เฉินผิงอันหรี่ตาลงทันใด เพียงแต่ไม่นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง คิดว่ามีเรื่องมากขึ้นไม่สู้มีเรื่องให้น้อยลง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นก็มองเห็นเฉินผิงอัน เขาเดินเร็วๆ มาหยุดตรงหน้าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วออกมาชี้ น่าจะเพราะจำหน้าเฉินผิงอันได้ แต่นึกชื่อแซ่ของเขาไม่ออก สีหน้าจึงดูร้อนใจเล็กน้อย
เป็นโชคหรือเป็นภัยล้วนหลบไม่พ้น เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มเป็นการทักทายแล้วพูดด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “ที่หน้าประตูเมืองเล็ก พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้ากับคนเฝ้าประตูอยู่ข้างใน เจ้ายืนอยู่นอกรั้วไม้ ความทรงจำของเจ้าดีมาก ผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังจำข้าได้”
ชายร่างกำยำพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “ใช่ เจ้านี่เอง นอกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้นแล้ว เจ้าก็คือคนในท้องที่ของเมืองเล็กที่ข้าได้พบเป็นคนแรก นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเจ้าอยู่ที่นี่ ตอนแรกข้ายังไม่กล้ามาทักเจ้า เพราะเจ้าเปลี่ยนไปมาก เจ้าบอกว่าข้าความจำดี ข้ารู้สึกว่าความจำเจ้าเองก็ไม่แย่เหมือนกัน แถมยังน่าจะดีกว่าข้าเล็กน้อยด้วย”
เห็นในมือเฉินผิงอันหิ้วเหล้าเซียนบ่อน้ำไว้สองไห ชายฉกรรจ์ที่ตรงคางเต็มไปด้วยตอหนวดเขียวครึ้มก็ยิ้มพูดว่า “เหล้าบ่อน้ำไหนี้ของเจ้าถูกหลอกให้ซื้อแล้ว เหล้าเซียนของแท้ต้องเป็นเหล้าที่หมักด้วยน้ำสามหยดจากบ่อที่เก่าแก่ที่สุด และเหล้าสองไหนี้ของเจ้ามาจากบ่อน้ำใหม่สิบกว่าคำที่ร้านพ่อค้าหัวหมอไร้มโนธรรมสร้างขึ้นมาเป็นการส่วนตัว รสชาติไม่ถูกต้อง ไปๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเหล้าบ่อน้ำเก่าของแท้ ไม่อย่างนั้นการมาเยือนท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ของเจ้าก็เสียเที่ยวแล้ว”
เขาเพิ่งจะเดินออกมาหนึ่งก้าวก็หัวเราะฮ่าๆ “ช่างเถิด ยุทธภพอันตราย พวกเราสองคนก็อย่าใกล้ชิดสนิทสนมกันนักเลย”
ชายร่างกำยำบอกที่ตั้งร้านเหล้าสองร้านให้แก่เฉินผิงอัน “หากยินดีก็ไปเอง ข้าจะไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าทำดีหวังผล เจ้าและข้าจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทั้งสองฝ่าย”
เขากุมหมัดบอกลาเฉินผิงอันแล้วก้าวยาวๆ จากไป
เป็นคนรวดเร็วตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ
โซ่เหล็กที่ถูกชายร่างกำยำนำมาทำเป็นสายรัดเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นโซ่เหล็กเส้นหนาใหญ่ของบ่อโซ่เหล็กก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกแล้วร่วงลงมา ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้ยินมาแล้วว่าคนผู้นี้ได้โชควาสนาครั้งใหญ่ไปครอง นอกจากวัตถุห้าธาตุแล้ว ในบรรดาสมบัติอาคมมากมายที่ซ่อนอยู่ตามกลุ่มชาวบ้านของถ้ำสวรรค์หลีจูเวลานั้น ก็มีของชิ้นนี้กับน้ำเต้ามรกต กาซานเซียวของซ่งจี๋ซิน รวมถึงกระจกสยบมารอีกบานหนึ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด ซึ่งโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้มีมูลค่าควรเมืองมากที่สุด เคยเป็นเชือกพันธนาการหนึ่งเส้นที่สามารถพันธนาการมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายได้สำเร็จ ระดับขั้นของมันจะสูงแค่ไหน เพียงคิดก็พอจะจินตนาการได้
ตอนนี้ได้ถูกคนผู้นี้หล่อหลอมให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จแล้ว การที่เขากล้าเอามาใส่โอ้อวดคนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คาดว่าหากไม่มีฝีมือและความกล้าหาญก็คงต้องมีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่มากพอ หรือไม่ก็มีครบทั้งสองอย่าง
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับฟ้าดินข้างนอกอย่างแท้จริง
วานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ซวี่ซื่อแห่งนครลมเย็น ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า
นั่นคือสถานการณ์แห่งความเป็นความตายที่เกิดขึ้นติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า คือช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน ความรู้สึกไร้ที่พึ่งเช่นนั้นมากมหาศาลยิ่งกว่าในอนาคตตอนที่เฉินผิงอันเผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง มากกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับตู้เม่าบินทะยานในนครมังกรเฒ่าเสียอีก
เพียงแต่ว่าก็เหมือนครั้งนั้นที่พูดความในใจกับหลูป๋ายเซี่ยง บนเส้นทางของชีวิตคน ขอแค่ได้เห็นดอกไม้สักดอกท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า ทุกอย่างก็ต่างออกไปจากเดิมแล้ว
เฉินผิงอันได้เจอกับแม่นางที่ดีคนหนึ่ง ยามนางคลี่ยิ้ม เฉินผิงอันจะต้องรู้สึกว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้า
จะไม่ชอบได้อย่างไร จะตัดใจไม่วางนางไว้บนหัวใจได้อย่างไร
ดื่มเหล้าบนหลังคาร้านยาครั้งสุดท้ายกับฟ่านเอ้อร์ในนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันบอกว่า “แม่นางที่ข้าชอบ นางงดงามที่สุดแล้ว แต่ว่าเวลาที่นางซึ่งงดงามที่สุดงดงามยิ่งกว่าเดิมก็คือ เวลาที่ข้ากำลังมองนาง แล้วนางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าขนตาของนางที่ข้าเห็นจากใบหน้าด้านข้างกลับสั่นไหวเบาๆ”
ตอนนั้นฟ่านเอ้อร์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ถามเขาว่า มารดามันเถอะ นี่เจ้าเฉินผิงอันชอบแม่นางคนนั้นมากขนาดไหนกันแน่!
ตอนนั้นเฉินผิงอันดื่มจนเริ่มเมากรึ่มๆ แล้ว จึงจับประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ด้วยสองมือแล้วหัวเราะอย่างโง่งม
……
ในขณะที่เฉินผิงอันเดินไปตามหาสุราบ่อน้ำเก่าแก่ที่แท้จริง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่อยากจะไปเจอกับคนหนุ่มที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูผู้นี้อีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นำมาซึ่งการคาดเดา เขาจึงจงใจเลือกร้านเหล้าแห่งอื่น ระหว่างทางผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เก็บอำพรางลมปราณไว้อย่างมิดชิดพลันปรากฎตัวกะทันหัน มาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่ม เล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้ฟัง
ชายหนุ่มโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “คนกลุ่มนี้น้ำเข้าสมองแล้วหรือไง คิดแต่จะเอาเงินไม่เอาชีวิตกันจริงๆ เจ้านำความไปบอกผู้ดูแล ให้พวกเขาหยุดมือ อย่าได้ไปเซ่นฟันให้คนอื่นอีกเลย” (เซ่นฟันในอดีตหมายถึงการได้กินเนื้อมื้อหนึ่งของทุกๆ ต้นเดือนหรือกลางเดือน แต่ภายหลังหมายถึงการได้กินอย่างอิ่มหมีพีมันในบางมื้ออาหาร)
เดิมทีเขายังอยากจะพูดอะไรอีก คิดจะอาศัยโอกาสนี้จัดการกับประเพณีนิยมที่ไม่ถูกต้องของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ เพียงแต่พอคิดว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ชายฉกรรจ์ก็ส่ายหน้า “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องจงใจไปกระทบกระเทียบพวกเขา ล้วนเป็นโชควาสนาของใครของมัน แต่คนต่างถิ่นเมื่อครู่ที่ข้าเจอโดยบังเอิญ ห้ามคนใดก็ตามของท่าเรือหางผึ้งไปหาเรื่องเขาเด็ดขาด อีกอย่างอาศัยโอกาสครั้งนี้ เจ้าไปใช้หนี้ก้อนนั้นของเหล่าหลิวให้หมด ทำตามกฎ กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็จ่ายไปเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าค่อยหาโอกาสไปข่มขู่เหล่าหลิวสักครั้ง อย่าให้เขาเป็นผีพนันที่ลงเดิมพันมั่วซั่วแบบนี้อีก ทรัพย์สินน้อยนิดแค่นั้นของเขา หากเขาคิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง “หากวันหน้าหลิวกานจื่อยั้งมือตัวเองไม่อยู่ไปเล่นพนันอีกล่ะ?”
