ในขณะที่นักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากำลังนั่งกินบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนตรงข้ามกัน ในเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลมีอารามเต๋าขนาดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าอารามคือนักพรตวัยกลางคน ไร้ชื่อไร้สัญชาติในแคว้นชิงหลวน หากนับแค่ฐานะผู้ฝึกตนย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าอารามท่านนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอารามเต๋าเก่าแก่ทั้งหลายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาหลายร้อยหรือหลายพันปีในแคว้นชิงหลวน อารามเมฆขาวแห่งนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นแค่ร้อยกว่าปี พื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกวัดวาอารามที่เป็น ‘ผู้อาวุโส’ ทั้งหลายแบ่งกันไปจนหมดสิ้นแล้ว
อารามเมฆขาวที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แห่งนี้จึงจำต้องอยู่ติดกับตลาดที่เสียงดังจอแจ ทว่าด้านในอารามกลับมีต้นไม้โบราณอยู่หลายต้น แต่สิ่งที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้อย่างถูไถนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับอารามเมฆขาว เด็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตลาดชอบเล่นว่าว ว่าวจึงมักจะลอยมาติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในอารามเป็นประจำ ดังนั้นทุกๆ สามวันห้าวันจึงจะมีสตรีแต่งงานแล้วหรือไม่ก็ชายฉกรรจ์พาเด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยมายืนด่าอยู่นอกอาราม ด่าจบก็ค่อยเข้ามาในอารามเต๋าเพื่อตำหนินักพรตน้อยที่ขลาดกลัวทั้งหลาย บอกให้พวกเขานำบันไดพาดต้นไม้แล้วเก็บว่าวกลับมา พอได้ว่าวกลับคืน พวกเด็กๆ ยิ้มทั้งน้ำตา พวกผู้ใหญ่ที่ต้องพักงานในมือเสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระส่วนใหญ่จะยังสบถด่าต่อ หนีไม่พ้นประโยคทำนองว่าต้นไม้ผุๆ ที่เป็นตัวปัญหาพวกนี้ ทำไมไม่รู้จักรีบๆ ตัดมาทำเป็นฟืนไปซะ
อันที่จริงทุกครั้งเจ้าอารามวัยกลางคนที่รูปร่างผอมแห้งจะเดินออกมาจากหอหนังสือ แต่ก็แค่กล้ามาแอบยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไกลๆ เท่านั้น ปล่อยให้ศิษย์น้องหรือไม่ก็ลูกศิษย์รับหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟ
มีครั้งหนึ่งนักพรตน้อยของอารามแอบวิ่งออกไปเล่นว่าวกับเด็กละแวกใกล้เคียงที่สนิทกัน ไม่ทันระวังก็ทำให้ว่าวมาติดอยู่บนต้นไม้เหมือนกัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ เพราะเสียดายว่าวตัวนั้นมากจริงๆ จึงฝืนใจมาบอกกับทางอาราม ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอาจารย์เจ้าอารามคว้าตัวมาระบายโทสะ ตีจนก้นเกือบลายพร้อย แต่ว่าวันนั้นนักพรตน้อยก็ยิ้มหน้าบาน ที่แท้ไม่รู้ว่าตุ๊กตากระเบื้องที่เขาอยากได้มานานมาอยู่ในผ้าห่มของเขาได้อย่างไร ทำให้เขาเอาไปโอ้อวดกับเด็กๆ คนอื่นได้เป็นนาน
เวลานี้เป็นยามพลบค่ำแล้ว นักพรตวัยกลางคนอยู่ในหอหนังสือขนาดเล็ก เงยหน้าจ้องมองตัวอักษรบนตำราอยู่เป็นนานจนตาเขาเริ่มจะเจ็บเล็กน้อย
บนชั้นหนังสือชั้นหนึ่งในนั้นที่ทั้งสองด้านต่างก็สูงจรดเพดาน นอกจากจะเก็บคัมภีร์เต๋าครบชุดที่มากมายมหาศาลแล้ว อันที่จริงยังปะปนไปด้วยพระไตรปิฎกและคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อด้วย
นักพรตวัยกลางคนไล่อ่านอย่างละเอียดจนจบ ลำพังแค่ฉบับร่างของตัวอักษรเล็กๆ ที่สรุปเขียนจากความเข้าใจของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีมากถึงเก้าแสนกว่าตัว
