ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วง เจ้าสำนักใบถงที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้า มาขวางอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้น ปกป้องพวกเขาไว้ด้านหลัง แล้วถึงกับเอ่ยขออภัยจั่วโย่ว “คำพูดของเด็กมิอาจถือเป็นจริงเป็นจัง ขอเซียนกระบี่อย่าเก็บไปใส่ใจ”
จั่วโย่วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกหน้าผาของยอดเขาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ได้ยินว่าสำนักใบถงของพวกเจ้า หากพูดจาไม่เข้าหูก็ชอบโยนกระบี่บิน ทุ่มสมบัติอาคมออกไปมากที่สุด หากเอาชนะไม่ได้ก็แค่บอกชื่อแซ่ของตัวเอง กลับมาถึงภูเขาแล้วค่อยฟ้องผู้อาวุโสในสำนัก สุดท้ายก็กรูกันลงเขาไปสังหารผู้อื่น เป็นแบบนี้จริงไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงได้แต่ยิ้มเจื่อน
จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในใจเจ้ากำลังพูดว่า ‘จริงแล้วจะทำไม’ อยู่ใช่ไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที หันไปตบหน้าเด็กหนุ่มอย่างแรง พูดอย่างเดือดดาล “คุกเข่าโขกหัวยอมรับผิดกับเซียนกระบี่เดี๋ยวนี้! โขกจนกว่าเซียนกระบี่จะพอใจ!”
มุมปากของเด็กหนุ่มมีเลือดซึมออกมา “ให้ตายข้าก็ไม่ทำ!”
จั่วโย่วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใด อันที่จริงข้าไม่คิดจะอธิบายเหตุผลสอนพวกเขาว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร ไม่สั่งสอนบุตรคือความผิดของบิดา อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดคือความผิดของอาจารย์ เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสก็มากินกระบี่ของข้าอีกสักครั้งแล้วกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงถูกกระบี่แทงทะลุหน้าท้อง ร่างกระแทกไปชนกับภูเขาด้านหลังแล้วร่วงดิ่งลงพื้นอย่างน่าอนาถอีกครั้ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจงใจสยบขอบเขตของตัวเอง ปล่อยให้จั่วโย่วใช้หนึ่งกระบี่ระบายโทสะหรือไม่ มีเพียงฟ้ารู้ดินรู้และพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้
จั่วโย่วมองไปทางเด็กหนุ่มผู้นั้น “ไม่ลองพูดจาโอหังอีกสักทีเล่า? ไม่แน่ว่าตู้เม่าอาจจะออกมาปกป้องเจ้าก็เป็นได้”
เด็กหนุ่มหน้าขาวซีด
จั่วโย่วกล่าว “หากไม่พูดเจ้าจะต้องตาย แต่หากพูดจาโอหังอีกสักคำ ไม่แน่ว่าอาจมีคนออกมาช่วยรับกระบี่แทนเจ้า เวลานี้เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
ความคิดในหัวของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตีกันให้วุ่น
เด็กสาวพลันขยับมายืนตรงหน้าเด็กหนุ่ม ร่ำไห้ปานจะขาดใจ ตะโกนพูดเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าเลิกบีบบังคับเขาได้แล้ว จิตแห่งกระบี่ของเขาจะแหลกสลาย! เจ้าร้ายกาจขนาดนี้ เหตุใดยังต้องถือสาเขาด้วย?!”
จั่วโย่วคลี่ยิ้มกล่าว “ไปถามลูกชายของเจ้าดูสิ”
เด็กสาวร้องไห้จนสายตาพร่ามัว
รู้สึกเพียงว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนที่ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้!
จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “ก่อนหน้านี้ไม่ยอมโขกหัวรับผิดเพราะคิดจะรักษาหน้าตา ทำตัวว่านอนสอนง่ายให้ผู้อาวุโสในสำนักได้เห็นเพราะอยากจะสร้างความประทับใจที่ดี ตอนนี้จะตายอยู่แล้วกลับไม่กล้าพูด นั่นก็เป็นเพราะรักชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอย่างเจ้านี่นะ”
จั่วโย่วมองไปทางทิศเหนือ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เหตุใดพอกลับมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ถึงเพิ่งจะค้นพบความดีของศิษย์น้องเล็กกันนะ”
ครั้งหนึ่งที่ได้รับโชควาสนา หลังจากที่จั่วโย่วได้กระบี่ประจำกายเล่มนั้นมาครอง เสี่ยวฉีเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ได้กระบี่สามฉื่อมาโดยบังเอิญ ข้ามทะเลสังหารปลาวาฬ เก็บเข้าฝักห้อยไว้บนผนัง ยังได้ยินเสียงกระบี่ร้องอึงอล
ภายหลังจั่วโย่วออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ออกห่างจากโลกมนุษย์ เดินทางไกลอยู่บนมหาสมุทร ไม่ได้อ่านตำราเล่าเรียนหนังสืออีกเลย
จั่วโย่วพูดกับเด็กสาวว่า “ไม่พูดถึงตู้เม่าและวาสนาระหว่างเจ้ากับตู้เม่าก่อนหน้านี้ พูดถึงแค่การมาเยือนในครั้งนี้ ทำให้เจ้าเดือดร้อนกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เป็นความผิดของข้า เจ้าสามารถเรียกร้องสิ่งหนึ่งที่สมเหตุสมผลได้”
เด็กสาวเช็ดคราบน้ำตา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องสมเหตุสมผล”
เด็กสาวรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้าปล่อยเขาไป อย่าได้สยบจิตแห่งกระบี่ของเขาไว้อีก”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ได้”
แล้วเขาก็เก็บเอาปราณกระบี่ที่ไหลทะลักออกไปข้างนอกกลับมาจริงๆ
อันที่จริงเด็กสาวไม่รู้ว่า ไม่ได้เป็นเพราะจั่วโย่วจงใจเล่นงานจิตแห่งกระบี่ของเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้ แต่เป็นเพราะเดิมทีจิตแห่งกระบี่ของคนผู้นี้ก็ไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว
เด็กสาวยิ้มทั้งน้ำตา แต่คงเพราะรู้สึกว่ายิ้มให้ศัตรูคู่แค้นเป็นการกระทำต่ำช้าที่ทรยศต่อสำนักและอาจารย์ นางจึงรีบตีหน้าเคร่งทันที
จั่วโย่วหันตัวกลับไปเตรียมจะทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำของสำนักใบถงต่ออีกครั้ง แต่ยังหันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “ตู้เม่าเป็นคนที่ล้างผลาญจริงๆ อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้ว”
เด็กสาวไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มด้านหลังตัวสั่นสะท้าน เรือนกายโอนเอนไม่อยู่นิ่ง จิตแห่งกระบี่ก็ยิ่งไม่มั่นคง
จั่วโย่วพุ่งตัวทะยานออกไปไกล ปราณกระบี่พาดผ่านดุจสายรุ้งยาว
ทางฝั่งของภูเขาบรรพบุรุษ ภาพปรากฎการณ์ประหลาดในถ้ำสวรรค์ใบถงขนาดเล็กยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
คิดจะบินทะยาน?
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามกระบี่ของข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่
……
เรือข้ามฟากลำหนึ่งจากอุตรกุรุทวีปได้เดินทางมาถึงกลางอากาศเหนืออาณาเขตของบุรพแจกันสมบัติทวีป
ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุด เงินเทพเซียนถูกเผาผลาญไปนับไม่ถ้วน เหล่าผู้โดยสารย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ยินดีให้ไปถึงเป้าหมายในเร็ววัน
ได้ยินว่ามีก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่ใช้เงินมือเติบคนหนึ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่ เรือข้ามฝากลำนี้ถึงได้ทำเช่นนี้
บุรุษร่างแข็งแกร่งกำยำตัวไม่สูงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องชั้นล่างที่ถูกที่สุด แทบไม่เคยออกมาจากในห้อง
น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เพียงแต่มองไม่ออกว่าอยู่ขอบเขตไหน
อันที่จริงการที่มองไม่ออกก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่พอจะมีไหวพริบเกิดใจกริ่งเกรงได้แล้ว
ขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธ์ในตำนาน ขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธ์มีสามระดับ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน
หลังจากที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากยอดเขาราชสีห์ ลมปราณและพลังอำนาจของเขาก็ไต่ทะยานมาตลอดทาง อยู่ดีๆ ก็เข้าสู่ขอบเขตของการกลับคืนสู่ความจริงแล้ว
หลี่เอ้อร์รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ดีมาก
รื้อศาลบรรพชนของคนอื่น หมัดต้องแข็งพอ!
