วันที่สิบเดือนหนึ่ง
นครมังกรเฒ่ามีประเพณีพื้นบ้านอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ‘หินไม่ขยับ’ และยังมีเรื่องเล่าของหนูที่แต่งงานกับสตรี
แม้ว่าเผยเฉียนจะกลัวผีอย่างมาก แต่กลับชอบฟังเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด
เผยเฉียนเรียนรู้ที่จะคัดตัวอักษรทุกๆ เช้า ไม่ทำอืดอาดยืดยาดถ่วงเวลาไปถึงช่วงก่อนนอนอีกแล้ว และนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันคอยนั่งดูนางคัดตัวอักษรทุกวัน
วันนี้ระหว่างที่หยุดพักวางพู่กันขณะคัดตัวอักษร เผยเฉียนพลันถามเฉินผิงอันคำถามหนึ่ง ในตำราบอกว่าห้ามวิญญูชนไม่ให้กินปลาเดือนสาม ห้ามคนไม่ให้ยิงนกสามฤดูใบไม้ผลิ ถ้าอย่างนั้นต่อไปพอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ตกปลาไม่ได้แล้วใช่ไหม?
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ เขายิ้มบอกให้เผยเฉียนคัดตัวอักษรให้เสร็จก่อน รอจนเผยเฉียนเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เฉินผิงอันที่เตรียมคำตอบอยู่นานถึงได้บอกกับเผยเฉียนว่า นี่เป็นคำพูดที่โน้มน้าวให้คนทำความดี แต่ว่าเมื่อคนคนหนึ่งยังจำเป็นต้องพยายามต่อไปเพื่อให้มีชีวิตรอดก็สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว แล้วก็ห้ามมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้อย่างเด็ดขาด แต่หากคนคนหนึ่งไม่ต้องเป็นทุกข์กับการกินอยู่ อีกทั้งยังเชื่อในพระพุทธศาสนา เมื่อมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ก็สามารถทำได้ แต่หากเห็นคนอื่นหิวโหย ยามฤดูใบไม้ผลิจับปลายิงนกเก็บผลไม้เพื่อให้อิ่มท้อง แล้ววิ่งไปพูดหลักการนี้กับคนผู้นั้น ก็ถือว่าทำไม่ถูก ขนาดความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังไม่มี แล้วจะมีใจสงสารเมตตาสรรพสิ่งบนโลกได้อย่างไร? ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการก็ยังคงเป็นหลักการนั้น แต่ทุกเรื่องราวต้องแบ่งแยกก่อนหลัง
เผยเฉียนพยักหน้ารับ บอกว่านางพอจะเข้าใจแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มพูด “ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ แค่จดจำไว้ในใจก่อน แล้วค่อยๆ ใคร่ครวญไปก็พอ”
เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะ “เมื่อครู่นี้ข้าโกหก อันที่จริงข้ายังไม่เข้าใจหรอก”
ดังนั้นในเดือนที่หนึ่งนี้ เผยเฉียนจึงได้กินมะเหงกอีกลูก
วันนี้ร้านยาฮุยเฉินยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย เผยเฉียนกำลังมองเฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เรียกเผยเฉียนมาที่ร้านยาด้านหน้า อีกทั้งยังขอให้เทพหยินแซ่จ้าวช่วยสร้างฟ้าดินขนาดเล็กให้เป็นพิเศษ
จากนั้นเขาถึงได้ถ่ายทอดคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุด เส้นทางที่ลมปราณต้องผ่านรวมไปถึงความช้าเร็วในการผลัดเปลี่ยนลมปราณซึ่งมหัศจรรย์ที่สุดให้แก่เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นหนึ่งออกมา ด้านบนเฉินผิงอันเขียนชื่อช่องโพรงลมปราณในร่างของมนุษย์ไว้เต็มไปหมด แล้วไล่อธิบายให้เผยเฉียนฟังไปทีละจุด
นี่คือคาถาปราณกระบี่ที่อาเหลียงเคยปรับปรุงมาก่อน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเพียงคนกลุ่มเล็กซึ่งรวมถึงหนิงเหยาด้วยเท่านั้นที่ถึงจะได้เรียนปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขโดยอาเหลียงแล้ว
ในเมื่อเผยเฉียนไม่อาจทนความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ได้ ก็ต้องลองเส้นทางที่ไม่ต้องลำบากร่างกายและจิตใจ เพียงแค่ดูว่าพรสวรรค์วิถีกระบี่สูงหรือต่ำเส้นนี้ดูเท่านั้น นางจะเดินไปได้หรือไม่ ส่วนจะเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง
เผยเฉียนความจำดี เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้วก็มีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า ข้อนี้คนทั้งสี่ในภาพวาดรับรู้มานานมากแล้ว
