หลังจากเฉินผิงอันซื้อเหล้าบ่อน้ำโบราณมาอีกสองไห คนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังจุดชมทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงแห่งสุดท้ายของท่าเรือหางผึ้ง ที่นั่นคือต้นซิ่งโบราณพันปีที่แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมอาณาเขตหลายไร่ ช่วงโคนต้นไม้ที่กลวงโบ๋เป็นโพรงมีเหรียญทองแดงและเหรียญเงินก้อนทองถูกโยนไว้จนเต็ม เกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือผ้าห่อบุญซึ่งเรียกตัวเองว่าหลิวกานจื่อผู้นั้นเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าที่แคว้นชิ่งซานจะลุกผงาดขึ้นมาบนซากปรักของแคว้นเหวินจิ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นซิ่งโบราณต้นนี้แล้ว ในอดีตต้นไม้ต้นนี้ได้ถูกฮ่องเต้สกุลถังผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวนแหกกฎแต่งตั้งให้เป็นไม้แห่งจักรพรรดิ ภายหลังฮ่องเต้แคว้นเหวินจิ่งไม่ยอมตกเป็นรองจึงส่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักท่านหนึ่งให้มาประกาศคำแต่งตั้งที่นี่ แต่ลดระดับขั้นมาหนึ่งระดับ คนในพื้นที่เรียกมันว่าต้นไม้อัครมหาเสนบดี สุดท้ายฮ่องเต้แคว้นอวิ๋นเซียวก็มาร่วมความครึกครื้นด้วย เมื่อสามร้อยปีก่อนก็คือช่วงที่แคว้นอวิ๋นเซียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แม่ทัพผู้มีคุณูปการท่านหนึ่งขี่ม้ามาถึงที่นี่ ตั้งป้ายศิลาจารึกเอาไว้ ดังนั้นทุกวันนี้ชาวบ้านแคว้นอวิ๋นเซียวจึงเคยชินที่จะเรียกมันว่าซิ่งแม่ทัพ
ไม้จักรพรรดิ ต้นไม้อัครมหาเสนบดี ซิ่งแม่ทัพ ต้นไม้หนึ่งต้นถูกแต่งตั้งถึงสามชื่อ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดไม่น้อย
ใต้ต้นไม้ เผยเฉียนหยิบถุงหอมใบเล็กที่น้ากุ้ยมอบให้ออกมา ตอนนั้นข้างในถุงหอมนอกจากใบกุ้ยเขียวปลั่งราวจะเค้นน้ำหลายใบ อันที่จริงยังมีกิ่งกุ้ยยาวเท่านิ้วมือของนางอีกหนึ่งกิ่ง บนกิ่งเต็มไปด้วยดอกกุ้ย ต่อให้จะถูกหักออกมาจากลำต้น แต่กลิ่นหอมกลับไม่ลดน้อยลงเลยสักเสี้ยว อีกทั้งดอกกุ้ยสีทองอร่ามแต่ละดอกจะไม่มีทางร่วงโรย ทั้งกิ่งกุ้ยและใบกุ้ยต่างก็ถูกเก็บไว้ในกล่องสมบัติ ยึดพื้นที่ช่องหนึ่งของกล่องไปเพียงลำพัง เอาแค่ถุงหอมมาใส่เงินเกล็ดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้นางเป็นเงินยาสุ้ยและเงินเหรียญทองแดงอีกหลายเหรียญที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่สุยโย่วเปียนต่อราคาสิ่งของจากร้านขายสิ่งของที่ใช้ในวันตรุษจีนตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ได้ลดหนึ่งครั้ง นางก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนั้นนางได้มารวดเดียวเจ็ดแปดเหรียญจึงเอามาใส่ไว้ในถุงหอมใบนี้ทั้งหมด
เพราะเฉินผิงอันบอกว่าถุงหอมไม่ใช่ของธรรมดา ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่กล้าเอามาผูกไว้ที่เอว เวลาปกติแค่เอามาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตอนนี้นางแอบใช้สองมือประคองเอาไว้เพราะคิดว่าหากได้ใบซิ่งดอกซิ่งมาเพิ่มอีกก็คงจะดี
คนที่มาท่องเที่ยวตรงต้นซิ่งพันปีแห่งนี้มีไม่มาก ชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในท่าเรือจะมาโยนเงินขอพรในช่วงปีใหม่หรือช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น ผู้ที่โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหางผึ้งส่วนใหญ่คือเหล่าพ่อค้าบนภูเขาที่มีความคล่องแคล่วคุ้นเคยดี ทั้งยังไม่เชื่อเรื่องนี้ แล้วก็ไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองเงินทอง ดังนั้นเวลานี้จึงมีแค่พวกเฉินผิงอันกับกลุ่มเด็กชาวบ้านที่เล่นขี่ม้าลำไผ่ไล่จับกันอย่างสนุกสนานเท่านั้น ห่างออกไปไกลยิ่งกว่าก็มีกลุ่มเด็กจำนวนบางตากำลังเล่นว่าว บนกิ่งสูงของต้นซิ่งยังมีว่าวกระดาษที่โชคไม่ดีสายป่านขาดแขวนต่องแต่งอยู่หลายอัน