……
คลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ในนครมังกรเฒ่า
ตระกูลฟ่านยังคงรั้งทัพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แน่นอนว่าในสายตาของคนตระกูลฟ่านส่วนใหญ่ในศาลบรรพชน นี่เรียกว่ารอความตาย
ตระกูลซุนก็มีความเคลื่อนไหวไม่มาก แม้ว่าจะเลือกพึ่งพาตระกูลฝูมานานแล้ว แต่กลับไม่ได้รีบร้อนส่งมอบใบลงชื่อขอเข้าร่วมพันธมิตรอะไร
ร้านยาฮุยเฉินยังคงเป็นสถานที่เล็กๆ ที่คึกคักซึ่งไม่มีใครมารบกวนอยู่เช่นเดิม
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านในโต๊ะคิดเงิน บนโต๊ะวางแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวเหมือนไม้บรรทัดซึ่งเป็นก้อนที่เล็กที่สุด
ชูอีกับสืออู่ต่างก็กำลัง ‘ลับกระบี่’ ทั้งสองบินโฉบไปโฉบมาบนแท่นสังหารมังกรก้อนนั้นอย่างรวดเร็วจนสะเก็ดไฟแลบกระจายไปสี่ทิศ
ลิงโลดร่าเริง
เฉินผิงอันกำลังคิดบัญชีให้กับตัวเอง
แผ่นหยกสีทองที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นสามารถดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง ก็คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สามารถห้อยพกไว้ตรงเอวได้
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ไม่สามารถเอามาห้อยได้ เพราะขัดแย้งกับปราณดุร้ายทั่วร่างของเทพหยินแซ่จ้าวกับตัวค่ายกลของร้านยาฮุยเฉิน
เมื่อไปถึงสถานที่ที่ภูเขาเขียวน้ำใส มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้วถึงจะสามารถเอาออกมาได้
เผยเฉียนชอบมันมาก ก่อนหน้านี้เวลามาอยู่ที่โต๊ะคิดเงินจะถือไว้จนแทบวางไม่ลง ลูบคลำอยู่พักใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่กล้าขอยืมเฉินผิงอันเอาออกไปโอ้อวด
หากยังไม่อาจคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ได้ เฉินผิงอันก็ได้แต่เก็บหยกประดับชิ้นนี้ไว้อย่างมิดชิดเป็นการชั่วคราว
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดและเปลืองจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานร่างนั้น นี่ก็คือคราบร่างเซียนเหรินของแท้แน่นอน!
