นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด พยายามลุกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามว่า “เรียกจั่วโย่วมาได้ไหม?”
ไม่รอฟังคำตอบจากคนหนุ่มก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง
ชุดขาวลอยลิ่วออกไป เพียงแต่ว่าพลิกตัวกลับอยู่กลางอากาศอย่างปราดเปรียว ก่อนจะพลิ้วกายลงบนพื้น เท้าหน้าและหลังกระแทกลงบนพื้นหนักๆ ถึงจะหยุดการถอยร่นของเรือนกายเอาไว้ได้ ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างโบกปลิว
ผู้เฒ่าตกตะลึงเล็กน้อย “ดีกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย ถึงกับมีพรสวรรค์ ไม่ได้เป็นแค่เศษสวะ ไม่เลวๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้แซ่ตู้ ถ้าอย่างนั้นตายไปก็…ไม่น่าเสียดาย!”
ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งกดลงเบาๆ
มือใหญ่สีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขาแหวกทะเลเมฆเบื้องบนเหนือนครมังกรเฒ่ากดลงมาใส่ศีรษะของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกหมัดใส่บนท้องฟ้า
ในรัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน
ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันเดินขึ้นเนินมาช้าๆ มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นของผู้เฒ่าอีกครั้ง
ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านพลางพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “ดูท่าจั่วโย่วคงไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า แน่นอนว่าไม่มาแล้ว…”
ระหว่างที่เขาพูด เฉินผิงอันที่ชุดอาคลุมจินหลี่กลายเป็นสีทองซึ่งเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็คล้ายถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งปาดกระแทกเข้าที่เอว ร่างทั้งร่างลอยหวือไปกลางอากาศวาดเส้นโค้งหนึ่งเส้น ก่อนจะไปกระแทกลงบนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าที่อยู่ด้านหลังผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เป็นต้นกล้าที่ดีแล้วอย่างไร แม้แต่ห้าขอบเขตบนก็ยังไม่ใช่ ก็ยังเรียกว่าเศษสวะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ไม่แม้แต่จะชายตามองกำแพงเมืองด้านหลัง ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วดีดไปด้านหลังเบาๆ หนึ่งที
บนกำแพงเมืองจุดที่ร่างของเฉินผิงอันกระแทกลงไปปรากฏเป็นรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ พอผู้เฒ่าดีดนิ้ว เฉินผิงอันที่ร่างฝังอยู่กลางกำแพงเมืองก็พุ่งทะลุกำแพงเมืองออกไปตกอยู่นอกเมือง
ผู้เฒ่าเกาหัว รออยู่พักหนึ่ง ฟ้าดินยังคงเงียบสงัดดังเดิม
เจิ้งต้าเฟิงนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้น ผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถทดลองหักกระบอกยาสูบเก่าแก่อันนั้นได้ ข้าอยากรู้นักว่าตาแก่นั่นจะมาช่วยเหลือเจ้าด้วยตัวเองหรือว่าจะใช้ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ อันต่ำต้อยของเขา”
เจิ้งต้าเฟิงถ่มเลือดสดทิ้ง พูดอย่างยากลำบาก “ฆ่าข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเป็นตาแก่ของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้นที่มายืนอยู่ต่อหน้าข้า แล้วพูดประโยคนี้กับข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมพิจารณา”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว หันหน้ามองไป
คนหนุ่มผู้นั้นกลับฝืนพาตัวมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางหลุมโพรงขนาดใหญ่บนกำแพงเมืองได้ใหม่อีกครั้ง ในมือถือของอย่างหนึ่งลักษณะคล้ายเม็ดยา
หมัวมัวผู้อบรมมารยาทสีหน้ามืดทะมึน “คือโอสถปีศาจห้าขอบเขตบนเม็ดหนึ่ง หากเป็นของที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว ระเบิดแตกเมื่อไหร่ แถบตะวันออกทั้งแถบของนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็จะพังราบไปด้วย”
ฝูหนันหัวหัวเราะเบาๆ “คนผู้นี้ไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”
หมัวมัวผู้อบรมมารยาทมีสีหน้าปั้นยาก ชำเลืองตามองฝูหนันหัว ฝ่ายหลังจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คนแบบเขาก็โง่อย่างนี้แหละ”