เฉินผิงอันได้เห็นต้นซิ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบางไหลวนแล้วก็คิดจะจากไป แต่กลับสังเกตเห็นว่าคนจิ๋วดอกบัวมุดออกมาจากใต้ดิน มายืนอยู่ตรงกลางโพรงของต้นซิ่งที่ใหญ่ราวกับประตูบานหนึ่ง ยื่นหน้าออกมา
ไม่นานก็มีหัวอีกหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในกองเงิน มองสบตากับคนจิ๋วดอกบัว
ฝ่ายหลังปีนออกมาจากภูเขาเงิน ยืดเอวตั้งตรง สองมือเท้าเอวฉับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดความใคร่รู้และแววลิงโลดในดวงตาของมันไม่อยู่
เจ้าตัวน้อยแต่งกายหรูหราและน่าตลก บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดตัวจิ๋วน่ารัก ตรงเอวห้อยแผ่นหยกงาช้าง และยังห้อยดาบฝักไม้สีแดงอีกเล่มหนึ่ง
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาให้เผยเฉียน พูดด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องพูดคุยกับเซียนซิ่งตัวจิ๋วอย่างมีมารยาท ห้ามล่วงเกินคนเขา”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดออกไป แล้วไปนั่งยองอยู่ตรงหน้า ‘ประตูบานเล็ก’
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็กระโดดโลดเต้นกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่พูดไม่จาก็เขกมะเหงกลงไป
เพียงแต่ว่าคราวนี้คนจิ๋วดอกบัวกลับยืนอยู่ข้างเดียวกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก มันโบกมือวุ่นวาย ร้องอือๆ อาๆ พยายามอธิบาย
เผยเฉียนร้อนตัวเล็กน้อยจึงหมุนตัวกลับไปแต่โดยดี คิดจะเอาดินและหน่ออ่อนต้นกล้าที่หอบไว้ในมือไปคืนให้ภูตต้นซิ่งตนนั้น น่าเสียดายยิ่งนัก นางต้องควักเงินเกล็ดหิมะตั้งสองเหรียญเพราะสิ่งนี้ การค้าครั้งนี้นับว่าขาดทุนแล้ว
คนจิ๋วดอกบัวค่อนข้างโง่เขลา แม้แต่พูดก็พูดไม่เป็น ทว่าเจ้าตัวน้อยที่แต่งตัวฉูดฉาดกลับค่อนข้างฉลาด พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้คล่องยิ่งกว่าเผยเฉียนเสียอีก เจ้าตัวน้อยพูดคุยหงุงหงิงกับคนจิ๋วดอกบัวอยู่เป็นนาน ตอนนั้นเผยเฉียนฟังไม่รู้เรื่อง แต่จากนั้นคนจิ๋วดอกบัวก็ใช้นิ้วเคาะลงบนรองเท้าหุ้มแข้งของเผยเฉียน ยื่นนิ้วชี้ไปที่เงินเกล็ดหิมะซึ่งเผยเฉียนกำไว้ในมือ ไปๆ มาๆ เผยเฉียนก็เริ่มต่อรองราคากับปีศาจน้อยต้นซิ่งตนนั้น แล้วก็ถือโอกาสคุยโม้ให้มันฟังอีกคำรบหนึ่ง บอกว่าในบ้านเกิดของตนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นยิ่งกว่าที่แห่งนี้ หนาข้นราวกับน้ำ แค่ดื่มหนึ่งคำก็อิ่มท้องได้ สุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็ร่ายต้นกล้าต้นหนึ่งออกมาบนพื้นดินตรงหน้าเผยเฉียนด้วยท่าทางโอ้อวด บอกว่าให้เผยเฉียนเอากลับไปที่บ้านเกิด หาสถานที่แห่งหนึ่งปลูกมันลงไป ห้ามปฏิบัติกับมันแย่ๆ เด็ดขาด จะต้องให้มันได้กินปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนน้ำจนอิ่มหนำทุกวัน แม้ปากของเผยเฉียนจะตกปากรับคำ ตบอกรับรองเสียงดังสนั่น แต่อันที่จริงแล้วกลับเตรียมพร้อมสำหรับการกินมะเหงกจนอิ่มไว้แล้ว
เฉินผิงอันเข้าใจต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้วก็รับดินและต้นอ่อนในมือของเผยเฉียนมา เดินมานั่งยองลงตรงข้างต้นไม้