ชายร่างกำยำเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปตายถากรรมเถอะ ข้าช่วยเขาได้หนึ่งครั้ง แต่ไม่อาจช่วยไปได้ตลอดชีวิต”
ผู้เฒ่าทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดชะงักไป
ชายร่างกำยำส่ายหน้า “หยกลัญจกรชิ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นของแท้แน่นอน ทว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่อาจแตะต้องได้ อาจารย์เคยบอกว่า อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว โชคดีและหายนะที่อยู่ในเรื่องนี้มีมากมาย ถึงอย่างไรสกุลเจี่ยงของแคว้นเหวินจิ่งก็ยังเหลือองค์รัชทายาท ตอนนี้ยังฝึกตนอยู่บนภูเขาอยู่เลย ส่วนเจ้าคนที่ใจคิดแต่จะรวบรวมสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของแคว้นเหวินจิ่งให้ครบผู้นั้น เดินไปบนเส้นทางแห่งการประคองมังกร นับว่าเหมาะกับเขา แต่พวกเราทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้ หากควบคุมความละโมบไม่ได้ก็จะกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเหล่าหลิว ไม่แน่ว่าอาจจะแย่ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราฝึกตนหวังชีวิตเป็นอมตะ เดิมทีก็ไม่ใช่ฝ่ายที่มีเหตุผลอยู่แล้ว ยังจะวางเดิมพันกับสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”
ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วจากไป
ข้ารับใช้เฒ่าที่แอบอำพรางตัวอยู่ในท่าเรือหางผึ้งผู้นี้ก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองที่ก่อนหน้านี้มอง ‘พลังอำนาจ’ ของเฉินผิงอันออกในปราดเดียว
ชายหนุ่มร่างกำยำเดินทอดถอนใจไปตลอดทาง จนกระทั่งซื้อเหล้ามาได้หนึ่งกา ดื่มเหล้าเซียนที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดแล้ว อารมณ์ถึงได้ดีขึ้น
ตอนที่เขายังเด็กได้ถูกยอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาทางชายทะเลเห็นเข้า แล้วบอกกับคนในตระกูลว่าฐานกระดูกของเขาดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด คิดจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ พ่อแม่ดีใจจึงตอบตกลงทันที เพราะแรกเริ่มประมุขตระกูลมั่นใจมากว่าเขาไม่เหมาะกับการฝึกตน นั่นทำให้เขาถูกคนวัยเดียวกันในตระกูลที่รู้สันดานกันมานานแล้วมองเป็นเศษสวะ ถูกคนนับไม่ถ้วนดูแคลน ภายหลังเขาก็ออกจากตระกูลแห่งนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกท่านอาจารย์ผู้อาวุโสพามาที่ท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็พักอาศัยอยู่ในบ้านเก่าผุพังที่ตั้งอยู่สุดตรอกเล็กเจียเฟิงแห่งนั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ตบะของเขาไต่ทะยานรวดเร็วมาก โชควาสนาก็คว้ามาได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะสวมอาภรณ์แพรกลับบ้านเกิด กลับคืนสู่ตระกูลที่สูงส่ง กฎระเบียบเข้มงวดอย่างคนที่ลืมตาอ้าปากได้ คิดแค่ว่าจะแอบกลับบ้านไปพบพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณที่พวกเขาเลี้ยงดูมาเท่านั้น