ซุนเจียซู่ถอนหายใจหนึ่งที เฉินผิงอันไม่มีทางทำแบบนั้นจริงๆ
เขาเพิ่งจะเดินออกไปหนึ่งก้าวก็ถูกบุรพาจารย์ก่อกำเนิดยื่นมือมากดไหล่เอาไว้ “ห้ามออกหน้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผนการและสิ่งที่ตระกูลซุนทุ่มเทไปในครั้งนี้จะต้องเสียเปล่า”
ซุนเจียซู่ดิ้นรน แต่กลับถูกผู้เฒ่ากดตัวไว้อย่างแน่นหนา “เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้! นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าซุนเจียซู่คนเดียว”
ซุนเจียซู่ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกบรรพบุรุษของตระกูลซุนตีจนสลบไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ริมกำแพงที่แตกพังยับเยิน แบฝ่ามือออก “โอสถปีศาจเม็ดนี้ของข้า ขอซื้อชีวิตเจิ้งต้าเฟิง”
แม้ว่าจะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทว่าผู้เฒ่ากลับยังได้ยินอย่างชัดเจน “ชีวิตของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งมีค่ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทว่าต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ามีน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังมากกว่าโอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนี้อยู่เล็กน้อย ข้ารับปาก”
เขายื่นมือมาคว้า โอสถปีศาจขอบเขตสิบสองเม็ดนั้นก็เข้ามาอยู่ในกระเป๋า แต่จากนั้นเขากลับหัวเราะเสียงเย็น “ชีวิตของเจิ้งต้าเฟิงเหลือไว้ให้เจ้า แต่ขอบเขตวรยุทธของเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ อย่าได้เก็บไว้อีกเลย”
เห็นเพียงผู้เฒ่ากระทืบเท้าหนึ่งครั้ง
เสียงลั่นแตกเป็นระลอกก็ดังมาจากกระดูกสันหลังของเจิ้งต้าเฟิงที่พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งนอนพังพาบอยู่บนพื้นราวกับไม่มีกระดูก
ผู้เฒ่ามองไปยังคนหนุ่มผู้นั้น “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าจะเอาอะไรมาซื้อชีวิตของตัวเองอีกล่ะ? จำไว้ว่าต้องมีค่ายิ่งกว่าโอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองถึงจะได้”
คนหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ร่างทั้งร่างราวกับเป็นมนุษย์เลือด มองเห็นหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจนแล้ว
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่างก็พูดกันว่าข้าคนนี้นิสัยไม่ดี แต่วันนี้ข้าจะแหกกฎสักครั้ง จะยอมรอเจ้าสักประเดี๋ยว”
บุรพาจารย์ผู้กอบกู้สำนักใบถงที่หน้าตาไม่โดดเด่นท่านนี้มีอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ชื่อว่า เรือกลืนกระบี่
คือโครงกระดูกที่สมบูรณ์แบบของปลาวาฬกลืนสมบัติตัวใหญ่ยักษ์ในยุคบรรพกาลตัวหนึ่ง ใช้เวลาหกร้อยปีเต็มถึงจะหล่อหลอมได้สำเร็จ ในช่วงหกร้อยปีที่ผ่านมานี้ สำนักใบถงต้องทุ่มทั้งพลังคนและทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อลองเสี่ยงดวง
มีเพียงครั้งเดียวที่สำนักใบถงเคยถูกสำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้ข่มบารมี นั่นคือช่วงเวลาอันน่าเศร้าสลดใจ อันดับแรกเจ้าสำนักที่เป็นสายของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันขณะเดินทางไกลไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร่างมอดม้วยมรรคาแหลกสลาย ในสำนักไม่มีขอบเขตเซียนเหรินนั่งบัญชาการณ์ ขาดคนรับช่วงต่อกลางคัน จากนั้นเพื่อบุรพาจารย์สกุลตู้ สำนักใบถงจึงต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมา หลังจากผู้ฝึกตนเฒ่าหลอมอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จก็ต้องปิดด่านไปนานอีกหลายปี
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ผู้เฒ่าท่านนี้ออกจากด่านมา เรื่องแรกที่ทำก็คือโดยสาร ‘เรือข้ามฟากยักษ์’ เดินทางไปถึงภูเขาที่ตั้งสำนักกุยหยก นัดหมายเปิดศึกกับเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เป็นการต่อสู้ที่ต้องตัดสินเป็นตายเท่านั้น ผลคือเขาฆ่าเซียนกระบี่คนนั้นจนตาย แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ท่านนั้นก็ถูกกลืนกินไปด้วย
ในเมื่อแม้แต่กระบี่บินของเซียนกระบี่ยังกลืนกินลงไปได้ ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ยังจะมีอะไรที่กลืนลงท้องไม่ได้อีก?
