หลังจากตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ อย่างน้อยภายนอกของตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าก็อยู่ในภาวะสงบนิ่งที่แปลกประหลาด
หลังจากตู้เม่า ‘สังหาร’ เจิ้งต้าเฟิงที่เดินลงมาจากแท่นมังกรและคนต่างถิ่นแปลกหน้าที่สวมชุดสีขาวหิมะเพียงแค่ดีดนิ้วมือแล้ว ต่อให้เทพเซียนผู้เฒ่าตู้ไม่อยู่แล้ว บารมีของเขาก็ยังคล้ายทะเลเมฆเหนือศีรษะที่ไม่อาจมองเห็นซึ่งยังคงแผ่อบอวลไปทั่วทุกหนแห่งของนครมังกรเฒ่า ทำให้คนระดับสูงของตระกูลห้าแซ่ใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง
เพราะก่อนหน้านี้ได้เห็นวิชาอภินิหารเซียนเหรินของบุรพาจารย์ตู้มากับตาตัวเอง เป็นเหตุให้สถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นกะทันหันบางอย่างที่เดิมทีใหญ่เทียมฟ้าถูกบังคับบดขยี้ให้แหลกเป็นจุลตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นการแจ้งเจตนารมณ์อย่างลับๆ ของตระกูลฝู ข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่สามตระกูลติงฟางโหวส่งไปสังหารกลุ่มของเจิ้งต้าเฟิงล้วนตายหมด จากคำให้การของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่รับหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมซึ่งโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ผู้ฝึกยุทธทั้งสี่คนที่เป็นผู้ติดตามของคนหนุ่มชุดขาว แต่ละคนมีพลังสังหารที่น่าตะลึง แกร่งกร้าวไม่กลัวตาย ช่วงเวลาที่ใช้บาดแผลมาแลกกับชีวิตกลับไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย สองคนในนั้นรบตาย คนหนึ่งคือหญิงงามที่เชี่ยวชาญการบังคับกระบี่ อีกคนหนึ่งคือตาเฒ่าบ้าคลั่งที่ชอบฉีกเนื้อคน หลังจากนั้นก็มีลำแสงเป็นเส้นๆ เหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่หล่นลงมาจากทะเลเมฆ ทำให้ผู้ฝึกตนที่เดิมทีสามารถล้อมสังหารผู้ติดตามอีกสองคนที่เหลือล้วนตายคาที่ทั้งหมด ที่เหลือเกินที่สุดคือบุรุษร่างสูงใหญ่พกดาบผู้นั้นยังถือกระบี่ยาวโบราณที่แปลกประหลาดเล่มนั้นทิ่มแทงไปที่หัวใจของศพผู้ถวายงานจนครบทุกคน
พอรู้ข่าวที่เป็นดั่งฝันร้ายนี้ สามแซ่ใหญ่ต่างก็รีบร้อนสุมหัวประชุมลับปรึกษาหารือกัน ตู้เหยี่ยนได้ข่าวแล้ว แต่กลับไม่ได้มาร่วมความครึกครื้นนี้ด้วย ดังนั้นทุกคนจึงคาดเดาเอาว่านี่จะเป็นแผนการใหญ่เทียมฟ้าที่ตระกูลฝูและตู้เหยี่ยนร่วมกันจัดวางไว้ ใช้เจิ้งต้าเฟิงเป็นตัวหลอกล่อ ล่อให้งูออกจากโพรง คิดจะใช้วิธีการที่ ‘ถูกต้องสมเหตุสมผล’ มากที่สุด อีกทั้งยังเสียหายน้อยที่สุดมาสังหารผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้ซึ่งไม่ต่างจากสมบัติก้นกรุของพวกเขาสามตระกูลหรือไม่?