หนังหุ้มของเด็กหนุ่มชุยฉานหรือชุยตงซานในทุกวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
เพียงแต่ควรจะใช้คราบร่างนี้อย่างไรกลับมีวิชาความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก หากไม่ระวังก็อาจจะขาดทุนย่อยยับ แต่หากนำไปใช้ได้ดีก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
เมื่อเทียบกับการหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้วถือว่ายากกว่ามาก
อันดับแรกต้อง ‘เปิดประตู’ เสียก่อน คราบร่างของเซียนเหรินก็คือร่างทองมิพ่ายที่สมชื่อ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางโจมตีอย่างเต็มกำลังหนึ่งครั้งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถแทงทะลุได้
รองลงมาคือการชำดอกไม้ตอนกิ่ง (เปรียบเปรยถึงการยักยอกถ่ายเทของของผู้อื่น) หรือนกพิราบครองรังนกกางเขน (เปรียบเปรยถึงการบุกรุกครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่น) อย่างที่ชุยตงซานทำนั้น หมายความว่าดวงวิญญาณที่ ‘เข้าประตู’ จะต้องสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังต้องแข็งแกร่งมากพอ และยังต้องเป็นบุคคลที่เกิดมาก็มีปณิธานที่แข็งแกร่ง
ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีจุดจบเป็นตู้เม่าตายแล้วฟื้น หากมอบโอกาสให้เขาได้ย้อนกลับไปที่สำนักใบถง จิตหยางกลับคืนสู่ตำแหน่ง ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนมิอาจคาดการณ์ได้
ข้อที่สาม ควรจะบำรุงด้วยความอบอุ่นอย่างไร คราบร่างของเซียนเหริน หากเอาวางไว้เฉยๆ เป็นพันปีก็ไม่มีปัญหา แต่หากมีเจ้านายคนใหม่แล้วก็ต้องทุ่มเงินมหาศาล
ข้อที่สี่ ‘ตู้เม่า’ คนใหม่จะเติบโตขึ้นมาอย่างไร จะเลือกเส้นทางการฝึกตนอย่างไร ต้องใคร่ครวญให้ดี ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่า
ราชวงศ์ในโลกมนุษย์มีคำชื่นชมขุนนางกล่าวไว้ว่า ให้มีความสามารถและบุคลิกภาพเช่นอัครมหาเสนาบดี ทว่ากว่าจะเดินไปถึงการได้เป็นขุนนางผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแท้จริงกลับยังมีระยะทางอีกไกล และยังต้องอาศัยโชคช่วยด้วย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยถามเทพหยินแซ่จ้าวอย่างละเอียดมาก่อน เพียงแต่ฝ่ายหลังอธิบายอย่างคลุมเครือ เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงเรื่องวงในมากมายจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ติดเงินฝนธัญพืชตระกูลฟ่าน หรือควรจะพูดว่าติดเงินฟ่านจวิ้นเม่าห้าสิบเหรียญ
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นของตนก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญแล้ว
จ่ายเงินดั่งสายน้ำไหล มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ ก็คือสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของเฉินผิงอันในเวลานี้
ความคิดของเผยเฉียนมักจะเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเสมอ นางบอกว่าเวลาเหมือนกระบี่บิน สวบทีเดียวก็ผ่านไป มองไม่เห็นแม้แต่หาง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าตัวเองหายไปได้เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก
ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บป้ายหยกแผ่นนั้นมา ร้านยาถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน จึงปล่อยให้ชูอีกับสืออู่ลับคมกระบี่ต่อไป
ออกเดินทางในครั้งนี้ พาชูอีกับสืออู่เข่นฆ่าสังหารมาตลอดทางอย่างไม่มีหยุดพัก คมกระบี่จึงทื่อขึ้นไม่น้อย ตามคำบอกของเทพหยินแซ่จ้าว หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วกระบี่บินเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาจะทำให้เสียการใหญ่
แต่เมื่อได้ ‘กิน’ แท่นสังหารมังกรก้อนนี้ ก็สามารถชดเชยกลับมาได้
แท่นสังหารมังกรเล็กๆ ก้อนนี้คือของรักที่ผู้ฝึกกระบี่บนโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน สามารถเอาไปขายเป็นเงินฝนธัญพืชได้ไม่น้อย
การที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปล้วนยากจนนั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลย
ต่อให้เป็นอาเหลียง ปีนั้นที่ท่องอยู่ในยุทธภพของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนจะเดินทางไปภูเขาห้อยหัวก็ยังติดหนี้ก้อนโต แม้จะไม่ได้หมดไปกับการเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด แต่หลักๆ คือทุกครั้งที่ลงมือ หลังจากจบเรื่องจะต้องควักเงินช่วยสำนักที่น่าสงสารเหล่านั้นซ่อมแซมสถานที่ ค่าใช้จ่ายก้อนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ทว่าผู้ฝึกกระบี่เก็บสะสมเงินได้ยากที่สุด นี่กลายเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เหตุผลนั้นทั้งง่ายดาย แล้วก็ไม่ง่ายดายไปในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ง่ายดายก็คือมีเพียงกระบี่อย่างเดียวที่ต้องจ่ายเงินราวกับเผาทิ้ง ไม่จำเป็นต้องแบ่งความสนใจและความละโมบไปไว้ที่สมบัติอาคมอย่างอื่น ส่วนที่ไม่ง่ายดายก็คือ ของชิ้นเดียวนี้เลี้ยงยากยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ เสียอีก ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณไม่มีเงินอยู่ในมือ อย่างน้อยก็ยังสามารถเอาสมบัติบางอย่างออกมาขายแลกเงิน รื้อกำแพงตะวันออกซ่อมกำแพงตะวันตก เอามายกระดับขั้นของอาวุธเซียนสมบัติอาคมบางชิ้นที่เหมาะสมกับการฝึกตนในปัจจุบัน แต่ผู้ฝึกกระบี่จะขายอะไร? ขายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองงั้นหรือ?