ผู้เฒ่ารออยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “คิดเสร็จแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถามว่า “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวมีระดับขั้นพอใช้ได้ อืม ยังมีแผ่นหยกแผ่นนั้นที่ดูท่าแล้วน่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานพอสมควร เป็นถึงวัตถุจื่อชื่อด้วยหรือ? น่าเสียดายที่พอเอามารวมกันแล้วก็ยังซื้อชีวิตของเจ้าไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเจ้าตายไปแล้ว ของทั้งหมดของเจ้าก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เค้นรอยยิ้ม กล่าวด้วยประโยคที่คนนอกฟังไม่เข้าใจ “ชีวิตนี้คงได้แค่นี้แล้ว พวกเจ้าหนีไปได้ก็หนีไปเถอะ”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือซ้ายที่สั่นเทาและเต็มไปด้วยเลือดดึงแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ คิดจะบีบวัตถุจื่อชื่อที่ต้องหล่อหลอมอย่างยากลำบากกว่าจะเอาออกมาจากช่องโพรงในร่างได้สำเร็จชิ้นนี้ให้ระเบิดแตก
ในใจมีความคิดเดียว ของชิ้นนี้ ต่อให้ตายก็ห้ามให้ใครมาแตะต้อง
ทว่าวัตถุจื่อชื่อยังคงเป็นปกติไร้ความเสียหาย
เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความละอายใจ เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เฉินผิงอันที่ไม่เคยโทษฟ้าดินโทษคนอื่น
เวลานี้กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เขายกมือที่กำแผ่นหยกแน่นวางเบื้องหน้าในแนวขวาง น้ำตาปะปนไปด้วยเลือด เพียงแต่ไม่ยอมให้คนบนโลกได้เห็นภาพนี้
เฉินผิงอันวางมือทั้งสองข้างลง หลับตาช้าๆ เชิดหน้าขึ้นสูง มองไปทางทิศใต้ “ข้ามีหนึ่งกระบี่…สามารถย้ายขุนเขา สามารถพลิกมหาสมุทร…”
บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหลุดหัวเราะพรืด “นี่คือทำอะไร? คำพูดสุดท้ายก่อนตายไม่ควรด่าว่าข้ารังแกคนอื่นหรอกหรือ?”
จากนั้นเขาก็บังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตให้แทงทะลุหน้าท้องของคนหนุ่มที่อยู่บนซากกำแพงเมืองด้วย ‘หนึ่งกระบี่’
ไม่รู้ว่าเหตุใด แผ่นหยกแผ่นนั้นถึงระเบิดแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็แค่รู้สึกเสียดายวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งเท่านั้น
……
บนยอดเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนยอดศิลาหินก่อกวนเทพเกราะทองกำลังคำนวณโชคชะตาฟ้าดินอยู่เงียบๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงเข้มหนักสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าโง่ตัวใหญ่ ช่วยข้าฝ่าสิ่งกีดขวางระหว่างสองทวีปใหญ่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องถามมาก เร็วเข้า!”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใช้มือยันด้ามกระบี่ไว้กับพื้นรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็พยักหน้ารับ ไม่ถามอะไร เพียงร่ายกายธรรมสีทองที่ใหญ่โตดุจขุนเขา เงื้อกระบี่ฟันออกไปจนเกิดความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดยาวเหยียดดุจแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าพุ่งทะยานไปตามความว่างเปล่านั้น
ช่องว่างหุบประกบไล่หลัง
โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของภูเขาสุ้ยซานอันเป็นขุนเขากลางแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสั่นสะเทือนไม่หยุดนิ่ง
……
ระหว่างฟ้าดินคล้ายมีคนคนหนึ่งได้ยินประโยคที่ดังขึ้นในนครมังกรเฒ่า นางจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาแล้ว”
……
ถ้ำสวรรค์หลีจูที่หลังจากปริแตกก็ร่วงลงสู่พื้น รัศมีพันลี้โดยรอบฟ้าดินขนาดเล็กเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หร่วนฉงสีหน้าเขียวคล้ำ พยายามระงับโชคชะตาที่ปั่นป่วนวุ่นวายจนใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่งนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ
ตรงหน้าผาหินแท่นสังหารมังกร
เงาร่างสูงใหญ่สีขาวร่างหนึ่งพุ่งออกมา
นางที่ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างเป็นสีขาวหิมะเหาะทะยานขึ้นฟ้าเป็นแนวตรง
หยุดชะงักร่างอยู่ตรงจุดสูงสุดของม่านฟ้าใต้หล้าไพศาล จากนั้นชำเลืองตามองไปทางทิศใต้สุดในอาณาบริเวณของแจกันสมบัติทวีป
แล้วร่างทั้งร่างก็เหมือนกระบี่ที่พุ่งออกไป
ทุกที่ที่เงาร่างสีขาวพุ่งผ่าน ในวันที่อากาศหนาวจัด ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือแจกันสมบัติทวีปกลับมีเสียงฟ้าคำรามดังเป็นระลอก
—–