ไม่อย่างนั้นเหตุใดหลังจากแต่งบุตรสาวสายตรงตระกูลเจียงอวิ๋นหลินเข้าตระกูลมาได้ไม่นาน ฝูฉีที่เป็นทั้งเจ้าประมุขและเจ้านคร เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของนครมังกรเฒ่าถึงไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเอง พูดเป็นดิบดีว่ามีเพียงคนคนเดียวที่จะรอดชีวิตมาจากศึกเป็นตายที่ยิ่งใหญ่และดุเดือดบนแท่นมังกร ผลกลับกลายเป็นว่าฝูฉีที่ต่อสู้แค่ได้แผลเจ็บๆ คันๆ กลับยอมแพ้ให้แก่เจิ้งต้าเฟิง ปล่อยให้เทพเซียนผู้เฒ่าตู้เป็นคนจัดการเจิ้งต้าเฟิงแทน หากนี่ไม่ใช่แผนการที่วางไว้แต่แรกแล้วจะเป็นอะไรได้? ดูท่าพวกเขาคงดูแคลนจิตใจทะเยอทะยานของตระกูลฝูเกินไป นี่คงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วสินะว่าแม้แต่น้ำแกงเหลือๆ ก็ไม่ยินดียกให้สามตระกูลใหญ่อย่างพวกเขากิน?
ตอนนั้นก็มีคนตบโต๊ะถลึงตา ป่าวประกาศว่าตระกูลฝูจิตใจอำมหิตเช่นนี้ก็อย่ามาโทษถ้าพวกเขาทุ่มไหแตกให้แหลกละเอียด ถึงท้ายที่สุดค่อยมาดูกันว่านครมังกรเฒ่าจะเหลือได้ถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่
ทุกคนอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น ป่าวประกาศว่าพร้อมยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทแข็งนอกอ่อนในกันทั้งสิ้น
การเงียบงันไม่พูดจากลับกลายเป็นอำนาจที่ใช้ได้ผลอย่างแท้จริงในนครมังกรเฒ่า
รากฐานที่แท้จริงของนครมังกรเฒ่าไม่ใช่หมัดหรือสมบัติอาคม แต่เป็นสมุดบัญชีแต่ละเล่ม
ทันใดนั้นก็มีพ่อบ้านคนหนึ่งมารายงานว่าฝูหนันหัวเจ้านครน้อยมาเยือน
ฝูหนันหัวพาผู้ติดตามมาด้วยหลายคน แต่กลับเข้าไปพูดคุยในห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก้นยังไม่ทันร้อน ชาก็ยังไม่ได้ดื่มสักคำ เพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้มไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นเอ่ยลา
ทุกคนในห้องโถงใหญ่เริ่มชั่งน้ำหนัก พวกเขาที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดีดลูกคิด คิดคำนวณผลได้ผลเสีย
ฝูหนันหัวพูดจากระชับได้ใจความ ไม่พูดถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่เป็นญาติเกี่ยวดองทางการแต่งงาน สำนักใบถงก็ถือเป็นพันธมิตรกับตระกูลฝูแล้ว เรือข้ามทวีปหกลำของนครมังกรเฒ่าที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว เรือสี่ลำที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของตระกูลฝู ตระกูลฝูล้วนต้องการทั้งหมด กำไรสามส่วนที่ตระกูลใหญ่ทั้งสามซึ่งนั่งอยู่ตรงนี้จะได้รับหลังจากนี้ทุกปี ต้องมอบให้แก่ตระกูลฝู ถือเป็น ‘ค่าเช่าบ้าน’ ในการพักอาศัยอยู่ในนครมังกรเฒ่าต่อไป แน่นอนว่าหลังจากนี้ตระกูลฝูจะยังอาศัยกองกำลังของฝ่ายต่างๆ ยกทัพขึ้นเหนือ ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ตระกูลเซียนบนภูเขา พรรคต่างๆ ในยุทธภพล่างภูเขาล้วนถูกกองกำลังตระกูลฝูควบรวมไว้ภายใน และจะกำราบ ขับไล่ ถอนรากถอนโคนกองกำลังตระกูลพ่อค้าทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากนครมังกรเฒ่า ช่วงเวลาระหว่างนี้ตระกูลใหญ่ทั้งสามอย่างติง ฟาง โหวจะสามารถช่วงชิงเงินขาวทองคำก้อนมาได้มากน้อยเท่าไหร่ เงินทองจะไหลมาเทมา เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในอดีต จะล้มแล้วลุกไม่ขึ้น หรือเพื่อที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเช่านั้นจึงเป็นเหตุให้การดำเนินงานผิดพลาด สุดท้ายถูกขับไล่ออกจากนครมังกรเฒ่า ก็จำเป็นต้องให้ทุกคนอยู่บนพื้นฐานของการร่วมมือกันอย่างจริงใจ และยังต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน ส่วนรายละเอียดที่ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง หากวันนี้ทุกท่านรู้สึกว่าทิศทางคร่าวๆ ไม่มีปัญหา คราวหน้าก็นั่งลงปรึกษารายละเอียดกันอย่างจริงจังได้แล้ว
มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง ลองวัดดวงดูสักตั้ง”
มีคนยิ้มพูดว่า “กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีใกล้จะบุกมาถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปเราแล้วกระมัง พวกเราเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ หากทำสำเร็จก็ไม่รู้ว่าจะได้ปะหน้ากับคนเถื่อนทางเหนือพวกนั้นหรือไม่?”
หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ตระกูลฝูทำเช่นนี้คือคิดจะจูงหมาออกไปกัดคนแล้ว แต่ว่าหากกัดได้ดีก็สามารถกัดเอาเนื้ออวบอ้วนเข้าปากของตัวเอง เทียบกับการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ อย่างในตอนนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้กำไรมากกว่า”
คุณชายคนหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด หน้าตาธรรมดา ทว่าบุคลิกกลับไม่สามัญ ต่อให้รอบด้านจะรายล้อมไปด้วยจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ แต่ใครก็ไม่อาจดูแคลนเขา เวลานี้เขาใช้สองมือสอดรองใต้ท้ายทอย แหงนหน้ามองโคมแก้วดวงหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะ พึมพำว่า “สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นการใช้อำนาจรังแกคนอื่นอยู่ดี”
……
ร้านยาฮุยเฉิน ตระกูลฟ่านทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญหมอเทวดามาหลายคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์สำนักแพทย์ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณ บ้างก็เป็นยอดฝีมือของลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญเรื่องโอสถ ช่วงนี้คนเหล่านี้พากันตบเท้าเดินเข้าๆ ออกๆ ร้านยา
ในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านมีแต่เสียงถกเถียงดังเซ็งแซ่ จากความเชื่อมั่นในตัวเจ้าประมุขตระกูลเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความกังขา สุดท้ายก็ถึงกับเคียดแค้นชิงชัง แต่ละคนพูดว่าตัวเองละอายใจต่อป้ายวิญญาณทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลฟ่าน ลูกหลานอกตัญญู ละอายใจต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก ได้แค่เบิกตามองตระกูลฟ่านเดินไปบนเส้นทางแห่งความตาย ในเวลาสำคัญเช่นนี้ยังทำตัวเป็นตั๊กแตนขวางหน้ารถ คิดปกป้องเจิ้งต้าเฟิงที่กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าไปแล้ว บิดาของฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์ เจ้าประมุขตระกูลฟ่านคนปัจจุบันที่เผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ต่างๆ นานากลับทำเพียงแค่ดื่มชาเงียบๆ
ทางฝั่งของร้านยา
เจิ้งต้าเฟิงฟื้นแล้ว สามารถเปิดปากพูดได้ นอกจากตระกูลฟ่านจะเชิญยอดฝีมือให้ใช้ยารักษาพลังต้นกำเนิดแล้ว เทพหยินแซ่จ้าวก็มีทรัพย์สมบัติที่เอามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่เช่นกัน สามารถช่วยซ่อมแซมรอยโหว่ของดวงวิญญาณให้กับเจิ้งต้าเฟิง ทำให้เจิ้งต้าเฟิงไม่ถึงขั้นทรุดลงทันควัน แต่ละวันได้แต่ผ่ายผอมดั่งซากต้นไม้แห้ง
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้โวยวายอยากตาย แม้จะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สีหน้ากลับค่อนข้างผ่อนคลาย บางครั้งเวลาที่เผยเฉียนมานั่งอยู่ในห้องด้วยครู่หนึ่งก็ยังพูดคุยกับเด็กหญิงผอมแห้งด้วยรอยยิ้มอยู่สองสามคำ ทุกครั้งที่เผยเฉียนมาที่นี่จะมานั่งอยู่บนพื้น ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางตำรา จากนั้นก็เริ่มคัดตัวอักษร พออยู่กับเผยเฉียน เจิ้งต้าเฟิงจะยินดีพูดคุยด้วยมากที่สุด แม้ว่าทุกครั้งที่เปิดปากพูดจะสะเทือนบาดแผลก็ตาม แต่เผยเฉียนกลับไม่ค่อยรับน้ำใจนัก เวลาคัดตัวอักษรนางจะตั้งใจมากเป็นพิเศษ หากเจิ้งต้าเฟิงพูดมากเกินไป นางจะบ่นว่าเจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ หากคัดตัวอักษรเบี้ยว ขีดอักษรขีดไหนไม่เป็นระเบียบมากพอ เดี๋ยวพ่อข้าก็ต้องให้ข้าเขียนใหม่อีก
