รออยู่ครู่หนึ่ง ตู้เม่าก็ยังไม่เผยตัว
จั่วโย่วมองไปทางภูเขาบรรพบุรุษลูกนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดขนาดนี้ก็ยังไม่ออกมา? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เคยไปเยือนขอบเขตบินทะยาน หนังหน้าหนาเช่นนี้ คาดว่ากระบี่บินของข้าคงจะแทงไม่เข้าเลยกระมัง”
เพียงแต่ว่าจั่วโย่วพลันค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ตรงกลางภูเขาบรรพบุรุษ แถบดินแดนเซียนที่มีเทือกเขาสลับสล้างมีหอเทพเซียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตรงนั้นมีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ทำท่าทางคล้ายปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีฐานกระดูกไม่เลว อีกทั้งเวลานี้ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองเด็กสาวด้วยสายตาแปลกพิกล นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยังเด็กมากคนหนึ่ง
หลังจากนางสังเกตเห็นว่าจั่วโย่วกำลังมองนางอยู่ก็รีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจทันที
จั่วโย่วขมวดคิ้ว
เพราะสำนักใบถงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย ทว่าทุกคนต่างพากันหันมามองทางกึ่งกลางภูเขาของยอดเขาบรรพบุรุษแทบจะเวลาเดียวกันคล้ายกำลังมองหานางอยู่
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่อยู่ข้างกายเด็กสาวซึ่งเหมือนจะมีสถานะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนางสีหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่กล้าเป็นฝ่ายท้าทายผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดผู้นี้โดยพลการ
เด็กสาวมีนิสัยขี้ขลาด อีกทั้งยังได้รับอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เวลานี้ถึงกับหลั่งน้ำตาเงียบๆ
สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง คิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง หรือถึงขั้นสามารถเชิดหน้ามองกลุ่มขุนเขาได้นั้น อันที่จริงง่ายดายมาก ก็คือต้องมีคนที่ต่อสู้เป็น
ในอดีตมี ก่อร่างสร้างกิจการ สืบทอดควันธูป มีวิชาอภินิหารที่ทอดตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน หยั่งรากลงลึก หลังจากนั้นก็แตกกิ่งก้านสาขา
ปัจจุบันมี ไปหาเรื่องในถิ่นคนอื่น ตีให้ถอยร่น อย่างน้อยก็ต้องให้คนอื่นเอ่ยปากยอมแพ้ สร้างร่มเงาให้แก่สำนัก ปกป้องคนรุ่นหลัง
อนาคตมี อย่าให้การสืบทอดต้องขาดลงกลางคัน ถ้าอย่างนั้นยิ่งตอนนี้กำเริบเสิบสานมากเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเมื่อลมและน้ำพลิกผันจะทำอย่างไร? ยังจะเก็บศาลบรรพชนไว้อยู่ไหม? ถึงอย่างไรการฝึกตนบนภูเขา การแก้แค้นก็ไม่เคยพิถีพิถันเรื่องวิญญาณชนแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายอะไรนั่น เพราะมีคนไม่น้อยที่คิดจะอดใจรอหนึ่งร้อยปี หลายร้อยปี หรือแม้แต่หลายพันปีก็ยังมี
ถ้าเช่นนั้นเด็กสาวที่กลับมาจุติใหม่ซึ่งในอดีตเคยเป็นขอบเขตหยกดิบผู้นี้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนซึ่งเชี่ยวชาญการคำนวณและอนุมานของสำนักใบถงบอกให้รู้ถึงทิศทางคร่าวๆ แล้ว ทางสำนักก็ใช้เวลาเกือบสามสิบปีถึงจะตามหาสถานที่แห่งนั้นเจออย่างยากลำบาก จากนั้นก็มีคนจงใจปิดบังชื่อแซ่รอคอย ‘นาง’ มาหลายสิบปี รอจนนางถือกำเนิดมาได้หลายปี ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งหนึ่งถึงได้พานางกลับมาที่ภูเขาได้สำเร็จ
ดังนั้นเด็กสาวที่ถูกนำตัวกลับมาสำนักใบถงผู้นี้จึงถือเป็นคนที่สู้เป็นในอนาคต