แต่กลับเป็นพี่สาวสายตรงสายของเจ้าประมุขที่ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอยู่ตลอดเวลา พระคุณหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุ คนบนภูเขาชอบพูดกันอย่างนี้ แต่ในใจกลับไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ ทว่าเขากลับเต็มใจจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นต่อให้อาจารย์จะเสียดายแค่ไหน ตนก็ยังยืนกรานจะมอบของชิ้นเล็กที่ได้มาโดยบังเอิญให้เป็นหนึ่งในสินเดิมของนาง ว่ากันว่าตอนนั้นครึกโครมกันไปทั้งตระกูล ใครก็ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น
เป็นคนไม่ติดเงินใคร ไม่ละอายต่อใจตัวเอง
เขารู้สึกว่าแบบนี้ดีมากแล้ว
ขณะที่กำลังดื่มเหล้าก็มองสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดาที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยะของร้านเหล้าไปด้วย นางเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เฝ้ารักษาบ่อน้ำโบราณและสืบทอดฝีมือของบรรพบุรุษเอาไว้ ทำการค้าไม่ค่อยเป็นนัก การค้าที่เดิมทีควรได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันกลับถูกนางทำให้กลายเป็นเพียงการค้าเล็กๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เห็นกับตาตัวเองว่าพี่สาวใหญ่คนข้างบ้านที่ในอดีตมีนิสัยอ่อนโยนอบอุ่นได้แต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่น มีอาชีพขายเหล้าปีแล้วปีเล่า บางครั้งเจอกับนักดื่มที่พูดจาเกี้ยวพาราสีก็ยังหน้าแดง ยังเขินอาย ยังขุ่นเคือง แต่หางตาของนางเริ่มเกิดริ้วรอยยาวๆ แล้ว พอเห็นเช่นนี้ ชายร่างกำยำก็ให้รู้สึกดีใจที่ตัวเองได้พบเจอกับอาจารย์ ไม่แน่ว่าวันใดหลานชายของเถ้าแก่เนี้ยะแก่แล้ว เขาก็ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม
แม้ว่าท่าเรือหางผึ้งจะเป็นท่าเรือตระกูลเซียน แต่พวกชาวบ้านที่ไม่อาจหลีกหนีสัจธรรมเกิดแก่เจ็บตายกลับมีอยู่ไม่น้อย
อาจารย์มักจะบอกว่าคนล่างภูเขาที่อายุหกสิบก็เส้นผมขาวโพลน เจ็ดสิบก็แก่หง่อมเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานของผู้ฝึกตนกลุ่มเล็กๆ บนภูเขาอย่างแท้จริง
ไม่มีพวกเขา คำว่าการฝึกตนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศเท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่คิดอะไรมากนัก เพราะขี้เกียจจะคิด ถึงอย่างไรในด้านของการฝึกตน เขาก็ชอบปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ไม่เป็นฝ่ายไปทำร้ายใคร ถูกใครทำร้ายก็ไม่ใจอ่อน ดังนั้นอาจารย์จึงโน้มน้าวให้เขาเลือกฮ่องเต้คนใดคนหนึ่งจากสกุลถังแคว้นชิงหลวน สกุลเหยียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซาน จากนั้นก็ปิดบังชื่อแซ่ ไปขัดเกลาจิตใจอยู่ในราชสำนัก ให้ยาถูกกับโรคในเร็ววันเพื่อสลายมารในใจทิ้ง ในอนาคตวันใดที่เลื่อนสู่ก่อกำเนิดจะได้ไม่ต้องภาวนาขอพรพระในช่วงจวนเจียน เพียงแต่ว่าเขาปฏิเสธมาตลอด ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องคอยคบค้าสมาคมอยู่กับพวกฮ่องเต้ พวกเสนาบดี จะมีความหมายอะไร? ฮ่องเต้สกุลถังฟุ่มเฟือยอย่างไร้ขีดจำกัด