เจิ้งต้าเฟิงจะหัวเราะชอบใจ เพียงแต่การหัวเราะนี้กลับทำให้เขาเจ็บจนเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่ก ทว่าเมื่อในห้องมีเผยเฉียนมานั่งคัดตัวอักษรอยู่ด้วย บุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็คล้ายว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย
เฉินผิงอันเองก็มานั่งอยู่ในห้องนี้เป็นระยะ คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งนอน เนื่องจากต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ คนทั้งสองจึงพูดคุยกันไม่มากนัก
ยามสนธยาของวันนี้ ออกจากห้องด้านข้างที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา เฉินผิงอันเดินไปที่ลานบ้าน จูเหลี่ยนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารในห้องครัว เผยเฉียนกำลังฝึกสุดยอดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ในลานบ้าน
ในลานบ้านวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปียนนั่งตรงข้ามกัน กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ เว่ยเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ ยังคงดูสถานการณ์บนกระดานไม่ออก แต่กลับรอคอยผลแพ้ชนะอย่างอดทน
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียนตายอยู่นอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันต้องโยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกสองเหรียญลงไปในม้วนภาพวาดแห่งชะตาชีวิตของพวกเขา
หลังจากที่คนทั้งสองตายไปในการต่อสู้ ตามกฎ ‘สวรรค์’ ที่นักพรตเฒ่าตงไห่ตั้งไว้แต่แรกเริ่ม ผลสำเร็จสูงสุดของจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธในอนาคต คอขวดจะถดถอยลงมาที่วิถีวรยุทธขอบเขตสิบ
ส่วนสุยโย่วเปียนก็ยิ่งอนาถมากกว่า ศึกหน้าวัดร้างตายติดต่อกันสองครั้ง คราวนี้ยังแลกชีวิตกับขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ผลสำเร็จในอนาคตก็ต้องหยุดอยู่แค่ขอบเขตเก้ายอดเขาเท่านั้น เฉินผิงอันก็ดี คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ช่าง ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกต่อผู้เฒ่าเจ้าอารามกวานเต๋าเช่นไร แต่คนทั้งห้าต่างก็ไม่สงสัยใน ‘มรรคกถาอันค้ำฟ้าของท่านผู้อาวุโส’
เทพหยินแซ่จ้าวที่ทุกครั้งจะปรากฏตัวพร้อมกับควันดำตลบอบอวล ปราณดุร้ายท่วมท้น วันนี้กลับไม่ได้เผยกาย
ใครก็คาดไม่ถึงว่า เทพหยินขอบเขตก่อกำเนิดท่านนี้ที่เดิมทีควรจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะบนกระดานหมาก เพราะเมื่อบัญชาการณ์อยู่ในร้านยาก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับมันเลย เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัส เจิ้งต้าเฟิงกลายเป็นคนไร้ค่า จูสุยสองผู้ติดตามรบตาย หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็ไม่ได้อยู่เฉย ล้วนไปวนเวียนหน้าประตูผีก่อนจะกลับมายังโลกมนุษย์ มีเพียงเทพหยินตนนี้ที่ดูเหมือนว่าพูดคุยกับเผยเฉียนอยู่หน้าประตูร้านยาแค่ไม่กี่คำ กาลเวลาก็หยุดนิ่ง ค่ายกลร้านยายังไม่ทันได้เปิดใช้ มันก็ถูกพันธนาการไว้ภายใน หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินอีกครั้ง สถานการณ์ก็มั่นคงดีแล้ว
เฉินผิงอันเดินมานั่งตรงธรณีประตูของร้านยาด้านหน้า
ในลานบ้าน เผยเฉียนใช้สองมือยันไม้เท้าเดินป่า หอบหายใจฮักๆ “เหล่าเว่ย เวทกระบี่ของข้าฝึกฝนจนเป็นอย่างไรแล้ว?”