คล้ายคลึงกับหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง เพียงแต่ว่าตอนนี้ตบะและพลังอำนาจของนางยังอยู่ห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับหวงถิงได้ โดยเฉพาะอย่างหลังที่สำคัญมากเป็นพิเศษเพราะเกี่ยวพันไปถึงต้นกำเนิดของมหามรรคา
แม้ปากของเทียนจวินผู้เฒ่าและเจ้าสำนักซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงจะพร่ำตำหนิสั่งสอนหวงถิงว่าช่างหาเรื่อง ไม่รู้จักอดทนข่มกลั้น แต่ลึกๆ ในใจย่อมต้องเบิกบานราวกับมีดอกไม้ผลิ
ส่วนเด็กสาวที่สำนักใบถงฝากความหวังไว้มากผู้นี้ มีเรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เด็กสาวจะมีพรสวรรค์ดี แต่นิสัยกลับอ่อนแอมากเกินไป ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ขัดเกลาจิตแห่งเต๋าอยู่หลายครั้ง คำวิจารณ์ของสำนักล้วนเป็นคำว่า พรสวรรค์โดดเด่น เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ฯลฯ มีคำชื่นชมมากมายหลายร้อยคำ แต่ทุกครั้งมักจะลงท้ายด้วยประโยคทำนองว่า นิสัยซื่อสัตย์อ่อนโยน ขาดความเด็ดขาดในการเข่นฆ่าสังหารไปบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ
เพียงแต่เพราะสถานะที่พิเศษของนางทำให้ไม่มีใครกล้าพูดจารุนแรงใส่ ตระกูลตู้ที่ใหญ่ที่สุดในสำนักใบถงก็ยิ่งเห็นนางเป็นดั่งดวงใจ
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากชาติก่อนเด็กสาวจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว นางยังมีสถานะที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง นางเคยเป็นมารดาของตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์จริงๆ
ตามหาคนที่มาจุติเกิดใหม่ ผูกบุญสัมพันธ์กันอีกครั้ง
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีในชื่อมีคำว่าสำนักเท่านั้นถึงจะมีรากฐานและวิธีการเช่นนี้ได้
จั่วโย่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว คงเป็นเพราะไม่อยากทำให้แม่นางน้อยที่บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตกใจกลัวจึงอธิบายว่า “ข้าล้อเล่น อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง บัณฑิตอย่างพวกเราชอบพูดคำพ้องเสียง”
ไม่พูดยังดี ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ตกใจกลัวมานานแล้ว
แต่พอเขาอธิบายอย่างนี้
เด็กสาวที่สีหน้าซีดขาวจึงเริ่มย่นใบหน้าเล็กๆ นางที่เพิ่งลอบเช็ดคราบน้ำตาพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนชั่วร้ายผู้นี้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางในอดีต ป่านนี้คงร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านี้ไปแล้ว
จั่วโย่วรู้สึกลำบากใจ
แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ
รับมือกับสตรี เสี่ยวฉีไม่ถนัด เจ้าสารเลวชุยฉานนั่นถือว่าดีขึ้นมาหน่อย แต่เขาจั่วโย่วกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าความคิดของสตรียากจะทำความเข้าใจยิ่งกว่าความรู้ของอาจารย์เสียอีก สรุปก็คือยากยิ่งกว่าเรียนหนังสือ
ส่วนข้อที่ว่าความรู้ของจั่วโย่วยิ่งใหญ่หรือไม่ สูงหรือไม่
เมื่อเทียบกับความดั้งเดิมซื่อตรงของฉีจิ้งชุนและสมองที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดของชุยฉานแล้ว ก็ถือว่าด้อยกว่าไม่น้อย
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะถูกซิ่วไฉเฒ่าคอยกดหัวเขาให้อ่านตำรา แน่นอนว่าย่อมมีความรู้อยู่บ้าง พวกวิญญูชนและนักปราชญ์ทั่วไปของสำนักศึกษาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถกปัญหาพูดคุยกับจั่วโย่วได้
ต้องรู้ว่าจั่วโย่วฝึกกระบี่ ปราณกระบี่ของเขาเอามาจากไหน?