ดังนั้นหลังจากเฉินผิงอันสอนไปสองรอบ บอกเรื่องที่ต้องระวังแก่นางแล้วจึงบอกให้เผยเฉียนเอาภาพวาดแผ่นนั้นไปศึกษาเอาเอง
ยามสนธยาของวันนั้น เผยเฉียนก็มาหาเฉินผิงอันด้วยท่าทางละอายใจ บอกว่านางโง่จริงๆ เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงา แต่นางฝึกฝนมาตั้งนานขนาดนี้เพิ่งจะทำได้ถึงปราณกระบี่สามหยุด อยากจะขยับไปข้างหน้าอีก แต่กลับทำไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกใส่นางอีกครั้ง ตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอน “เรียนรู้เรื่องหนึ่ง อย่าทะเยอทะยานเกินตัว ต้องเหยียบลงบนพื้นก้าวเดินให้มั่นคง!”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที วิ่งตุปัดตุเป๋กลับเข้าไปในห้องตัวเองแล้ว ‘เล่นกับไฟ’ ต่ออีกครั้ง
นางสามารถควบคุมทิศทางการไหลเวียนของไฟเส้นเล็กนั่นได้แล้ว ต้องการให้มันพุ่งไปทางไหน มันก็วิ่งอยู่บนเส้นชีพจรช่องลมปราณนั้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังว่าง่ายอย่างยิ่ง ปราณกระบี่สี่หยุดตอนนี้นางยังทำไม่ได้ ทว่าที่นี่ไม่มีที่ว่างให้กับข้า ข้าก็ไปหาที่อื่น ดังนั้นก็ไปเที่ยวที่อื่นกันเถอะ!
นางไม่รู้ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านด้านหน้าเพียงลำพังบ่นพึมพำอยู่เป็นนาน
วันที่สิบเอ็ดเดือนหนึ่ง
ร้านยาฮุยเฉินมีแขกหายากที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาเยือน
หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง
ผลกลับกลายเป็นว่าพอนางเห็นผู้เฒ่าต่างถิ่นบางคนที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตูกับคนเสเพลสองคนก็อึ้งงันอยู่กับที่
ผู้เฒ่าขยิบตาให้นางแรงๆ
หวงถิงนวดคลึงหว่างคิ้ว ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าแห่งสำนักกุยหยก มีขอบเขตเซียนเหริน ยังจะมาหาเรื่องสนุกอะไรอยู่ที่นี่?
หวงถิงจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักผู้เฒ่าคนนี้
หากว่ากันด้วยความอาวุโส ท่านผู้นี้ที่นั่งอยู่หน้าประตูมีอายุมากกว่าเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงนางเสียอีก อายุพอๆ กับตู้เม่าขอบเขตบินทะยานของสำนักใบถง
หากว่ากันด้วยตบะ ตอนนี้ตู้เม่าตายไปแม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ มหามรรคาพังทลาย ดวงวิญญาณยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ก็บอกได้ยาก ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าถือเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่มีพลังการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งของใบถงทวีป สำนักกุยหยกไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีป สถานะของผู้เฒ่าก็ยิ่งเป็นดั่งเรือที่ลอยตามน้ำ
ช่างเป็นตาแก่ที่นอนเสวยสุขจริงๆ
ความประทับใจที่หวงถิงมีต่อผู้อาวุโสบนภูเขาท่านนี้ไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรนิสัยของนางกับเขาก็ต่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้
เห็นเฉินผิงอันที่มีท่าทางแปลกใจ หวงถิงก็พูดเข้าประเด็นทันที “อาศัยเบาะแสและลางสังหรณ์เล็กน้อย ข้าจึงพบตำหนักบรรพกาลแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ตามเส้นทางนั้นไปจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่บนแท่นพันธนาการมังกรแห่งนั้น แต่ก็ยังไม่พบตัวเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษผู้นั้น ราวกับว่ามันหายตัวไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง ภายหลังเจ้าสำนักส่งกระบี่บินมาบอกว่าไม่ต้องตามหาแล้ว ก็เลยรีบร้อนกลับไปที่สำนัก หลังจากนั้นก็ได้รับข่าวที่เจ้าพูดถึงแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ เทียนจวินผู้เฒ่าและสำนักศึกษาต้าฝู รวมไปถึงผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางท่านนั้นได้ข้อสรุปว่า ความวุ่นวายในภาคกลางของใบถงทวีปครั้งนี้ เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงที่ปีนั้นสวมกวานเต๋าลงภูเขาแต่กลับตายไปจริงๆ ภูเขาไท่ผิงของพวกเราละอายใจและอับอายอย่างยิ่งยวด เทียนจวินผู้เฒ่าไม่มีหน้ามาพบเจ้า จึงบอกให้ข้าเดินทางมานครมังกรเฒ่า หวังว่าจะมาทันได้พบเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นใด เพียงแค่อยากจะขออภัยเจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้พลังต้นกำเนิดของภูเขาไท่ผิงก็เสียหายอย่างหนัก ไม่มีปัญญาจะทำหน้าใหญ่ใจโต อืม อันที่จริงเทียนจวินผู้เฒ่าคิดจะมอบของบางอย่างชดเชยให้เจ้าเป็นมารยาท แต่ถูกข้าขัดขวางไว้ เฉินผิงอัน หากเจ้าจะด่าก็ด่าข้า อย่าโทษว่าภูเขาไท่ผิงไม่มีคุณธรรม ตระหนี่ถี่เหนียว หากเป็นในอดีตเราไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน”
หวงถิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกข่มขื่นนิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ “ปีศาจของบ่ออเวจีเผ่นหนีไปทั่วทิศ สหายร่วมสำนักลงเขาไปกำราบปีศาจ ศึกครั้งนี้โหดร้ายทารุณยิ่งนัก”
อารมณ์ของเฉินผิงอันหนักอึ้ง พยักหน้ากล่าวว่า “พอจะนึกออก”
หวงถิงพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักใบถงถือว่าดวงซวยแปดชาติจริงๆ ดันไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง สะบั้นเส้นทางการบินทะยานของตู้เม่า สงบได้ไม่กี่วันก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบคนหนึ่งต่อยตีจากตีนเขาไปถึงยอดเขา รื้อศาลบรรพชนของพวกเขาเสียจนเละเทะ ตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากการโจมตีของขอบเขตหยกดิบไม่กี่คนที่เขาหลบเลี่ยงเล็กน้อยแล้ว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั้งหมดที่โจมตีมา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกเขาโยนคาถาอาคมมาใส่ตัว ราวกับว่าเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น ข้าเห็นแล้วอารมณ์ดีนัก เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกก็ยิ่งเบิกบาน ถึงขั้นเอาเรือทัศนาจรลำหนึ่งมาจอดลอยอยู่เหนือสำนักใบถง จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่รองรับแขกจากสี่ด้านแปดทิศ”
เฉินผิงอันรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ
เจิ้งต้าเฟิง จูเหลี่ยนและผู้เฒ่าจากต่างถิ่นที่นั่งอยู่ด้านข้าง หูฟังข่าวนี้ แต่ตากลับแอบชำเลืองมองหวงถิง
หากพูดกันแค่เรื่องของรูปโฉม นักพรตหญิงหวงถิงที่ใช้ร่างของเจ๋อเซียนในพื้นที่มงคลดอกบัวย้อนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาล เมื่อเทียบกับสุยโย่วเปียน ฟ่านจวิ้นเม่าและจินซู่แล้วก็ยังถือว่าโดดเด่นกว่ามาก
เฉินผิงอันถามหวงถิงว่าหลังจากนี้คิดจะทำอะไรต่อ นางบอกว่าเดิมทีคิดจะเดินทางไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักครั้ง เพียงแต่ว่าให้ตายเทียนจวินผู้เฒ่าก็ไม่ยอมอนุญาต บอกว่าถ้านางกล้าไป เขาก็กล้าแขวนคอตาย แค่ให้นางเลือกว่าจะอยู่ที่ไหนระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปเท่านั้น หวงถิงบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า นางรู้สึกว่าแจกันสมบัติทวีปเล็กเกินไป กุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่มากดุจขนวัว นางจะได้ไปขัดเกลากระบี่พอดี ไม่แน่ว่าอาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบก็เป็นได้ จะปล่อยให้สถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปมีเซียนกระบี่เว่ยจิ้น แล้วทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในใบถงทวีปขายหน้าได้อย่างไร
หวงถิงเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไว พูดคุยจบก็เตรียมจะขี่กระบี่มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที
เพียงแต่ว่าเหลือบไปเห็นเผยเฉียนที่ฝึกวิชาสุดยอดกระบี่อยู่ในลานบ้านโดยบังเอิญพอดี หวงถิงคิดได้ว่าตัวเองยังติดค้างเฉินผิงอัน ในใจก็อดกระดากอายไม่ได้ พอรู้ว่าเผยเฉียนคือ ‘ลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขา’ ของเฉินผิงอัน จึงถามเด็กหญิงว่าอยากเรียนวิชากระบี่และวิชาดาบที่เร็วที่สุดของใบถงทวีปหรือไม่
เผยเฉียนถามกลับ เจ็บหรือไม่
หวงถิงหัวเราะเสียงดัง บอกว่าไม่เจ็บ
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หวงถิงจึงอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อถ่ายทอดวิชากระบี่และวิชาดาบอย่างละหนึ่งกระบวนท่าให้แก่เผยเฉียน
วิชาวานรขาวแบกกระบี่ วิชาวานรขาวลากดาบ
ก่อนจะจากไป หวงถิงตบศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียนเบาๆ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมาหนีบแก้มของเด็กหญิงที่ดำเกรียมราวกับถ่าน ส่ายหน้าพลางพูดอย่างเสียดายไปด้วย “เป็นเด็กที่ฉลาดถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงหน้าตาไม่งดงามเลยนะ”
ผลกลับทำให้เผยเฉียนเสียใจอย่างมาก
นางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เป็นวันๆ ต่อให้แปะแผ่นยันต์สีเหลืองไว้บนหน้าผากก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร
เฉินผิงอันเห็นเผยเฉียนที่เป็นเช่นนี้ก็อดนึกถึงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ชอบเรียกตนว่าอาจารย์อาน้อยไม่ได้
……
ในสายตาของทุกคนในสำนักศึกษาซานหยา แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทุกวันชอบไปมาอย่างเร่งร้อน ชอบสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไปเรียนเพียงคนเดียว ออกจากโรงเรียนก็ออกมาคนเดียว ปีนภูเขา ปีนต้นไม้ ปีนหลังคา ปีนขึ้นปีนลง หรือไม่ก็ไปนั่งยองริมทะเลสาบจ้องปลาที่ส่ายหางไปมาอยู่เพียงลำพัง พอได้โอกาส นางก็จะออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่นตามตรอกน้อยใหญ่ของเมืองหลวง เดินไปเดินมา ในสำนักศึกษานอกสำนักศึกษา แม่นางน้อยก็ชอบอยู่คนเดียว คนอื่นๆ เห็นนางเป็นอย่างนี้ นานวันเข้าก็เลยรู้สึกว่านางค่อนข้างรักสันโดษ
ทว่าประหลาดก็ส่วนประหลาด แม่นางน้อยกลับมีมารยาทอย่างมาก ขอแค่ได้เจอกับเหล่าอาจารย์ที่สอนหนังสือในสำนักศึกษาระหว่างทาง นางมักจะหยุดกึกแล้วประสานมือค้อมกายคารวะทักทาย จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดห่างไปไกลด้วยความเร็วดั่งฟ้าร้องกะทันหันจนคนไม่ทันยกมือป้องหู
ตอนแรกเหล่าอาจารย์ยังหยุดเดิน คลี่ยิ้มพร่ำพูดคำสั่งสอน แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างสีแดงนั่นแล้ว ภายหลังชินแล้วจึงแค่ยิ้มพลางเอ่ยรับหนึ่งคำ พอถึงท้ายที่สุดก็จะยิ้มพลางส่ายหน้า เดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดเท้าอีก
หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าชีวิตของตนในสำนักศึกษาซานหยาผ่านไปได้อย่างพอถูไถ
แม้ว่าจะพบเจอกับหลี่ไหวและหลินโส่วอีน้อยครั้ง ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเจอกันน้อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้เจอกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุย
เรื่องเหล่านี้ หลังจากครั้งนั้นที่นางคุยกับชุยตงซานบนกิ่งไม้ของยอดเขา ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากเหมือนเดิมอีก
พวกเขาไม่คิดถึงอาจารย์อาน้อยของนางแล้ว ไม่เป็นไร ความคิดถึงในส่วนของพวกเขา นางจะชดเชยกลับมาให้เอง นางคนเดียวจะคิดถึงอาจารย์อาน้อยให้มากขึ้น
วันเวลาแต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ผ่านปีใหม่ไปแล้ว แม้แต่เดือนหนึ่งก็ใกล้จะผ่านไปแล้ว
ไม่นานก็จะเป็นเทศกาลหยวนเซียวที่โคมไฟสีแดงใบใหญ่ถูกแขวนไว้สูง แม่นางน้อยเริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ท่านปู่ พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง
แน่นอนว่ายังมีอาจารย์อาน้อยด้วย
นานมากแล้วที่อาจารย์อาน้อยไม่ได้ส่งจดหมายมาที่สำนักศึกษา
นี่ทำให้หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
—–