เว่ยเซี่ยนไม่ได้หันหน้ากลับมา ยังคงจ้องหมากสีดำและสีขาวบนกระดานที่ลักษณะคล้ายการตั้งขบวนสลับเป็นฟันปลาบนสนามรบ เขามองออกแค่ความหมายทำนองนี้ ปากก็ตอบรับเผยเฉียนอย่างขอไปที “แข็งแกร่ง”
เผยเฉียนไม่ค่อยพอใจนัก ถามเสียงดัง “แข็งแกร่งแค่ไหน?”
เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็ตอบว่า “แข็งแกร่งจนไร้ศัตรูทัดเทียม”
เผยเฉียนโมโหหนัก “เหล่าเว่ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง คำพูดแบบนี้ใครจะไปเชื่อ?”
เว่ยเซี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียน “แล้วเจ้าเชื่อหรือไม่?”
เผยเฉียนรีบเปลี่ยนจากหน้าดำเป็นสีหน้าสดใส หัวเราะคิกคัก “เชื่อนิดๆ”
ความมั่นใจของเผยเฉียนเพิ่มพรวดพราด ยกไม้เท้าเดินป่าชี้ไปที่แผ่นหลังของหลูป๋ายเซี่ยง “เสี่ยวป๋าย เจ้าจะยอมพ่ายแพ้โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจ หรือจะนั่งนิ่งไม่ขยับต่อสู้กับข้า?”
หลูป๋ายเซี่ยงที่หันหลังให้เผยเฉียนยิ้มเอ่ยว่า “ยอมแพ้ๆ”
เผยเฉียนถามอีก “พี่หญิงสุย เจ้าจะยอมเปิดศึกใหญ่อย่างตรงไปตรงมากับเด็กน้อยที่ปีนี้อายุเพิ่งจะสิบขวบหรือไม่?”
สุยโย่วเปียนตอบอย่างเฉยเมย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ดีกว่า”
เผยเฉียนตะเบ็งเสียง หันหน้าไปทางห้องครัวขนาดเล็ก “จูเหลี่ยนผู้มีฝีมือทำอาหารเป็นหนึ่งในใต้หล้า เหลือแค่เจ้าคนเดียวแล้ว กล้าปล่อยให้อาหารคืนนี้ไม่น่ากินเหมือนอย่างที่เคยแล้วออกมาต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
จูเหลี่ยนที่รัดผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว ในมือถือตะหลิวตะโกนตอบกลับมาเสียงดัง “ไม่กล้า!”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที กวาดตามองรอบด้าน กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก “นอกจากพ่อข้าก็มีแต่ข้าที่แข็งแกร่งจนไร้ศัตรูทัดเทียมแล้วจริงๆ เหงาจังเลย ดูท่าวันนี้กับพรุ่งนี้คงไม่ต้องฝึกวิชากระบี่แล้ว”
เฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่ากลับมานั่งตรงม้านั่งยาวใต้ชายคาตั้งแต่เมื่อไหร่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ต้องพากเพียรอย่างไม่ลดละ”
เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นมานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “อาจารย์ ข้าใช่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของท่านหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้ามีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าชุยตงซาน ตอนนี้อยู่ที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย หากเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ใหญ่ อาจต้องถามเขาก่อนว่าเต็มใจหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะไม่ค่อยชอบชื่อเรียกว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ นี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นเจ้าจึงยังพอจะมีความหวัง”
เผยเฉียนไม่เห็นเป็นสำคัญ “ชุยตงซาน? ชื่อนี้ฟังดูเหมือนพวกปลาตัวเล็กกุ้งตัวน้อย ไม่มีทางได้ดิบได้ดีแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะปรึกษากับเขา ให้เขาเป็นศิษย์น้องของข้า เรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ อาจารย์ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่อาศัยความสนิทสนมของพวกเราสองคนไปรังแกเขา แล้วก็จะไม่เอาเงินติดสินบนให้เขามอบสถานะศิษย์พี่ใหญ่มาให้ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเหยเก “ก็ได้ เจ้าก็ลองทำดู”
—–