วันที่สามสิบของสิ้นปีเขียนกลอนคู่เปลี่ยนกลอนคู่ ก่อนหน้านี้ร้านยาฮุยเฉินซื้อกระดาษพื้นหลังสีแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่มาไว้ไม่น้อย แปะไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาหนึ่งแผ่น ห้องหลักและห้องข้างสามห้องของเรือนหลัง รวมทั้งหมดต้องใช้กลอนคู่สี่แผ่น
เฉินผิงอัน เผยเฉียน เจิ้งต้าเฟิงและหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็เขียนกันคนละแผ่น ล้วนเอาเนื้อหามาจากสมุดพับกลอนคู่เล่มเล็กที่ซื้อมาจากตลาด ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก
เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลูป๋ายเซี่ยงเขียนแบบพลิ้วไหว เจิ้งต้าเฟิงก็เขียนตัวอักษรออกมาได้ไม่ธรรมดาเช่นกัน เผยเฉียนพูดอย่างฮึกเหิมว่าจะเขียนเองหนึ่งแผ่น ผลกลับกลายเป็นว่าเขียนอย่างตั้งใจ แต่กลับถูกคนรังเกียจ จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ส่ายหน้า แม้แต่เว่ยเซี่ยนก็ยังพูดว่าเขียนได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่คนเรากลัวการเปรียบเทียบมากที่สุด เผยเฉียนเองก็กระดากใจ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพูดว่างั้นก็เอาตามนี้แหละ แค่ให้มีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองเท่านั้น ไม่ต้องคิดมากว่าตัวอักษรจะดีหรือเลว เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนและสุ่ยโย่วเปียนสามคนรับผิดชอบไปยกม้านั่ง บันไดและหยิบแป้งเปียกมาใช้ติดกลอนคู่ เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งคอยชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่ง ยืนพูดไม่ปวดเอว เผยเฉียนคิดว่าตัวเองเขียนกลอนคู่ได้ไม่ดีก็จะต้องติดกลอนคู่ให้ตรงให้จงได้ นี่ทำให้เด็กหญิงผอมแห้งที่อยากทำดีไถ่โทษเหงื่อแตกเต็มศีรษะ สุดท้ายสุยโย่วเปียนบอกให้ทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงสองคนหุบปาก เผยเฉียนถึงได้ประสบความสำเร็จในที่สุด
อักษรตัวชุน (ฤดูใบไม้ผลิ) เฉินผิงอันเป็นคนเขียน อักษรตัวฝู (วาสนา/โชคดี) เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนเขียน
จูเหลี่ยนกำลังทำอาหารมื้อค่ำอยู่ในห้องครัว ยุ่งมาเกือบตลอดบ่าย เฉินผิงอันและเผยเฉียนคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างล้างผักหั่นผัก สุยโย่วเปียนมายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวครู่หนึ่งก็เดินจากไป
สุดท้ายจูเหลี่ยนก็ยกอาหารมื้อค่ำอันอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งผักและเนื้อครบครันออกมาวางเป็นโต๊ะใหญ่ ทั้งกลิ่นและสีสันล้วนน่ากิน อาหารที่เป็นเนื้อคือปลาตัวใหญ่ตุ๋นพะโล้ซึ่งมีความหมายว่าให้เหลือกินเหลือใช้ (ปลาคือคำว่าอวี๋ พ้องกับคำว่าเหนียนเหนียวโย่วอวี๋ที่แปลว่าเหลือกินเหลือใช้) อาหารจานหลักคือตีนหมูตุ๋นหม้อดิน เฉินผิงอันและเผยเฉียนช่วยกันใช้ตะเกียบแยกเนื้อออก
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน หันหน้าเข้าหาทางทิศเหนือ หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเจิ้งต้าเฟิง สุยโย่วเปียนและเผยเฉียนนั่งอยู่ฝั่งขวามือ เผยเฉียนแอบหัวเราะคิกคัก พูดว่าถ้าอย่างนั้นพี่หญิงโย่วเปียนก็นั่งทางฝั่งขวามือ (โย่วเปียนแปลว่าทางขวา เผยเฉียนพูดประโยคนี้เป็นการเล่นคำ โย่วเปียนนั่งทางโย่วเปียน) ผลกลับถูกสุยโย่วเปียนบิดหู เผยเฉียนจึงรีบร้องขอชีวิตทันที
เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวใกล้กับประตูใหญ่
ให้ตายเทพหยินแซ่จ้าวก็ไม่ยอมเข้ามานั่งร่วมวงด้วย ทุกคนจึงได้แต่เลิกชวน
เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ผลิตมาจากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านส่งกลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก เข้าปากแล้วก็ให้กลิ่นหวานยาวนาน รสชาติติดลิ้น
เฉินผิงอันเห็นว่าเผยเฉียนทำท่าอยากกิน อีกอย่างทุกคนก็ยุ่งวุ่นวายมาเกินครึ่งวันโดยไม่ได้หยุดพัก คิดว่าถึงอย่างไรเหล้าหมักกุ้ยฮวาก็ไม่ฤทธิ์แรงขึ้นหัว ไม่แสบร้อน จึงรินให้นางจอกเล็กหนึ่งจอก น่าจะจิบได้ประมาณสองสามคำ เพียงแต่เตือนนางว่าวันหน้ามีเพียงเทศกาลอย่างปีใหม่เท่านั้นที่ดื่มเหล้าได้ หากเวลาปกตินางกล้าแอบดื่มก็อย่าโทษหากเขาจะจัดการนาง เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก บนใบหน้าดำเกรียมที่เริ่มมีเนื้อขึ้นมาเล็กน้อยเผยความไร้เดียงสาและความสุขอย่างที่เด็กในวัยนางควรจะมี
ภายใต้การยืนกรานของเฉินผิงอันจึงต้องให้เจิ้งต้าเฟิงเป็นคนจับตะเกียบคีบอาหารคำแรกก่อน คนอื่นๆ ถึงจะสามารถขยับตะเกียบจับถ้วยเหล้าได้ และยังต้องให้เจิ้งต้าเฟิงยกแก้วเหล้าพูดจาตามมารยาทสองสามประโยคให้พอเป็นพิธี
ทำเอาเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าหนาอับอายขัดเขินอย่างถึงที่สุด อึกๆ อักๆ อยู่นานถึงได้พูดประโยคทำนองว่าทุกคนกินให้อร่อยดื่มให้เต็มที่ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกเรื่องราบรื่นสมใจปรารถนา เผยเฉียนจิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาคำเล็กๆ แล้วดวงตาก็พลันเป็นประกาย ใต้หล้ามีของอร่อยที่หวานชื่นขนาดนี้ด้วยหรือ? ดูท่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นถ้านางอยากดื่มเหล้าก็คงดื่มได้แล้วกระมัง?
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง มีเผยเฉียนอยู่ด้วยก็ยากที่จะกินข้าวกันอย่างสงบ
เจิ้งต้าเฟิงและเฉินผิงอันไม่ได้คุยถึงเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูและเมืองเล็กหลงเฉวียนเท่าใดนัก
ส่วนใหญ่เจิ้งต้าเฟิงจะถามถึงเรื่องราวและผู้คนในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ค่อนข้างสนใจติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าก่อนหน้าเฉินผิงอันอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ก็เป็นเจ๋อเซียนเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันเลือกบ้างเรื่องมาเล่าให้ฟัง จนกระทั่งถึงตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงที่ถือโอกาสพูดถึงเรื่องวงในในถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลถึงได้พูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจู
โดยทั่วไปแล้วถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่งและถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง การที่ถ้ำสวรรค์เป็นถ้ำสวรรค์ก็เพราะมีปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นเหนือกว่าที่อื่น เล่าลือกันว่าเมื่อถ้ำลอยขึ้นฟ้าจะมีโชควาสนาต่างๆ ของพวกเซียนบรรพกาลซึ่งบ้างก็ตายในสงคราม บ้างก็ทิ้งไว้หลังจากบินทะยานให้เก็บเกี่ยว คือสถานที่ฝึกตนอันดับแรกที่เทพเซียนจะเลือก ฝึกตนอยู่ที่นั่นเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ให้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงของสำนักใบถงก็ถูกตู้เม่ายึดครองไปคนเดียว แต่จะแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในสำนักเท่านั้น
