เกี่ยวกับสถานะของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เจิ้งต้าเฟิงแย้มพรายความลับสวรรค์ออกมาเสี้ยวหนึ่ง บอกว่าแมวดำที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับหม่าขู่เสวียนตัวนั้นมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ความยิ่งใหญ่ของโชควาสนานี้เมื่อเทียบกับปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรที่เกาเซวียนองค์ชายต้าสุยได้ไป กำไลมังกรเพลิงบนข้อมือของหร่วนซิ่ว มังกรไม้แกะสลักของจ้าวเหยา ปลาหนีชิวน้อยของกู้ช่านและงูสี่ขาของซ่งจี๋ซินแล้ว มีแต่จะมากกว่าไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับห้าฝ่ายหลัง แมวดำแอบบุกเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู และมีแต่จะรับหม่าขู่เสวียนเป็นเจ้านายเพียงผู้เดียว
เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับหม่าขู่เสวียน ครั้งหนึ่งที่สุสานเทพเซียนบ้านเกิด อีกครั้งหนึ่งคือบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างหนัก ไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังเท่าใดนัก เขาบอกว่าทุกห้าร้อยปีหรือพันปี ถ้ำสวรรค์หลีจูจะต้องมีคู่แค้นคู่อาฆาต หรือไม่ก็คู่สหายรักปรากฏขึ้นมาเสมอ ฝ่ายหลังก็อย่างเช่นหยกคู่เฉาหยวนแห่งราชวงศ์ต้าหลี คราวนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเจ้าสองคนก็ได้ หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองสีท้องฟ้าด้านนอก ถึงช่วงเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งแล้ว
ในช่วงเวลานี้ของเมื่อปีก่อน เขายังเดินเตร่ไปทั่วเหมือนผีเร่ร่อนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เวลานี้รู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลกจริงๆ
เผยเฉียนตื่นขึ้นมาแล้วก็วิ่งไปจุดประทัดในตรอกนอกร้านยาทันที เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะผ่านปีใหม่มาก็จะโตขึ้นอีกปี นางจึงรู้ความขึ้นมาก ถามเทพหยินแซ่จ้าวก่อนว่าจุดประทัดจะทำให้มันตกใจหรือไม่ เทพหยินยิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ได้ยินเสียงประทัดดังไม่ขาดสายมาจากตรอกเล็ก เจิ้งต้าเฟิงก็พลันพูดขึ้นว่า “เผยเฉียนอยู่ข้างกายเจ้าสามารถควบคุมสันดานเดิมบางอย่างเอาไว้ได้ แต่วันหน้าหากไปจากเจ้าแล้วจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก่อนหน้าที่นางจะไปจากข้า ข้าจะพยายามสอนให้นางรู้จักแยกแยะดีชั่วให้ได้ มีเพียงทำได้ถึงข้อนี้จึงจะสามารถพูดถึงเรื่องอยู่ใกล้ความดีงามขจัดความชั่วร้ายกับนางได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่านางจะทำอะไรก็จะเลอะเลือนมึนงง”
เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าวาดวงกลมวงหนึ่งบนพื้น “ไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จ ตอนนี้นางอายุยังน้อย ในวงกลมวงนี้ที่ข้าช่วยวาดไว้ให้นาง นางอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่หากเรื่องใดที่ทำเกินวงกลมนี้ไป ข้าก็ต้องตบๆ ตีๆ ให้เข้าที่ บอกให้นางรู้ถึงเหตุผลหลักการบางอย่าง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านปีใหม่นี้ไปก็เป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้พอสมควรแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มพูด “จะเทียบกับเจ้าได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไมต้องเปรียบเทียบกับข้าด้วยเล่า เผยเฉียนก็คือเผยเฉียน เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างสะท้อนใจ “เผยเฉียนได้มาพบเจ้า คือความโชคดีของนาง”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเจิ้งต้าเฟิง “เจ้าเจิ้งต้าเฟิงได้มาพบข้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? แค่เดินทางผ่านนครมังกรเฒ่าสองครั้งก็ต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เจ้า แล้วยังต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าอีก เหนื่อยมากเถอะ รู้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นได้อย่างถูไถ แต่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จงใจกุมหมัดคารวะอย่างไม่จริงใจแล้วเอ่ยสัพยอก “ขออภัยๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า ทำได้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงค้อนตาคว่ำ บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “วันหน้าจะหาเมียได้ยังไงกันนะ”
เผยเฉียนแบกไม้ปัดขนไก่ไว้บนบ่า บอกว่าต้องการให้ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นพักผ่อนบ้าง พอมาถึงเรือนด้านหลัง เห็นใครก็เอ่ยคำพูดน่าฟัง บอกว่าหวังให้เหล่าเว่ยหาภรรยาตัวน้อยที่งดงามได้เร็วๆ หวังให้เสี่ยวป๋ายเล่นหมากล้อมได้ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ช่วงชิงอันดับที่ร้อยในใต้หล้ามาให้ได้ หวังให้พี่หญิงโย่วเปียนอ่อนเยาว์ขึ้นทุกวัน ไม่มีริ้วรอยไปตลอดชีวิต หวังให้ปีนี้จูเหลี่ยนทำอาหารที่อร่อยยิ่งกว่าเดิม หวังให้นายท่านเทพหยินแซ่จ้าวขอบเขตไต่ทะยานสวบๆๆ วันหน้าก็พานางขึ้นไปเล่นบนท้องฟ้า หวังให้กิจการร้านยาของเจิ้งต้าเฟิงเจริญรุ่งเรือง
สุดท้ายเผยเฉียนหวังให้ในปีใหม่นี้ เฉินผิงอันมีเงินทองไหลมาเทมา จะสกัดก็สกัดไว้ไม่อยู่ เหล่าเงินทองและของมีค่าไม่มีที่ให้เก็บ
เห็นได้ชัดว่าในปีใหม่นี้ นางไม่อยากเป็นตัวขาดทุนอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเผยเฉียนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรืออย่างไร จากปากอีกาน้อยๆ (ปากอีกาคือคนปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) ที่แม้แต่จูเหลี่ยนก็ยังกลัว กลับกลายมาเป็นปากทองปากหยกที่พูดจาอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์
วันแรกของเดือนหนึ่ง ตามประเพณีของแจกันสมบัติทวีป วางไม้กวาดกลับหัว ไม่ต้อนรับแขก ไม่เดินทางไกล ไม่ทำงาน แค่กินดื่มเที่ยวเล่นให้สนุกอย่างเดียว ทว่าตอนเช้าฟ่านจวิ้นเม่ายังคงมาที่ร้านยาฮุยเฉิน นอกจากถามเฉินผิงอันว่าจะไปหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนทะเลเมฆตอนไหนแล้วก็ยังนำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมามอบให้เฉินผิงอันสามถุง เงินยาเซิ่ง เงินก้งหยางและเงินอิ๋งชุนอย่างละถุง นับรวมกันแล้วได้สามสิบกว่าเหรียญ ล้วนเป็นเงินที่ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีควักออกจากถุงเงินของตัวเอง อีกทั้งยังรับประกันว่ายังจะมีตามมาอีกหลังจากนี้ เพราะเมื่อกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีย่ำลงใต้ ตลอดทางอย่าว่าแต่ศาลเถื่อนที่ราชสำนักของแต่ละแคว้นสั่งห้ามเลย แม้แต่ร่างทองของเหล่าองค์เทพแห่งขุนเขาที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ยังถูกทุบทำลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองจึงถูกนำมาหลอมเป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