เจ้าตัวน้อยที่สวมชุดคลุมมังกร ห้อยแผ่นหยกและดาบยืนอยู่ในกองเงิน สายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวังภัย
หลังจากสอบถามกันอยู่พักหนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ความจริง ที่แท้มันใกล้จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้มีปราณวิญญาณไม่เพียงพอ หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือมันไม่กล้าดึงเอาปราณวิญญาณมามากเกินไป ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็มีมากมาย คือท่าเรือตระกูลเซียน มันสามารถลงหลักปักฐานฝึกตนอยู่ที่นี่ได้ก็แค่อาศัยบรรดาศักดิ์ที่ไม่ถือว่าถูกต้องเหมาะสมสามอย่างนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วราชสำนักของทั้งสามแคว้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลังท่าเรือแห่งนี้ ปราณวิญญาณลดน้อยลงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาตระกูลเซียน ก็เหมือนอย่างที่ตู้เม่าบังคับดึงเอาปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กอู๋ถงออกมาใช้ แม้จะบอกว่ามีใจที่เห็นแก่ตัวมากกว่า เพื่อให้ตัวเองได้บินทะยานไปยังที่แห่งอื่น แต่แท้จริงแล้วหากเขาบินทะยานได้สำเร็จ ตามกฎที่หลี่เซิ่งของใต้หล้าไพศาลตั้งเอาไว้ สำนักใบถงก็ถือว่ามีคุณความชอบติดตัว สถานศึกษาและสำนักศึกษาจะปกป้องคำว่า ‘สำนัก’ นั้นอย่างน้อยก็หนึ่งพันปีโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ตู้เม่ากล้าเสี่ยงบินทะยาน ไม่อย่างนั้นแค่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปตลอดก็พอ จั่วโย่วทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำได้ แต่ไม่มีทางทำลายตราผนึกของถ้ำสวรรค์ได้แน่นอน
และเมื่อตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ลูกศิษย์แทบทุกคนของสำนักใบถงก็เปลี่ยนจากความเคารพยำเกรง ความรักความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาเป็นเคียดแค้นสุดขีด ใช้คำว่าแค้นเข้ากระดูกดำมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาเป็นคนที่ทำผิดมีโทษมหันต์ของสำนักใบถง บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ผายลมสุนัขอะไรกัน ต้องเรียกว่าบรรพบุรุษผู้สร้างความพินาศวอดวายเผาผลาญรากฐานของบรรพบุรุษถึงจะถูก เจตนาเดิมเล็กๆ ของตู้เม่าที่คิดจะพาตัวไปอยู่ในกรงขังใหญ่แห่งอื่นเพื่อหาทางรอดอีกทางให้แก่สำนักใบถงกลับมีคนน้อยมากที่จะคิดถึง ส่วนเจ้าประมุขสำนักใบถงเซียนกระบี่ชุดม่วงผู้นั้น รวมไปถึงผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบผู้ดูแลทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพชน ไม่รู้ว่าคิดพิจารณาเช่นไร ถึงได้ไม่ห้ามปราม ชี้นำและคลี่คลายอารมณ์โกรธแค้นของทุกคนในสำนัก เป็นเหตุให้สายของตู้เม่า ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสายตรงอย่างตู้เหยี่ยน ไม่เพียงแต่สูญเสียข้ารับใช้ก่อกำเนิดคนหนึ่งไป ยังถูกซักไซ้เอาความผิด ครอบครัวตระกูลตู้เกือบจะถูกพลิกค้นจนเกลี้ยงเพื่อเอามาจ่ายให้สำนัก ชดเชยส่วนที่ขาดหายไป
ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ดำก็เป็นขาว
สองปลายฝั่งของไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องผลประโยชน์ที่แท้จริงของตัวเอง ดูเหมือนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นอารมณ์ทั่วไปของมนุษย์