ช่วงแรกเริ่มสุดเอามาจากในตำรา จากในรอยสลักจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าผา จากในเอกสารคัดลอกป้ายศิลาจำนวนเกินจะนับ
เพื่อให้เขาฝึกกระบี่ได้อย่างราบรื่น ปีนั้นเสี่ยวฉีคอยเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วสารทิศเป็นเพื่อนเขา
จั่วโย่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ทอดสายตามองไปยังทิศทางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เขาดึงสายตากลับมา พบว่าข้างกายของเด็กสาวยังมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิดยืนอยู่ด้วย สายตาของเขาคมกริบและดื้อรั้น กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน ต่อให้ถูกปราณกระบี่ของตนแผดเผาจนแสบตา แต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้าไปมองทางอื่น
จั่วโย่วชำเลืองตามองมุมหนึ่งของภูเขาบรรพบุรุษ “ตู้เม่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่สู้เจ้าลองทำดู ข้าจะรอเจ้าก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นจั่วโย่วก็เงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที ฟันให้ปราการค่ายกลใหญ่ที่อยู่ด้านหลังถูกผ่าออกเป็นประตูใหญ่หนึ่งบาน แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป
จั่วโย่วลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนืออาณาเขตในการปกครองของสำนักใบถง หลับตาทำสมาธิ เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นจากทิศตะวันออก เขาก็เริ่มใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ที่สุดโจมตีโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาบางส่วนที่แข็งตัวให้แหลกสลาย ยกตัวอย่างเช่นภูเขาบางลูก แม่น้ำบางช่วงตอน ต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้าบางต้นที่มีหวังว่าจะกลายเป็นภูติ ศาลาบางแห่งที่สยบปราณชั่วร้าย วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่อยู่ใต้ดิน
ปราณวิญญาณจำนวนน้อยนิดไหลกระจัดกระจายออกมา มองโดยภาพรวมแล้วคล้ายจะมีความเสียหายไม่มาก
แต่ในความเป็นจริงแล้วผลลัพธ์ที่ตามมากลับร้ายแรงอย่างถึงที่สุด
โชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาเน้นย้ำในเรื่องการเก็บลมรวมน้ำ เก็บไว้ที่ใด รวมไว้ที่ใดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพิถีพิถัน โชคชะตาที่อลหม่านวุ่นวาย ใครจะกล้าเก็บใส่กระเป๋าของตัวเองส่งเดช? ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะกันแน่
ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้มาขวางอยู่หน้าประตูบ้านของคนอื่นแล้วเริ่มขุดมุมกำแพงของสำนักใบถงราวกับชาวนาขุดดิน
เพราะอยู่บนเส้นชายแดน ปราณวิญญาณและปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์จึงไหลเข้าสู่ที่นาคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แรกเริ่มสำนักใบถงไม่มีใครกล้าออกหน้ามาเก็บปราณวิญญาณกลับเข้าไปในสำนัก
ภายหลังสำนักใบถงเสียดายปราณวิญญาณเหล่านั้นจริงๆ จึงส่งผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ เอาสมบัติอาคมออกมาไล่เก็บปราณวิญญาณ
คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่แม้แต่จะปรายตามอง ‘โอสถทองตัวเล็กๆ’ เพียงแค่พลิ้วกายลงบนผิวน้ำของลำคลองใหญ่สายหนึ่ง ปราณวิญญาณเบาบางเป็นเส้นๆ ที่น้ำในลำคลองใต้ฝ่าเท้าฟูมฟักออกมาพลันแหลกสลายลงในเสี้ยววินาที
แล้วก็มีผู้ฝึกตนโอสถทองอีกคนหนึ่งรวบรวมความกล้าทะยานออกไปจากภูเขา อยู่ห่างจากด้านหลังของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมาหลายสิบลี้ ก่อนจะค่อยๆ เก็บรวบรวมปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายมาอย่างระมัดระวัง พยายามปล่อยมันกลับเข้าไปในลำคลอง ช่วยเรียบเรียงเส้นสายของชะตาน้ำให้เป็นระเบียบและมั่นคง
สิบวันผ่านไป ระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับพวกผู้ฝึกตนเซียนดินที่ยุ่งจนหัวหมุนถือว่าพอจะรักษาความสงบเอาไว้ได้ ต่างคนต่างทำงานในส่วนของตัวเองไป
ผ่านไปอีกสิบวัน สำนักออกคำสั่ง จึงเริ่มมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางต่ำกว่าโอสถทองบางส่วนแอบออกมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ทิ้งระยะห่างประมาณสามสิบห้าสิบลี้ แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันออกไป เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