เพียงแต่ว่าก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่มงคลดอกบัวของมรรคาจารย์เต๋า แน่นอนว่ายังมีถ้ำสวรรค์หลีจูอีกแห่ง ฝ่ายหลังก็ถือว่ามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในด้านวัตถุดิบวิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้คนปรารถนาอยากครอบครองอย่างแท้จริงกลับเป็นพรสวรรค์ในการฝึกตนที่โดดเด่นมาตั้งแต่เกิดของชาวบ้านในเมืองเล็ก สถานที่อื่นๆ ในใต้หล้าไพศาล หลังจากเทพเซียนพสุธาลงมาจากภูเขาแล้ว การพยายามค้นหาต้นกล้าที่ดีอย่างยากลำบากไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร สมกับคำที่ว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกก็หาไม่เจอ ต่อให้หาคนที่พรสวรรค์ดีเจอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมให้รับเป็นลูกศิษย์ หรือไม่สภาพจิตใจก็ไม่สอดคล้องกับมรรคกถาของสำนักตัวเอง เป็นต้น บางทีถึงท้ายที่สุดอาจเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ต้องย้อนกลับภูเขาด้วยความผิดหวัง แต่เมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู หยกงามที่มีหวังว่าจะฝึกตนจนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางกลับมีมากมาย ทายาทของคู่รักเทพเซียนปกติทั่วไปก็อาจจะไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนขนาดนี้
หลังจากกินอาหารมื้อดึกกันไปแล้ว ทุกคนต่างก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดใหม่ เดิมทีเว่ยเซียนยังไม่เต็มใจจะใส่ชุดใหม่ บอกว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็สวมชุดคลุมมังกรตัวนั้นแล้วกัน ชุดใหม่สวมแล้วมักรู้สึกว่าไม่พอดีตัว ใส่แล้วไม่เหมาะ ถูกเผยเฉียนตอแยอยู่เป็นครึ่งวันถึงได้รับปากว่าจะเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่และรองเท้าคู่ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เฉินผิงอันเองก็ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกชั่วคราว เปลี่ยนมาสวมชุดตัวยาวสีเขียวที่เผยเฉียนและสุยโย่วเปียนช่วยกันเลือกให้
เฉินผิงอันมอบเงินยาสุ้ยก้อนหนึ่งให้เผยเฉียนและคนทั้งสี่ในภาพวาด ทุกคนได้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญโดยใช้กระดาษแดงห่อหุ้ม
เผยเฉียนรู้ว่าเงินเทพเซียนเหรียญนี้มีค่าสองร้อยตำลึงเงินก็ดีใจอย่างยิ่งยวด คนอื่นๆ อีกสี่คนต่างก็รับเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างเผยเฉียน
หลังจากนี้ก็เป็นการเฝ้าคืนแล้ว
สุดท้ายมีแค่เฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิงและเผยเฉียนเท่านั้นที่นั่งล้อมเตาไฟจนฟ้าสว่าง
เฉินผิงอันนั่งไขว่ห้าง คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่บนหลังเท้าของเขา เฉินผิงอันแกว่งเท้า ร่างของมันก็แกว่งขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เฉินผิงอันไม่กล้าดื่มเหล้าหลอมระดับเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มากนัก เขาดื่มกับเจิ้งต้าเฟิงมาทั้งคืนแล้ว แค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากันคนละครึ่งจินเท่านั้น ดื่มแค่พอสมควรก็หยุด
เจิ้งต้าเฟิงเล่าเรื่องคนวัยเดียวกันกับเฉินผิงอันในเมืองเล็กหลายคน อย่างเช่นหม่าขู่เสวียน ซ่งจี๋ซิน จ้าวแหยา หลินโส่วอี แล้วก็อายุน้อยลงมาอีกนิดอย่างหลี่เป่าผิง กู้ช่าน