ตายก็ต้องรักษาหน้าตา ชอบแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับพวกเทพเซียนบนภูเขา ฮ่องเต้สกุลเหอแคว้นชิ่งซานมีนิสัยประหลาด วังหลังมี ‘ห้าสะคราญ’ ที่น่าตื่นตะลึง ตลอดทั้งราชสำนักมีแต่กลิ่นอายสกปรก ฮ่องเต้สกุลเหยียนเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน ทำงานหนักเพื่อบ้านเมือง แต่จิตใจกลับอำมหิต ชอบดีดลูกคิดวางแผนยิ่งกว่าลูกหลานตระกูลพ่อค้าเสียอีก ว่ากันว่าเขายังเขียนตำรา ‘เฉียนเปิ่นฉ่าว’ ซึ่งเป็นที่นิยมเล่มนั้นด้วยตัวเอง บอกว่า ‘เงิน รสหอมหวาน ร้อนระอุ เป็นทั้งพิษเป็นทั้งยา สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถจ้างผีให้โม่แป้ง’ คำพูดประโยคเดียวที่แทงใจดำเหล่าพ่อค้าได้มากมาย
เขาดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้วก็เรียกเถ้าแก่เนี้ยะมาคิดเงิน บรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำหลายสิบจินจนเต็มกาเหล้า ผูกไว้ข้างเอว และยังขอสุรารสเลิศมาเพิ่มอีกสองไหเล็ก ใช้นิ้วหนีบกาเหล้าสองไหเอาไว้ สำหรับเรื่องนี้สตรีแต่งงานแล้วเห็นจนชินตา ตลอดทั้งท่าเรือหางผึ้งต่างก็รู้ว่าสถานะของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา ใครก็ไม่กล้าไปมีเรื่องด้วย เขาที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังท้ายสุดของตรอกเล็กเจียเฟิงตั้งแต่ยังเด็กก็ไม่เคยไปหาเรื่องใคร ว่ากันว่าเขาแค่ทำหน้าที่เก็บเงินค่าเช่า คอยดูแลพื้นที่ครึ่งตรอกแทนใครบางคนเท่านั้น คนที่สามารถเช่าบ้านหลังหนึ่งในตรอกเจียเฟิงได้ หากไม่ใช่เซียนซือผู้ฝึกตนอิสระที่ถุงเงินตุงแน่น ก็ต้องเป็นขุนนางชั้นสูงของสามแคว้นที่มีรสนิยม ส่วนนอกจากนั้นก็เป็นกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ที่ซื้อบ้านในตรอกนี้ไปโดยตรง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดินกลับเข้าไปในตรอก ค่อยๆ เดินเข้าไปยังจุดลึกของตรอก ในตำแหน่งตรงกลางของตรอกที่อยู่ห่างจากด้านหลังเขาไปห้าสิบก้าว มีบ้านหลังใหญ่ว่างเปล่าสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน บนประตูใหญ่แปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสที่ไม่เคยเปลี่ยนมาหลายร้อยปี แต่กลับยังคงใหม่เอี่ยม ฝั่งซ้ายมือคือเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นสองภาพ ฝั่งขวามือของประตูบ้านคือเทพทวารบาลฝ่ายบู๊สององค์ ตอนที่คนหนุ่มเดินผ่านบ้านทั้งสองหลังก็ใช้มือข้างหนึ่งโยนกาเหล้าออกไป เทพทวารบาลสี่ภาพบนประตูบ้านฝั่งซ้ายขวาพลันเกิดส่องแสงเรืองรอง แต่ละตนต่างยื่นแขนสีทองข้างหนึ่งออกมารับกาเหล้าไป เก็บเข้าไป ‘ในประตู’ จากนั้นบนมือของเทพทวารบาลบุ๋นบู๊ทั้งสองฝั่งต่างก็มีกาเหล้าที่ถูกวาดลงบนกระดาษปรากฏเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากดื่มเหล้าแล้วก็ยื่นกาเหล้าส่งให้กับสหายที่อยู่ใกล้เคียง พอดื่มเสร็จ เทพทวารบาลสี่ท่านก็กลับคืนมาเป็นปกติ เพียงแต่ว่าบนกระดาษตำแหน่งหนวดของเทพทวารบาลฝ่ายบู๊ท่านหนึ่งคล้ายจะเปียกชื้น ทว่าไม่นานก็แห้งสนิท