เฉินผิงอันมองเจิ้งต้าเฟิง ฝ่ายหลังก็มึนงงเหมือนกัน “ก็เหมือนกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนนี้ไม่มีการสร้างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองขึ้นมาใหม่อีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ดังนั้นถึงได้บอกว่านี่ต่างหากถึงเป็นความจริงใจในการชดใช้ไถ่โทษของสกุลซ่งต้าหลี ไม่อย่างนั้นจะดูว่าเป็นการจ่ายเงินก้อนใหญ่ได้อย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “เว้นเสียจากว่าท่านผู้เฒ่ากำราบฮ่องเต้สกุลซ่ง ไม่อย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีก็ไม่มีทางขูดเนื้อตัวเองอย่างนี้ เศษซากร่างทองพวกนี้ หากเก็บสะสมไว้แล้วเอาไปใช้ทาร่างทองขององค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาอีกสามองค์ที่เหลือย่อมคุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “นี่ไม่เหมือนนิสัยของท่านผู้เฒ่าเลย”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งเดินทางจากอุตรกุรุทวีปมุ่งหน้ามาทางทิศใต้ เดิมทีไม่ได้จอดที่ท่าเรือหลงเฉวียน แต่กลับมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระโดดจากท้องฟ้ากระแทกลงไปบนพื้นดิน ตอนนี้ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกมีกองกำลังมากมายมาปักหลักตั้งรกราก สร้างจวนที่อยู่อาศัย มากคนก็มากสายตา ข่าวนี้จึงแพร่ไปทั่วทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ต่างก็รู้กันว่าแจกันสมบัติทวีปนอกจากซ่งจ่างจิ้งแล้วยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานอยู่อีกคน”
เจิ้งต้าเฟิงเช็ดหน้าตัวเอง “หลี่เอ้อร์อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงนครมังกรเฒ่าของพวกเราเมื่อไหร่”
เรื่องนี้ฟ่านจวิ้นเม่ากลับรู้ “คำนวณตามเส้นทางการเดินเรือของเรือข้ามฟากหลงเฉวียน หากเต็มใจทุ่มเงินให้มาถึงนครมังกรเฒ่าเร็วหน่อยก็น่าจะไม่กี่วันนี้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงนับนิ้วคำนวณ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “จากอุตรกุรุทวีปมาถึงราชวงศ์ต้าหลีทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แล้วค่อยมาถึงทางทิศใต้สุดแห่งนี้ เร่งร้อนเดินทางมากเลย แต่คาดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะขัดขวางไว้”
เจิ้งต้าเฟิงถามเสียงเบา “ทางฝั่งสำนักใบถงล่ะ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะเสีงเย็น “เซียนดินไร้น้ำยาในนครมังกรเฒ่าพวกนี้ ไหนเลยจะกล้าข้ามทะเลไปสืบข่าวที่ใบถงทวีป เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็ต่ำต้อยกว่าคนอื่นหนึ่งระดับอยู่แล้ว สำนักใบถงยังเป็นสำนักที่กำเริบเสิบสานที่สุดของใบถงทวีป จึงไม่มีใครยินดีไปหาเรื่อง ข่าววงในบางอย่าง อย่างมากก็มีแค่ตระกูลฝูเท่านั้นที่พอจะรู้มาบ้าง แซ่ใหญ่ตระกูลอื่นที่เหลืออยู่ หากถามเรื่องความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด แต่ว่า ข้าคาดว่าสำนักใบถงต้องเกิดปัญหาใหญ่ ไม่อย่างนั้นนอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงที่ราชวงศ์ต้าหลีให้มา นอกจากหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นของฝูฉีแล้ว ตระกูลฝูก็คงไม่มีทางเอาของอีกชิ้นหนึ่งที่แม้แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงออกมา บอกว่าให้ข้านำมามอบให้เฉินผิงอัน เพียงแต่ฝูฉีก็พูดแล้วว่า ยังต้องให้ศาลบรรพชนของตระกูลฝูปรึกษาเรื่องนี้กันก่อน แต่เขาจะพยายามจะหาวิธีนำมามอบให้ให้ได้ เฉินผิงอันจะไปจากนครมังกรเฒ่าอย่างไร จะนำมามอบให้เมื่อไหร่ พวกเจ้าสองคนไม่ลองเดากันดู?”
