คราวนี้ตู้เม่าถึงเริ่มตระหนกลนขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าแววดุร้ายบนใบหน้ากลับไม่ลดน้อยลง “ในเมื่อให้ความสำคัญกับคนหนุ่มผู้นั้นขนาดนี้ เจ้าจะยอมตัดใจแลกตบะกับข้าได้ลงจริงๆ หรือ?”
สตรีร่างสูงใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้เริ่มคุยกับข้าด้วยเหตุผลแล้วรึ?”
ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ
ตู้เม่าเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้มีจุดประสงค์อยู่สามอย่าง มีโอกาสจะสะบั้นควันธูปสายของเหวินเซิ่ง แล้วถือโอกาสขอความรู้จากกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วสักหน่อย สองคือมีคนคิดจะหยั่งเชิงขีดจำกัดของเสินจวินเฒ่าของถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นั้น สามก็เพื่อให้สำนักใบถงแทรกซึมเข้ามาในแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้เขาทำสำเร็จไปสองเป้าหมายแล้ว ข้อแรกจะมีหรือไม่มีก็ได้ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญตบะของตัวเองเพื่อสิ่งนี้
การฝึกตนบนภูเขา เคารพในผู้แข็งแกร่ง
อย่างน้อยที่สุดเขาตู้เม่าก็ยึดมั่นในความคิดนี้มาโดยตลอด
ผู้ชนะเรืองอำนาจ ผู้ชนะตนเองบรรลุมรรคา
ข้อแรกคือของจริงแท้แน่นอน หากได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าย่อมสบายใจ ส่วนข้อหลัง ในสายตาของตู้เม่าคือคำพูดเหลวไหลที่ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่อาจเป็นจริงได้ ขอแค่ตายอยู่บนมหามรรคา ต่อให้จะคู่ควรกับคำว่าสละตนเพื่อคุณธรรม แต่สุดท้ายก็ยังตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
นางกำกระบี่โบราณเล่มนั้นเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้านายของข้าอยู่ต่อหน้าเจ้า เจ้าได้ใช้เหตุผลพูดคุยกับเขาหรือไม่?”
ตู้เม่าสมกับเป็นคนถ่อยอย่างแท้จริง “ตบะของเขาในตอนนี้ก็คือเศษสวะคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะต้องการล่อให้ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วปรากฎตัว เขายังไม่มีคุณสมบัติจะพูดกับข้าแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้ามี!”
สตรีร่างสูงใหญ่มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งยกขึ้นทำสัญญาณมืออย่างหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าหยิบม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาม้วนนั้นออกมาอย่างน่าสงสาร “อย่ารุนแรงนักล่ะ”
พอตู้เม่าเห็นม้วนภาพวาดที่ไม่ธรรมดาม้วนนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เก็บอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีพื้นที่ให้ใช้กลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ ขณะเดียวกันก็ร่ายกายธรรมร่างทอง ไหล่ข้างหนึ่งชนกระแทกให้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เปิดอ้า แล้วบินทะยานไปทางทะเลทิศใต้
นางไม่ได้ไล่ตามไป
ซิ่วไฉเฒ่าคลี่ยิ้มแล้วโยนม้วนภาพวาดนั้นออกไปอย่างง่ายๆ
ร่างของสตรีสูงใหญ่หายไปตามหลังกายธรรมร่างทองของตู้เม่า
จากนั้นม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำก็มาลอยอยู่ตรงหน้าซิ่วไฉเฒ่า ส่วนฟ้าดินขนาดเล็กในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ก็ปิดประกบเข้าหากันอย่างไร้รอยต่ออีกครั้ง นอกนครมังกรเฒ่า นอกจากหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่พอจะกะพริบตาได้เล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ล้วนยังอยู่ในสภาพแน่นิ่งไม่ขยับ
บนม้วนภาพมีเสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นมาเป็นระลอก เป็นกายธรรมร่างทองของตู้เม่าที่พยายามดันให้ฟ้าดินของม้วนภาพอ้าขยาย และยิ่งเป็นเพราะถูกกระบี่แล้วกระบี่เล่าพุ่งแหวกอากาศมาโดน
ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่เจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ซิ่วไฉเฒ่าที่พอจะแน่ใจได้แล้วจึงงอนิ้วเคาะไปมุมหนึ่งของม้วนภาพ จากนั้นก็เก็บม้วนภาพไว้ในชายแขนเสื้อ
สตรีร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากความว่างเปล่าช้าๆ กระบี่โบราณห้อยอยู่ที่เอว ปลายกระบี่เล็กๆ ที่ถูกลับจนแหลมคมหม่นแสงลงหลายส่วน
นางอ้าปากหาว ในมือลากขาข้างหนึ่งมาด้วย
ตู้เม่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปถูกนางกระชากลากถูออกมาจากม้วนภาพวาดเหมือนหมาตายตัวหนึ่งทั้งอย่างนี้
นางเอ่ยถาม “เพียงแต่ว่าเจ้านี่…ชื่ออะไรแล้วนะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ตู้เม่า ใบถงทวีปนอกจากนักพรตเฒ่าตงไห่แล้วก็คือเขาที่แข็งแกร่งที่สุด”
นางร้องอ้อหนึ่งที โยน ‘ศพ’ นั้นไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ “เขาพอจะมีวิชาอภินิหารนอกรีตติดตัวอยู่บ้าง วินาทีที่กระแทกชนให้ม่านฟ้าเปิด จิตหยินก็น่าจะกลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ศพนี้เป็นเพียงแค่…กายนอกกายของจิตหยางใครสักคนเท่านั้น”
ซิ่วไฉเฒ่ากระจ่างแจ้งทันควัน “เป็นเพียงกายนอกกายเท่านั้นหรือ มิน่าเล่าคนของลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์แผ่นฟ้าถึงได้ยอมพยักหน้าตอบรับ หากพวกเราไม่ได้โวยวายจนเกิดเรื่องครั้งนี้ เกรงว่าคงพอจะอุดปากสถานศึกษาให้ผ่านไปได้”
เพียงแต่ไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็ทำสีหน้าจนคำพูด “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตู้เม่าก็มีตบะขอบเขตสิบสองไม่ใช่หรือ”
นางนั่งขัดสมาธินั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน โอบกอดเฉินผิงอันไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง นางเงยหน้ามองทิศไกล เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “อยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้า สิบสอง สิบสาม ต่างกันตรงไหนหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามเสียงเบา “เรือกลืนกระบี่ลำนั้นล่ะ?”
นางตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ข้าสลายพันธนาการที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของมันเอาไว้แล้ว ปล่อยให้จิตหยางของเขาใช้อาวุธชิ้นนี้ จากนั้นข้าก็ทำลายจนระเบิดแตก ไม่อย่างนั้นข้าก็ออกมาตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘อาวุธเซียน’ ในทุกวันนี้ ร้ายกาจแค่ไหนกันแน่”
ซิ่วไฉเฒ่าปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ตัวเจ้าล่ะเป็นอย่างไร?”
สตรีร่างสูงใหญ่ก้มหน้าลงเพ่งพิศดวงหน้าของคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีดขาวราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย แม้ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าช่วยหยุดอาการบาดเจ็บไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังทุกข์ทรมาน นางยื่นนิ้วออกมานวดคลึงตรงหว่างคิ้วของเขาเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หน้าผาหินกลางภูเขาใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น คือการแข็งตัวของปณิธานกระบี่เจ้านายคนเดิมข้า ซึ่งเดิมทีก็คือของของข้า เพียงแต่ว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ภายหลังข้าทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับหร่วนอะไรสักอย่างนั่น เขาจึงยึดครองแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นไปสามส่วน”
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองปลายกระบี่ของกระบี่โบราณที่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าจึงใช้แท่นสังหารมังกรของหร่วนฉงมาลับกระบี่?”
นางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ใช้แถบของภูเขาเจินอู่ แถบของหร่วนฉงนี้ต้องเก็บไว้ให้ผิงอันน้อยของข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าเหงื่อไหลราวกับฝนตก
นางมองไปทางทิศใต้ “เรื่องนี้ยังไม่จบ”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อย่า อย่าเด็ดขาดเชียว ยังไม่จบก็ยังไม่จบ แต่เจ้าจะลงมืออีกไม่ได้แล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีต่อผิงอันน้อย”
นางพยักหน้ารับ “ข้ากลับไปคราวนี้คงออกมาไม่ได้ชั่วคราว หากออกมาคราวหน้าแล้วพบว่าคำว่าหวังดีของเจ้า ดีแค่นิดเดียว ข้าจะไปหาเจ้า เจ้าน่าจะรู้ดีว่า เมื่อเจ้ากับมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผสานรวมเป็นหนึ่ง บนโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถสังหารเจ้าได้”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะแห้งๆ “พวกเราเป็นคนกันเองนี่นา จะต้องทำท่าดุร้ายแบบนี้ไปไย?”
สตรีร่างสูงใหญ่ที่ชายแขนเสื้อสีขาวโบกไสวแม้ไร้ลม ส่ายหน้า “เดิมทีก็ดีอยู่หรอก แต่เป็นเพราะเจ้ายืนกรานจะรับเขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายให้ได้ ถึงได้มีหายนะอย่างในวันนี้ หากไม่ถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัว เจ้าก็คือคนแรกที่ต้องตาย”
ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่ “อย่าพูดจาใส่อารมณ์อย่างนี้สิ อีกอย่าง เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ต่อหน้าเจ้านายของเจ้าด้วยหรือ?”
นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่พูด แต่จะแอบทำ ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยอมรับข้าหรือไม่ เขาก็ยังเป็นเจ้านายของข้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าบื้อใบ้พูดไม่ออก
นางกวักมือหนึ่งครั้ง หลังจากของขวัญชิ้นเล็กที่นางมอบให้เฉินผิงอันในปีนั้นแตกออก ก็มีก้อนหินสีดำรูปทรงยาวสามก้อนร่วงลงมาจากข้างใน ล้วนเป็นแท่นสังหารมังกรที่ผู้ฝึกกระบี่ในโลกใฝ่หาแม้ในยามหลับฝัน ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ก้อนเล็กเหมือนไม้บรรทัด ก้อนใหญ่เหมือนแผ่นอิฐที่ปูลงบนพื้นของพระราชวัง นางส่งตัวเฉินผิงอันให้แก่ซิ่วไฉเฒ่า “ข้าจะออกไปจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างขลาดๆ “มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”
คราวนี้สตรีร่างสูงใหญ่ไม่ได้เดินหายไปที่ไหน นางแค่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนบางคน
ก็คือหมัวมัวผู้อบรมมารยาทซึ่งเป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านนั้น
สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระชากดึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาจากช่องโพรงหัวใจของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท สองนิ้วคีบไว้ตรงหัวและปลายของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้น ออกแรงเล็กน้อยก็บีบให้กระบี่บินโค้งงอ
ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สายตาของหญิงชราที่ร่างกายมิอาจขยับเขยื้อนได้เต็มไปด้วยแวววิงวอน
สตรีร่างสูงใหญ่เบี่ยงหน้ามามอง “ขอร้องข้า? ไม่อย่างนั้นก็ทำเหมือนเจ้านายข้า พูดเหตุผลที่ถูกต้องให้ข้าฟัง แล้วข้าจะรับปากว่าจะไม่บีบกระบี่บินเล่มนี้ให้หัก”
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะใช้เหตุผลแล้ว
รออยู่ครู่หนึ่ง หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นี้จะไปหาวิชาอภินิหารขอบเขตเซียนเหรินจากที่ไหนมาทำให้ตัวเองเอ่ยคำพูดในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ดังนั้นสตรีร่างสูงใหญ่จึงเพิ่มแรงขึ้นอีก กระบี่โค้งงอมากขึ้นทุกที เสียงเปาะหนึ่งทีก็หักครึ่ง
เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหมัวมัวผู้อบรมมารยาท โอสถทองเกิดรอยปริร้าว ทารกก่อกำเนิดก็ยิ่งร้องโหยหวนไม่หยุด
สตรีร่างสูงใหญ่หลุดหัวเราะพรืด “อันที่จริงข้าชอบหลักการเหตุผลของพวกเจ้ามาโดยตลอด ฉวยโอกาสตอนที่ผิงอันน้อยของข้ายังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าต้องรีบทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เพราะวันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”
พอนางพูดจบก็บินทะยานเป็นเส้นตรงขึ้นไปบนทะเลเมฆที่ลอยอยู่เหนือนครมังกรเฒ่า
ฟ่านจวิ้นเม่าหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยังคงค้างอยู่ในท่านั่งประหลาดนั้น พอเงยหน้าขึ้น สายตาก็ฉายประกายเร่าร้อน อีกทั้งจิตใจยังเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ประโยคแรกของฟ่านจวิ้นเม่าก็คือ “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือเจ้านายคนใหม่ของเจ้า!”