ชายหนุ่มร่างกำยำกลับมายังบ้านที่ตัวเองพักอยู่เพียงลำพัง บ้านที่สงบเงียบ เขาใช้ชีวิตแบบนี้มานานหลายปี ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าชอบท่องไปทั่วทิศ เมื่อก่อนทุกครั้งเขาจะต้องสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าครั้งนี้จะต้องหาอาจารย์แม่ที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกกลับมาให้เขาอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ไปตามหาว่าที่อาจารย์แม่ที่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางยังหลับอยู่ในท้องแม่หรือไม่ แต่ไปเพราะธุระสำคัญ บอกว่าต้องการไปตามหาร่างทองแก้วใสของเทพเซียนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่ตายไปในการต่อสู้ มีหลายส่วนที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีป หากแย่งมาได้สักชิ้นก็รวยแล้ว แล้วจะได้มีเงินแต่งเมียสักที ด้วยเหตุนี้อาจารย์ยังไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะสามารถช่วงชิงมาจากพวกตะพาบเฒ่าที่อายุพอๆ กันเหล่านั้นได้ เมื่อมีสหายคนนั้นคอยช่วยเหลือ ความเป็นไปได้ก็จะมากขึ้น
ชายร่างกำยำรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย กังวลว่าในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ เพื่อนคนนั้นจะเกิดใจนึกอยากครอบครองหรือไม่
อาจารย์พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง ทุกคนในแจกันสมบัติทวีปอาจเป็นไปได้ แต่เจ้าเต่าชราที่เรียกตัวเองว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกผู้นี้ไม่มีทางคิดอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่านิสัยของคนผู้นี้จะทั้งแข็งกระด้างทั้งไม่น่าเข้าใกล้ เทียบกับก้อนหินในห้องส้วมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่คนผู้นี้กลับถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ ‘ในใจไร้ผี’ (หากในใจมีผีจะหมายถึงคนที่มีอุบาย คนที่มีความคิดชั่วร้าย) บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ชั่วชีวิตนี้เพื่อคุณธรรมน้ำมิตรที่มีต่อสหาย และเพื่อเกียรติยศของสำนักแล้ว เขาก็ยอมร่วมศึกเป็นตายถึงสองครั้ง หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบสองครั้งก็ถดถอยกลับมาที่ก่อกำเนิดสองครั้ง ความองอาจห้าวหาญดุจดั่งวีรบุรุษเช่นนี้ ต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีได้ หร่วนฉงอาจารย์หลอมกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาลลมหิมะ ตอนนี้ได้เป็นอริยะของสำนักการหทารแล้ว ในอดีตก็เคยมีชื่อเสียงเรื่องนิสัยตรงไปตรงมา และเขาก็เคยป่าวประกาศว่า ขอแค่คนผู้นี้ต้องการกระบี่เล่มหนึ่ง เขาหร่วนฉงจะไม่เพียงแต่หลอมกระบี่ให้ทันที ยังจะนำไปส่งถึงภูเขาด้วยตนเองอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายกำยำเห็นอาจารย์มั่นใจขนาดนี้ เขาจึงวางใจลงได้
และนั่นก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าสหายผู้เฒ่าของอาจารย์มีชื่อฉายาค่อนข้าง ‘สง่างามเป็นเอกลักษณ์’ ท่านนั้นจะเป็นคนเช่นไร
—–