แม้เผยเฉียนจะทนรับกับความทรมานระหว่างที่ยืดเส้นเอ็นดึงกระดูกไม่ได้ แต่ก็ยังหวังให้ตัวเองได้เรียนวรยุทธ์ ขอแค่ไม่ต้องทนรับกับความเจ็บปวด นางก็ยินดี
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้นางกำลังขอเรียนวรยุทธ์จากเสี่ยวป๋าย เหล่าเว่ยไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ ถูกนางตื๊อจนรำคาญใจจึงวิ่งกลับห้อง มุดหัวอยู่ในผ้าห่มนอนหลับไปแล้ว เผยเฉียนโมโหจึงใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มผ้าห่ม เหล่าเว่ยก็ไม่สนใจ กรนเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง
เผยเฉียนจึงได้แต่ถอยมาเลือกในอันดับรองลงมา เลือกที่จะขอความรู้จากหลูป๋ายเซี่ยงที่สนิทสนมเป็นอันดับที่สอง
หลูป๋ายเซี่ยงจึงเดินมาที่ลานบ้าน คิดแล้วก็เริ่มเลียนแบบท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอันอย่างพลิ้วไหว มีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
เดินไปพลางหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียนด้วยรอยยิ้มด้วยว่า “สอนหมัดไม่สอนการก้าวเดิน สอนก้าวเดินต่อยอาจารย์ นี่ก็คือรากฐานหลักการของวิชาหมัดที่ดีเยี่ยม ในบรรดาพวกเราสี่คน หากพูดถึงแค่กระบวนท่า เป็นจูเหลี่ยนที่เปิดได้กว้างที่สุด หุบได้แน่นสนิทที่สุด เหมาะสมกับคำว่าเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนามากที่สุด”
หลังจากเดินนิ่งหกก้าวแล้วก็ปล่อยหมัดออกไปเบาๆ หนึ่งที เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว หลูป๋ายเซี่ยงจึงเอ่ยต่อว่า “แปดทิศมีพลัง จึงจะกึ่งหลับกึ่งตื่น พอมีความเคลื่อนไหว เส้นขนก็ตั้งชันดุจง้าว ปล่อยพายุหมัดสั่นสะเทือน”
หลูป๋ายเซี่ยงวาดเท้าเตะตวัด พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็กล่าวว่า “กระดูกสันหลังของมนุษย์ประหนึ่งเส้นทางมังกรของฟ้าดิน เป็นเหตุให้ในการเรียนวรยุทธ์มีคำกล่าวว่าปรับแก้มังกรใหญ่ ไม่ถือว่าสูงส่งลึกล้ำอะไร แต่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ข้อต่อกระดูกสันหลังเชื่อมยาวติดกันประหนึ่งเจียวหลงส่ายร่าง ในชั่วพริบตาที่ปล่อยพละกำลังออกไป ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งพลันเคลื่อนโคจรไปตามช่องโพรงลมปราณและเส้นชีพจรไกลหลายร้อยลี้ หรืออาจไกลถึงพันลี้ กระตุ้นผิวหนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและเลือดของทั้งร่าง ทุกครั้งที่ลงมือย่อมมีพละกำลังที่หนักหน่วง”
—–