คนอื่นฝึกตนเพื่อได้ดูแคลนเหล่าผู้สูงศักดิ์ เพื่อบรรลุความเป็นอมตะไม่ดับสลาย เพื่อหลุดพ้นจากกรงขังขนาดใหญ่ของฟ้าดิน ทว่าเจ้าอารามของอารามเต๋าขนาดเล็กท่านนี้กลับเพื่อให้ได้มีชีวิตต่ออีกหลายๆ ปี จะได้อ่านหนังสือได้มากขึ้น
ตำราของอริยะปราชญ์สามลัทธิร้อยสำนักล้วนต้องอ่านให้หนึ่งครบ
……
แม้ว่าตอนนี้กลุ่มของเฉินผิงอันจะถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของพรรคต้าเจ๋อ แต่จู๋เฟิ่งเซียนกลับไม่เคยมาเยือนที่พักของเฉินผิงอันเพื่อตีสนิทเขา แค่เช้าตรู่ของวันชมงานพิธีมาเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นเขาไปยังอารามจินกุ้ยที่อยู่บนยอดเขาด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา จู๋เฟิ่งเซียนเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เรื่องที่พูดคุยกันก็มีแค่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของแคว้นชิงหลวน
พอไปถึงหน้าประตูอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยก็ยิ้มรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาพาคนสองกลุ่มของจู๋เฟิ่งเซียนและเฉินผิงอันไปนั่งข้างกันตรงแถวหน้าสุดของสถานที่ที่อารามทำพิธีรับลูกศิษย์
สุดท้ายจางกั่วเซียนซือผู้เฒ่าเจ้าอารามรับลูกศิษย์ไปเก้าคน จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงล้วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกเจ็ดคนที่เหลือ มีสองคนที่เป็นคู่พี่สาวน้องชายซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นชาวบ้านธรรมดา อีกห้าคนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงจากสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว
เมื่อรวมคนสามคนซึ่งมีสวี่ป๋อรุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าอารามจางกั่วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหมดสิบสองคน
นักพรตน้อยที่เอาร่มให้เผยเฉียนยืม ตอนนี้กลายเป็นศิษย์พี่ของคนทั้งเก้าที่เข้าสำนักมาพร้อมกันในภายหลัง เขายืนอยู่ด้านหลังสวี่ป๋อรุ่ย ดีใจจนยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง
จากนั้นเขาก็รีบหันมามองเผยเฉียน แต่กลับค้นพบว่านางไม่ได้มองตนเลยแม้แต่น้อย นักพรตน้อยจึงอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
เรื่องที่เซียนซือลัทธิเต๋ารับลูกศิษย์ ใช้คำว่าพิธีการซับซ้อนยิบย่อยก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย ถึงกับเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ชมพิธีเสร็จ เหล่าผู้นำของขั้วอิทธิพลต่างๆ อย่างเฉินผิงอัน จู๋เฟิ่งเซียน และหญิงชรา ฯลฯ ทางอารามจินกุ้ยมอบร่มกระดาษน้ำมันกิ่งกุ้ยที่ราคาไม่ธรรมดาให้คนละหนึ่งคัน
จู๋เฟิ่งเซียนยังจะพักอยู่ที่กึ่งกลางภูเขาอีกหลายวัน ถึงอย่างไรจู๋จื่อหยางก็เพิ่งกลายเป็นลูกศิษย์ของจางกั่วเจ้าอารามจินกุ้ย บางทีนางอาจจะยังไม่เคยชินหรือปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศไม่ได้ จู๋เฟิ่งเซียนจึงยังไม่วางใจที่จะลงภูเขาแล้วจากไปทั้งอย่างนี้
ได้ดูพิธีรับลูกศิษย์โดยไม่ต้องเสียเงิน และยังได้ร่มกิ่งกุ้ยมาเปล่าๆ บอกลากับจู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือผู้นั้นแล้ว พวกเฉินผิงอันก็ลงจากภูเขาชิงเย่า เร่งเดินทางกันต่ออีกครั้ง เดินไปบนทางเล็กในผืนป่าที่มืดลึกและเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุด
วัวดินสีเหลืองเข้ามาร่วมขบวน เผยเฉียนขี่อยู่บนหลังของมัน