แล้วก็ผ่านไปอีกสิบวัน แม้แต่ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่เป็นห้าขอบเขตล่างก็ยังเริ่มมาร่วมวงความครึกครื้น ‘แหงนหน้ามอง’ คนผู้นี้
ส่วนผู้ฝึกกระบี่นามว่า ‘จั่วโย่ว’ คนนั้น นอกจากจะเหลือบตามองมายังยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่เคยให้ความสนใจผู้ฝึกตนของสำนักใบถงเหล่านี้
ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดผ่านพ้นไป ห่างจากปีใหม่อีกไม่ไกลแล้ว
ในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขามีคำสุภาษิตกล่าวว่า ‘ด่านปีผ่านยาก ต้องผ่านทุกปี’
ลูกศิษย์สำนักใบถงที่อวดอ้างบารมีอยู่ในทวีปมานานหลายปีเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้สำนักของตนก็มีช่วงเวลาที่ต้องพบเจอกับด่านยากเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่ง สำนักใบถงวางแผนซุ่มโจมตีซึ่งใช้ทุกวิถีทางที่มี ระดมพลผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบสองคนและเซียนดินอีกเกือบสิบคน
จั่วโย่วเงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที
จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง พุ่งไปยังบริเวณที่ใกล้เคียงกับภูเขาบรรพบุรุษ ฟันยอดเขาแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเป็นพื้นที่ต้องห้ามเพราะเดิมทีต้องมอบให้แก่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบางคนในอนาคตไว้ใช้เป็นที่ตั้งของจวนเทพเซียนตั้งแต่ยอดเขาจรดตีนเขา หนึ่งกระบี่ที่ฟันลงมาผ่าให้เกิดหุบเขาร่องลึกขนาดใหญ่ยักษ์
ครั้นจึงจากไปไกลอย่างสง่างาม
จากนั้นก็เริ่มดักอยู่หน้าประตูขุดกำแพงบ้านคนอื่นต่ออีกครั้ง
ความเคลื่อนไหวใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ผ่าน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักและเซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปต่างก็รู้กันนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีสำนักศึกษาออกหน้าห้ามปรามจึงไม่มีใครกล้าไปชมงิ้วหาเรื่องซวยใส่ตัว
นอกจากคนคนหนึ่ง
เจียงซ่างเจินผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของสำนักกุยหยก เจ้าประมุขสกุลเจียงที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นใบหลิ่วใบหนึ่ง
ตอนแรกที่ไปถึงคนผู้นี้โค้งตัวคำนับขออภัยจั่วโย่วอย่างจริงจังหนึ่งครั้งก่อน ตีหน้าเคร่งอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสะเทือนฟ้าดิน
ตอนที่เร่งรุดเดินทางมาทิศเหนือและย้อนกลับไปทางทิศใต้ ทะยานลมเดินทางไกลทั้งสองครั้ง เขาจงใจชะลอความเร็ว วางท่าเดินอาดๆ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้วราวกับบิน
ผลคือเกือบถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน
เพียงแต่ว่าตอนที่เผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง เจียงซ่างเจินกลับยังปล่อยเสียงหัวเราะที่สาแก่ใจอย่างถึงที่สุด
มีวันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางขลาดกลัว นางถามเสียงสั่นว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำลายโชคชะตาของสำนักข้าอย่างไร้เหตุผล?”
ทุกวันนี้จั่วโย่วถือว่าคุ้นเคยกับสำนักใบถงดีแล้ว ถ้อยคำซุบซิบนินทาที่ลูกศิษย์สำนักใบถงบางคนคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากจั่วโย่วครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “คนที่ล้างผลาญเช่นนี้ จะเป็นบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ได้อย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษผู้สร้างความวอดวายให้สำนักเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นตอนนั้นเจ้าไม่ควรคลอดตู้เม่าออกมา”
เด็กสาวหน้าตางดงามทั้งโกรธทั้งอับอาย
เด็กหนุ่มที่มาที่นี่พร้อมกับเด็กสาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สำนักใบถงฝากความหวังว่าจะนำพาสำนักรุ่งเรืองไปนานนับพันปี เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันที่นุ่มนิ่มเป็นข้าวเหนียวแล้ว นิสัยของเด็กหนุ่มเฉียบคมดุกร้าว เขาสะพายกระบี่ยาวที่บุรพาจารย์ตู้เม่ามอบให้เขาด้วยตัวเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของข้า!”
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามแล้ว”
—–