เฉินผิงอันรีบเรียกเผยเฉียนที่อยู่ในลานบ้านให้มาหา เล่าสถานการณ์ของตระกูลฝูให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความหมาย “เจ้าลองเดาดูสิ ของที่ว่านี้ให้เดาไปในทางที่ดีหน่อย”
เผยเฉียนตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่งก็กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คงจะไม่ใช่อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรอกกระมัง?”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดไม่ออกไปทันที
เฉินผิงอันมองสบตากับเจิ้งต้าเฟิงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
วันนี้คือวันที่ห้าของเดือนหนึ่ง
นอกจากผู้เฒ่าต่างถิ่นที่มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้านยาฮุยเฉินแล้ว เผยเฉียนมาอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนเขา เหมือนเป็ดคุยกับไก่ หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กต่างโม้เรื่องของตัวเองไป แม้จะคุยกันคนละเรื่องก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ
วันนี้ในร้านยายังมีแขกมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำผู้หนึ่งเดินเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งตรงธรณีประตูอดมองเขาหลายทีไม่ได้ ก็ใช่น่ะสิ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หายากยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบนภูเขาเสียอีก
คนทั้งสี่ในภาพวาดที่แม้จะยังไม่ได้เห็นคนผู้นี้กับตาตัวเอง แต่ในใจกลับพรั่นพรึงขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน นั่นเป็นความรู้สึกเชื่อมโยงทางจิตระหว่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวด้วยกัน ขณะที่คนผู้นั้นเดินช้าๆ มาทางร้านยา เว่ยเซี่ยนจูเหลี่ยนสี่คนที่อยู่ในเรือนด้านหลังก็เหมือนมองเห็นเจียวหลงใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งเบียดแทรกตัวเข้ามาในร่องน้ำลำธารสายเล็ก
บนโลกมีชาวยุทธ์เช่นนี้ด้วยหรือ?
เมื่อพบว่าทั้งเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ไม่ตึงเครียด คนทั้งสี่ในภาพวาดถึงวางใจลงได้
เว่ยเซี่ยนใช้ฝ่ามือลูบคาง สายตาจูเหลี่ยนฉายประกายเร่าร้อน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนต่างก็หยุดการเล่นหมากล้อม สุยโย่วเปียนใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนหมากเม็ดหนึ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้าตัวเองเบาๆ
เฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิงเดินออกมาที่ร้านยาด้านหน้าพร้อมกัน
เจิ้งต้าเฟิงหลังค่อมงองุ้ม มองซ้ายมองขวา ประโยคแรกที่พูดก็คือ “ทำไมพี่สะใภ้ไม่มาด้วยเล่า?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นเจิ้งต้าเฟิงแล้ว บนใบหน้าทึ่มทื่อมองไม่เห็นสีหน้าอะไรมากนัก “หากไม่เป็นเพราะอาจารย์บอกให้ข้ารอก่อน ป่านนี้ข้าคงอยู่บนภูเขาของสำนักใบถงแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว ไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็มองไปทางเฉินผิงอัน กุมหมัดกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เดินทางไกลครั้งนั้น ตลอดทางที่เดินทางกันไป หลี่ไหวรู้ความขึ้นมาก อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้จากในหนังสือ ข้าหลี่เอ้อร์ต้องขอบคุณเจ้า ปีนั้นอาจารย์ฉีสอนหลี่ไหวได้ดี อาจารย์ฉีจากไปแล้ว เจ้าเองก็สอนได้ดีมาก อันที่จริงข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์เฉินด้วยซ้ำ วันนี้ข้ายังต้องรีบไปรื้อศาลบรรพชนของตู้เม่าที่ใบถงทวีป คงไม่พูดคุยกับเจ้ามากแล้ว สุดท้ายนี้ก็มีแค่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำที่ข้าจะทิ้งไว้ที่นี่ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงคนในครอบครัวถูกรังแก ข้าหลี่เอ้อร์ถึงจะออกหมัด แต่ข้ารับรองว่าวันหน้าขอแค่ให้คนนำประโยคนี้มาบอก ต้องการให้ข้าหลี่เอ้อร์ไปทุบใคร ข้าจะรีบไปทุบคนผู้นั้นทันที หากขมวดคิ้วสักครั้ง ข้าก็ไม่ใช่พ่อของหลี่ไหว!”
กุมหมัดอีกครั้ง หลี่เอ้อร์ก็กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไปล่ะ!”
แล้วชายฉกรรจ์ก็จากไปทั้งอย่างนี้
—–