หญิงสาวสูงใหญ่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอว ยืนอยู่ตรงหน้าฟ่านจวิ้นเม่า ถามด้วยรอยยิ้ม “คนไม่รู้คือคนไม่ผิด?”
ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ไม่รู้ก็คือผิดมหันต์ ข้ายอมรับผิด!”
สตรีสูงใหญ่ยื่นมือมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบ วันๆ เอาแต่ทำตัวน่าสงสาร? หากไม่แอบไปร้องไห้บนทะเลเมฆที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานโค้งก็มานั่งคุกเข่าอยู่บนทะเลเมฆอย่างวันนี้ แล้วจะให้ข้าฆ่าเจ้าอย่างไร?”
สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามีชีวิตชีวา “ฆ่าข้าก็ฆ่าสิ มีเจ้าอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
สตรีร่างสูงใหญ่ร้องอ้อหนึ่งที ใช้ฝ่ามือตบช่วงปลายของกระบี่โบราณเบาๆ หนึ่งที ปลายกระบี่ดีดขึ้นสูง หมุนตวัดกลับมาหนึ่งรอบ จากนั้นปลายกระบี่ก็แทงเข้าที่หัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ “พอไหม? เจ้าไม่รู้หรือว่าปีนั้นข้าฆ่าคนที่เป็นแบบเจ้าไปมากน้อยเท่าไหร่?”
เลือดสดไหลซึมลงมาจากมุมปากของฟ่านจวิ้นเม่า ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมีเพียงความสุข “เจ้าไม่ได้เปลี่ยน เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ข้ารู้ดี หนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังคงเป็นเช่นนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป…ขอแค่เจ้ายินดีเอาจิตวิญญาณนี้ออกมา ใต้หล้าก็จะ…”
สตรีร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองตรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า พลิ้วกายจากทะเลเมฆกลับลงไปบนพื้นดิน กระบี่โบราณก็ดึงตัวออกจากหัวใจของฟ่านจวิ้นเม่า กลับมาอยู่ที่เอวของนาง
ฟ่านจวิ้นเม่าเซล้มลงบนทะเลเมฆ ยกมืออุดตรงหัวใจ หมดสติไปทันที ทว่าทะเลเมฆกลับเริ่มไหลกรูเข้าหาร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง
ตรงช่องโพรงกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว เขายังคงเลื่อนลอยอยู่เล็กน้อย
ซิ่วไฉเฒ่าไม่รู้ว่าหายไปไหน
แต่จากนั้นเขาก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยค่อยๆ พลิ้วกายลงมาตรงหน้าของเขา หยุดลอยอยู่กลางอากาศสูงนอกช่องโพรงของกำแพง
คนหนุ่มที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งยากจนแห่งตรอกหนีผิงอีกต่อไปถามเบาๆ ว่า “ข้าทำผิดใช่ไหม?”
นางส่ายหน้า
คนหนุ่มพูดรับรอง “คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นจะหัดเรียนวิชาคำนวณของสำนักหยินหยาง เดิมทีนึกว่าตัวเองสามารถแก้ไขปัญหาได้ คิดไม่ถึงว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนคนนั้นจะสูงขนาดนี้…”
นางยังคงส่ายหน้า
คนหนุ่มถาม “ไม่ผิดหวังในตัวข้าหรือ?”
นางส่ายหน้าอีกครั้ง
ดังนั้น
เฉินผิงอันจึงยิ้มตาหยี
สตรีร่างสูงใหญ่ก็ทำแบบเดียวกัน
—–