เฉินผิงอันหวังว่าหลังจากนี้ หากมีวันนั้นที่ตนก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาจริงๆ เขายินดีให้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันคืออริยะผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมไร้ข้อบกพร่องมาตั้งแต่ต้นเลยจะดีกว่า เมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ จะได้ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์ที่ทำความผิดมหันต์จนมิอาจให้อภัยได้ ต่อให้ผู้คนเอาใจออกห่างก็ต้องพยายามให้เป็นการพบและพรากจากด้วยดีให้จงได้ พยายามจะทำดีให้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น ก้มหน้าลงมองภูตต้นซิ่งโบราณตนนั้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ลองปรึกษากับเทพเซียนของท่าเรือหางผึ้งแห่งนี้ดูล่ะ ว่าจะทำหน้าที่เป็นพวกผู้ถวายงานข้ารับใช้ หาห้าขุนเขามาแล้วลงนามสัญญาเป็นพันธมิตรกัน มีราชาใหญ่แห่งขุนเขาที่หนีไม่พ้นห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน พวกเขาน่าจะยินดีกระมัง?”
เจ้าตัวน้อยนั่งแปะลงไปบนยอดของภูเขาเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ข้าก็อยากอยู่เหมือนกัน แต่พวกคนที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเงินเหล่านั้นเชื่อใจข้าได้ แต่ข้าเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ นี่คือสถานที่ที่มีปัญหามาก ท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ติดกับสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว มีกลุ่มขั้วอิทธิพลสลับซับซ้อน ใครก็ไม่ยอมลงให้ใคร เพื่อเงินแล้ว ทุกคนต่างก็พยายามคิดหาวิธีตีหัวอีกฝ่ายให้สมองไหล พันธมิตรขุนเขา เจ้าคิดว่าข้าควรจะเลือกห้าขุนเขาของแคว้นใด? ต่อให้ข้าเลือกแคว้นหนึ่งได้จริงๆ อีกสองแคว้นที่เหลือจะไม่เกลียดข้าตายหรอกหรือ? ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะแอบสั่งให้คนมาฟันร่างจริงของข้าเอาไปทำเป็นฟืนเผาไฟก็ได้ แม้ว่าตอนนี้ควันธูปจะบางเบา กินอิ่มหนึ่งมื้อหิวสามมื้อ แต่จะดีจะชั่วก็ยังไม่ตาย ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเจ้าชอบพูดว่าตายดีไม่สู้มีชีวิตอย่างไร้ค่าหรอกหรือ อืม และยังมีประโยคที่บอกว่าคนอื่นตายดีกว่าตัวเองตายอีกด้วย”
ประโยคสุดท้ายเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สำหรับความกลัดกลุ้มของเจ้าตัวน้อยนี้ เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในฐานะภูตต้นซิ่งที่ไร้ที่พึ่งพา คิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็จำเป็นต้องลงนามในสัญญาพันธมิตรขุนเขากับผู้ฝึกลมปราณ ทว่าท่าเรือหางผึ้งตั้งอยู่ในจุดเชื่อมต่อระหว่างสามชายแดน ไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ไม่เล็กอย่างแท้จริง หากท่าเรือหางผึ้งเป็นของกลุ่มอิทธิพลใดกลับจะพูดง่ายกว่ามาก
เฉินผิงอันอยากช่วยแต่ไร้ความสามารถ
เจ้าตัวน้อยพูดอย่างน่าสงสาร “ได้ยินเด็กขี้เหร่ตัวดำบอกว่า ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอันเป็นบ้านของเซียนซือสามารถดึงดูดปราณวิญญาณได้ดั่งคนดื่มน้ำ ไม่สู้ช่วยข้าสักหน่อย พาต้นกล้านี้กลับไป หากทำสำเร็จก็สามารถช่วยให้เซียนซือควบคุมปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้อย่างมั่นคง นี่เป็นเรื่องดีที่ล้วนมีประโยชน์ต่อพวกเราทั้งสองฝ่าย ผู้ฝึกลมปราณธรรมดาทั่วไป ไม่พูดถึงสำนักการค้าที่ในสายตามีแต่เงิน พูดถึงแค่สำนักกสิกรรมกับสำนักโอสถ ใครบ้างที่ไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องดีดุจโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า เซียนซือที่ผ่านทางมาท่านนี้ เจ้าต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก!”