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เผยเฉียนเรียกร้องว่าจะขี่วัวสีเหลืองก็ถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกแบบเน้นๆ ไปหนึ่งที ทว่าวัวเหลืองกลับไม่ได้ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้เผยเฉียนนั่งอยู่บนหลังของตัวเอง
เมื่อเทียบกับคนทั้งสี่ในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียรู้เรื่องบนภูเขามากกว่า ดังนั้นจึงค่อนข้างจะตกตะลึงมากเป็นพิเศษ
ผ่านไปอีกสิบวัน พวกเขาก็ได้เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา ช่วงสนธยา ควันจากการทำอาหารลอยกรุ่น กระเบื้องดำกำแพงขาว คานแกะสลักเสาลงสี งดงามเงียบสงบดุจแดนสุขาวดี
พวกเฉินผิงอันเดินตามทางเล็กๆ บนสันเขาลงไปก็ถึงหมู่บ้าน แต่กลับพบว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ยังดีที่ภายหลังมีอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านคนหนึ่งออกมา เขาสื่อสารกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอย่างติดๆ ขัดๆ บังเอิญยิ่งนัก เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีแต่คนแซ่เฉินแทบทั้งหมด คนแต่ละรุ่นจะต้องฝึกวรยุทธ์ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน แต่ตามกฎบรรพบุรุษที่ตั้งไว้ ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหน เด็กๆ ก็ต้องเรียนให้จบชั้นประถมปีที่สี่เสียก่อนถึงจะออกจากโรงเรียนไปทำไร่ทำนาได้
ประมุขตระกูลคือผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉง ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน สวมชุดกว้าตัวยาว (ชุดแบบจีนที่ยาวเกินเข่า) สีเทา สวมรองเท้าผ้า ตามคำบอกของอาจารย์ที่สอนหนังสือคนนั้น ประมุขผู้เฒ่าท่านนี้มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุดในพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้นี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง เพราะปีนั้นมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เคยขวางม้าช่วยชีวิตเด็กในตลาดที่วุ่นวาย ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามอย่างให้เกียรติว่า ‘เฉินซุ้มประตู’ (เพราะซุ้มประตูในสมัยศักดินาถูกสร้างขึ้นเพื่อยกย่องผู้ที่ทำความดีความชอบ) พอผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันก็แซ่เฉินเหมือนกันก็ดีใจอย่างถึงที่สุด เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้น เดิมทีทุกคนกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว แต่ผู้เฒ่าก็บอกให้คนในครอบครัวทำอาหารโต๊ะใหญ่มาใหม่ ผู้เฒ่าน้ำเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองออกมา แล้วนำพาเฉินผิงอันดื่มเหล้าด้วยกัน
แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบดื่มเหล้า แต่เวลาอยู่ในวงเหล้ากลับไม่ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม เมื่อเป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดื่มจนเพลินเสียเอง
สุดท้ายถึงขั้นไม่รู้ว่ากลับไปที่พักได้อย่างไร ตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ไม่คุ้นตาด้วยท่าทางประหลาด เขาเลิกผ้าห่มออก สวมรองเท้าผลักประตูเดินออกไป เงยหน้ามองด้านบนเห็นโต่วกง (โครงสร้างรับหลังคาแบบจีน มีลักษณะเป็นการเข้าไม้แบบตุ๊กตาหลายๆชิ้นทบซ้อนขึ้นไป) ที่ประณีตงดงาม ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ขอตำรากรมโยธาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพานจำนวนมากมาจากราชครูจ้งชิว หนึ่งในนั้นมีเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุด ไม่ได้มีแค่เรื่องการสร้างสะพานเท่านั้น ยังมีคำแนะนำถึงการสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน หอเรือน ฯลฯ อีกด้วย เฉินผิงอันอ่านจนติดงอมแงม