บอกว่าที่เขาคิดไม่ถึงมากที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้าเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ยังสามารถเดินมาได้จนถึงก้าวนี้
ครึ่งคืนหลังของการเฝ้าคืน เผยเฉียนหลับไปแล้ว จึงไม่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจูเหล่านี้ เจิ้งต้าเฟิงเป็นฝ่ายถามเฉินผิงอันถึงเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าคือที่ทับกระดาษกระเบื้องขาวชิ้นหนึ่ง น่าจะเป็นรูปชือหลง (มังกรที่ไม่มีเขาในเทพนิยาย) ปีนั้นเขาเก็บเศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นไว้จำนวนหนึ่ง ไม่มาก แอบซ่อนไว้ในไหตรงมุมห้องของบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงมาโดยตลอด หากไม่ผิดจากที่คาด เมื่อหลอมได้สำเร็จก็ไม่น่าจะกลายไปเป็นของบรรณาการที่ถูกเอาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าหลี แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเก็บไว้ในตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่ง เพราะตามคำบอกของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีเขาเฉินผิงอันมีคุณสมบัติของเซียนดิน
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้พูดต่อ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจ
เพราะนี่เกี่ยวพันกับสิ่งที่ลึกซึ้งมากเกินไป
พอดีกับที่เฉินผิงอันก็มีความสามารถและความอุตสาหะที่มากพอ
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงชี้ไปนอกห้อง “เหล่าจ้าวคือบรรพบุรุษของสายจ้าวเหยาในถ้ำสวรรค์หลีจู หลังตายไปก็ถูกท่านผู้เฒ่าของพวกเราเก็บดวงวิญญาณเอาไว้ เป็นครึ่งเทพครึ่งภูตผี หากโชคดีก็สามารถโยนออกไป กลายเป็นองค์เทพแห่งภูเขาบางแห่งของราชวงศ์ต้าหลีได้ในรวดเดียว แต่หากจะให้เป็นอย่างเว่ยป้อที่ก้าวเดียวขึ้นสู่สวรรค์ เปลี่ยนจากเทพภูเขาเล็กๆ ไปเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในทวีปนั้น ก็ไม่มีหวังอย่างแน่นอน แต่หากจะคิดพิทักษ์ควบคุมโชคชะตาน้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้อย่างพ่อของกู้ช่าน นับว่ายังพอมีโอกาส”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอจะเดาออก”
ลมฤดูใบไม้ผลิสามขุมที่อาจารย์ฉีเคยทิ้งไว้ แบ่งไว้บนร่างเขาเฉินผิงอัน จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซิน
ปีนั้นจ้าวเหยาไม่สามารถรักษาตราประทับตัวอักษรชุนที่ล้ำค่าที่สุดเอาไว้ได้ อาจารย์ฉีกลับพูดว่าไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจ ด้วยนิสัยของอาจารย์ฉีย่อมไม่มีทางไม่ผิดหวังเพียงแค่เพราะไม่เคยฝากความหวังไว้ในตัวจ้าวเหยาอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเหยากับซ่งจี๋ซิน อาจารย์ฉีก็ยังให้ความสำคัญกับจ้าวเหยามากกว่า ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อันที่จริงอาจารย์ฉีคงหวังให้จ้าวเหยาใช้โอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์กับสายบุ๋นของเขาอย่างสิ้นเชิง จ้าวเหยาตั้งสำนักเองก็ดี หรือย้ายไปอยู่ในสายบุ๋นของคนอื่นก็ช่าง ไม่แน่ว่าอาจจะได้มีชีวิตที่สงบสุข แค่นี้อาจารย์ฉีก็ปลื้มใจแล้ว
เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองใจกว้างอย่างอาจารย์ฉีไม่ได้
วันหน้าอ่านหนังสือให้มาก รู้จักคนให้มาก บางทีอาจจะทำได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แน่นอน
—–