เฉินผิงอันวางดินและต้นกล้าลงบนพื้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจะต้องพูดประโยคว่า ‘สวรรค์มอบให้ไม่รับไว้ กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษแทน’ ด้วยหรือเปล่า?”
เจ้าตัวน้อยหน้าม่อยคอตก ยกมือเกาแก้มพลางพูดว่า “เจ้าตัวน้อยสองคนหลอกง่าย แต่ตัวใหญ่อย่างเจ้า มีประสบการณ์ในยุทธภพมาอย่างโชกโชน หลอกไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หากเฉินผิงอันปลูกต้นกล้านี้ลงไปบนภูเขาของตัวเอง ฝ่ายหลังสามารถช่วยทำให้ปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำมั่นคงได้ก็จริง แต่ก็มีขีดจำกัดอย่างถึงที่สุด ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการขโมยปราณวิญญาณมาให้ต้นบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่องเสียมากกว่า แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการค้าที่ได้ไม่คุ้มเสีย
เกี่ยวกับเรื่องวงในของภูตต้นไม้เหล่านี้ เนื่องจากตอนนั้นอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา และเพราะที่เมืองเล็กบ้านเกิดมีต้นไหวโบราณอยู่ เขาเคยคุยเล่นกับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ของตระกูลฟ่านมาก่อน จึงพอจะรู้อยู่บ้าง
หลังจากเฉินผิงอันคืนดินและต้นกล้าเรียบร้อยแล้ว ภูตดอกซิ่งถือว่าพอจะตามีแววอยู่บ้างจึงคืนเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญให้เผยเฉียน
คนจิ๋วดอกบัวทำท่าหงอยเหงา เผยเฉียนเองก็ไหล่ลู่คอตก เจ้าตัวน้อยทั้งสองต่างก็รู้สึกผิดต่อเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจับคนตัวจิ๋วมาวางไว้บนไหล่ตัวเอง จูงมือเผยเฉียน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าจะรู้สึกผิดไปไย คนที่ควรจะรู้สึกผิดต้องเป็นมันถึงจะถูก”
ใน ‘ประตูใหญ่’ ด้านใต้ต้นซิ่ง ภูตน้อยนอนอยู่บนกองเงิน อ้าปากหาวหวอด “ได้แต่รอให้คนโง่คนต่อไปมาติดเบ็ดแล้ว”
สะลึมสะลือหลับไป มันก็เริ่มฝันหวาน ถึงกับฝันเห็นว่าตัวเองเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่บนภูเขาสูงใหญ่เสียดแทงเมฆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า ใบซิ่งทุกใบล้วนมีประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองแผ่ล้น กิ่งไม้ทุกกิ่งต่างก็ถูกกลิ่นหอมและสีทองอร่ามรมจนบริสุทธิ์เกินจะเปรียบ มันกลายเป็นภูตแห่งต้นไม้ดอกไม้ห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป…บนกิ่งสูงเหนือร่างของมันมีเงาร่างที่พร่าเลือนของคนสองคนกำลังมองทะเลเมฆ คนหนึ่งแหงนหน้าดื่มเหล้า อีกคนหนึ่งตรงเอวห้อยดาบและกระบี่ไว้สลับกัน…
หลังจากที่เจ้าตัวน้อยตื่นจากฝัน มันก็อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะเป็นแค่ความฝันก็มากพอให้มันอารมณ์ดีไปได้หลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอเอื้อมมือมาเช็ดหน้า ใบหน้ากลับมีแต่คราบน้ำตา
มันนอนเหม่ออยู่ในกองเงิน ครุ่นคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกคล้ายจะผิดหวังเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป
—–