บ้านเรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้เชื่อมติดกัน เป็นเหตุให้ระเบียงยาวมากเป็นพิเศษ พี่น้องแม้จะแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับยังเป็นเพื่อนบ้านกัน
เฉินผิงอันเดินออกไปจากระเบียงเส้นนั้น เลียบเส้นทางหินสีดำไปถึงข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักใหญ่
อันที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่ยืนเหม่อเท่านั้น
วันที่สองก็ยังถูกประมุขตระกูลผู้เฒ่ารั้งตัวเอาไว้อย่างยากที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้
แม้ว่าเผยเฉียนจะพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเล่นกับคนวัยเดียวกันได้อย่างสนุกสนาน
วันนี้ตอนที่ไปเรียกให้เผยเฉียนมากินข้าว เด็กทั้งกลุ่มกำลังเล่นเหยี่ยวจับลูกเจี๊ยบกันอยู่
เผยเฉียนบอกให้เฉินผิงอันมาเล่นด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มแล้วงอสองนิ้ว ยกมือขึ้นทำท่าเขกมะเหงก
เพียงแต่ต้านทานลูกตื๊อของเผยเฉียนไม่ไหว เฉินผิงอันจึงเล่นเป็นแม่ไก่ที่ปกป้องลูกเจี๊ยบ ส่วนเผยเฉียนคือเหยี่ยวที่จะจับลูกเจี๊ยบ
เผยเฉียนหรือจะจับ ‘ลูกเจี๊ยบ’ ที่อยู่ท้ายสุดของแถวคนด้านหลังเฉินผิงอันได้
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนตำแหน่งกับคนวัยเดียวกันคนนั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทั้งการเล่นเป็นเผยเฉียนที่หัวเราะดังที่สุด
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มกวักมือเรียกให้อาจารย์และศิษย์อย่างพวกเขาสองคนไปกินข้าว
พวกเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันพร้อมกับกลิ่นควันจากการทำอาหารและแสงสุดท้ายของวัน รวมไปถึงเสียงตะโกนเรียกชื่อลูกหลานของตัวเองของผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนเดินไปหาจางซานเฟิง
ตอนที่คนทั้งสามเดินอยู่ในตรอก จู่ๆ ด้านหน้าก็มีผู้เฒ่าล่างเล็กเตี้ยจมูกเปรอะคราบสุราคนหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีดำ ตรงชายแขนเสื้อซ้ายขวาต่างก็ปักลายมังกรเพลิงสีแดงสดราวกับมีชีวิตจริง
จางซานเฟิงอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม
เฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
ส่วนเผยเฉียนก็ยิ่งกล้ามองแค่ไม่กี่ที ก่อนจะรีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองอีก
จางซานเฟิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า กล่าวอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าถลึงตาใส่ “หากอาจารย์ไม่มาจับตัวเจ้ากลับไปฝึกตนบนภูเขา เจ้าคงจะคิดแต่งเมียมีลูก แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกนี่สินะ?”
จางซานเฟิงหันไปยิ้มจนใจให้เฉินผิงอัน ความหมายน่าจะประมาณว่าอาจารย์ข้าก็เป็นคนเช่นนี้เอง อย่าได้ถือสาเลย
หลังจากที่นักพรตหนุ่มหันหน้าไป ผู้เฒ่าก็เหม่อมองจางซานเฟิงที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ แล้วพอเห็นไหล่ของลูกศิษย์ตนที่ถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแทงทะลุก็กระทืบเท้า พูดอย่างเดือดดาล “ใครกล้าทำร้ายเจ้า?! บอกชื่อมันมา อาจารย์…จะเอาเข็มไปทิ่มตุ๊กตาฟางที่เขียนชื่อมันเดี๋ยวนี้!”
จางซานเฟิงยื่นฝ่ามือออกมาเช็ดหน้าตัวเอง มาเจอกับอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่มีหน้าจะพบเฉินผิงอันแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะนักพรตเฒ่าที่มาจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้อย่างจริงจัง
ผู้เฒ่าที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์พยักหน้าให้เฉินผิงอัน ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าหนู สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าถูกทำลายแล้วก็สร้างขึ้นใหม่ใช่ไหม? ค่อนข้างจะลำบากหน่อยนะ แต่วัตถุแห่งชะตาชีวิตจากธาตุน้ำห้าธาตุของเจ้าตอนนี้กลับมีกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างเปี่ยมล้น อืม ไม่เลวๆ”
พอผู้เฒ่าพูดจบก็หันมามองจางซานเฟิงอีกครั้ง บอกให้เขายื่นมือออกมา นักพรตเฒ่าประกบสองนิ้ววาดยันต์ไว้กลางอากาศเหนือฝ่ามือของจางซานเฟิง พอวาดยันต์เสร็จแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประกายแสงสีทองเปล่งระยิบระยับ ชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไป จากนั้นกระบี่เจินอู่และมีดสั้นของสวีหย่วนเสียที่เดิมทีควรอยู่ในจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ
จางซานเฟิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ยื่นมือมารับกระบี่เจินอู่และมีดสั้น ไม่ลืมหันไปอธิบายกับเฉินผิงอัน “ตบะของอาจารย์ข้าไม่สูง อย่างอื่นไม่เชี่ยวชาญ แต่เคล็ดลับเล็กๆ ที่เป็นวิชานอกรีตพวกนี้กลับเก่งกาจอย่างมาก”
ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ ถูกลูกศิษย์แฉ เขากลับไม่คิดว่าน่าอาย กลับกันยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก
เฉินผิงอันมองนักพรตหนุ่ม แล้วก็มองนักพรตเฒ่าที่ชายแขนเสื้อสองข้างปักลายมังกรเพลิง มีความรู้สึกว่าจางซานเฟิงอาจจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเงาใต้โคมไฟจึงเข้าใจอาจารย์ของตัวเองผิดมหันต์เลยหรือไม่
ผู้เฒ่าใช้ปลายเท้าวาด ‘ยันต์ผี’ บนพื้นซึ่งมองดูเหมือนเป็นการวาดมั่วซั่ว ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่บนพื้นกระดานหินสีดำ แต่เขากลับบอกให้จางซานเฟิงมายืนอยู่ตรงกลางยันต์ที่เขาวาดเมื่อครู่นี้ จางซานเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะผู้เฒ่าชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธเสียก่อน “อาจารย์จะพาเจ้าไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์สักรอบ”
จางซานเฟิงเดินเข้าไปใน ‘ยันต์’ ที่ราวกับว่าไม่มีอยู่จริงแผ่นนั้น โยนมีดสั้นในมือมาให้เฉินผิงอัน ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ช่วยขอโทษพี่ใหญ่สวีแทนข้าสักคำ ฉุกละหุกเกินไป ได้แต่จากไปโดยไม่ลาแล้ว”
เฉินผิงอันรับมีดสั้นของสวีหย่วนเสียมา นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงรีบหยิบกล่องไม้สีเขียวออกมาจากวัตถุฟางชุ่น โยนให้จางซานเฟิง “ด้านในมีตราประทับอาคมชิ้นหนึ่งของศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี มอบให้เจ้า ทางที่ดีที่สุดคือเอาไปใช้ร่วมกับเวทห้าอสนี”
จางซานเฟิงเห็นว่ากล่องไม้เก่าแก่เหมือนว่าจะธรรมดามาก จึงรับไว้อย่างสบายใจ
ผู้เฒ่าพลันหรี่ตา แต่ก็กลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที ยิ้มถามว่า “เจ้ามีอะไรก็ลองเรียกร้องดู ข้าจะนับถึงสิบ หากเกินเวลาจะไม่รอ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยถ่ายทอดมรรคกถาที่สูงส่งให้กับจางซานเฟิงดีๆ รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วย…ตั้งใจสักหน่อย”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นี่เจ้าด่าคนทางอ้อมนี่นา”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาคว้าจับจางซานเฟิง ร่างของคนทั้งสองหายวับไป เฉินผิงอันค้นพบว่าปราณวิญญาณเบาบางรอบตรอกไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ถามว่า “เอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มตอบว่า “ไปกินข้าวกัน”
—–