ตอนที่ 388.1 อินทรีกระดาษโบยบิน ฝูงนกแตกฮือ

ในเมื่อจะอยู่ในเมืองอีกวันหนึ่ง เฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียนออกไปเที่ยวเล่น เขาซื้อว่าวมู่เย่า (ว่าวรูปนกอินทรี) ที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนให้เผยเฉียนตัวหนึ่งในร้านขายว่าว ราคาไม่ธรรมดา ตอนที่เฉินผิงอันควักเงินจ่าย ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ชี้ไปยังว่าวผีเสื้อกองใหญ่ในร้านที่ราคาถูกกว่า บอกว่าอันที่จริงพวกมันก็สวยมากเหมือนกัน เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน ยิ้มบอกว่าเงินพวกนี้ไม่จำเป็นต้องประหยัด เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาจารย์รู้ดีว่าควรจัดการเช่นไร

ก่อนจะซื้อว่าวมู่เย่า เผยเฉียนที่เห็นมันก็ทั้งชอบและเสียดาย แต่พอซื้อมาแล้วกลับรู้สึกเพียงความลิงโลดดีใจ ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนชว่อ ในมือถือประคองว่าวมู่เย่า ยิ้มจนปากแทบจะฉีกไปถึงรูหู

พาเผยเฉียนไปเยือนทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงมากมายที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือน ไม่ว่าจะเป็นศาลเทพอภิบาลเมือง วัดวาอาราม บ้านโบราณเก่าแก่หลังหนึ่งของอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์ก่อน เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าจึงผ่านพ้นไปอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้

ช่วงเที่ยงตรงเฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง อาหารอร่อยถูกปาก อีกทั้งราคายังประหยัด เพียงแต่เผ็ดไปสักหน่อย เผยเฉียนกินจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เม็ดเหงื่อไหลเข้าตา แต่ก็ยังจ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน

ขณะที่อาหารสามจานบนโต๊ะเหลืออีกไม่เท่าไหร่ เผยเฉียนที่เหงื่อท่วมราวตากฝนก็เช็ดใบหน้าดำเกรียมแรงๆ แล้วก็พลันสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันวางตะเกียบลงแล้ว กำลังมองมาทางตนด้วยรอยยิ้ม เผยเฉียนจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตนกินมูมมามเกินไปหน่อย คราวหลังต้องกินให้สุภาพกว่านี้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าที่ท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกกับเฉินผิงอันอาจทำให้อาจารย์ขายหน้าโดยไม่ทันระวังเอาได้

กลับมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้น เฉินผิงอันก็ช่วยนางเลือกพื้นที่โล่งกว้างของสวนร้อยบุปผา แล้วเผยเฉียนก็เริ่มปล่อยว่าวกระดาษ

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวในศาลา มองเด็กหญิงผอมแห้งวิ่งตะบึง ว่าวกระดาษล่องลอยไปตามสายลม ยกเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งในจำนวนที่เหลืออยู่อีกไม่มากในวัตถุจื่อชื่อขึ้นมาดื่ม จิตใจมั่นคงสงบนิ่ง

เผยเฉียนหันหน้ามาตะโกนถามเสียงดัง “อาจารย์ จะมาเล่นว่าวด้วยกันไหม?”

เฉินผิงอันโบกมือ

เผยเฉียนจึงชักเท้าออกวิ่งต่ออีกครั้ง

สวนดอกไม้ของสวนร้อยบุปผามีบุปผาละลานตาแข่งกันบานสะพรั่ง งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้

ชุยตงซานพาสุยโย่วเปียนเดินมาทางศาลาแห่งนี้ ชุยตงซานคารวะเรียบร้อยแล้วก็นั่งขัดสมาธิบนม้านั่งตัวยาว เอนหลังพิงราวสีชาด แต่สุยโย่วเปียนกลับไม่ได้นั่ง นางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน ข้าคิดว่าจะไปจากที่นี่ เดินทางไปที่สำนักกุยหยกของใบถงทวีปก่อนกำหนด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจ “เดินทางระวังด้วย”

สุยโย่วเปียนรอประโยคหลังจากนั้น เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันเอ่ยสี่คำนี้ก็ดูเหมือนว่าจะพูดทุกอย่างจบแล้ว สุยโย่วเปียนจึงทำหน้าปึ่งชา ทั้งไม่ไปจากศาลา แล้วก็ไม่เปิดปากพูดอะไร คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอัน ปล่อยให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปแบบนั้น

เฉินผิงอันมองชุยตงซาน ฝ่ายหลังพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ รีบใช้กระบี่บินสีทองวาดวงกลมวงใหญ่อยู่นอกศาลา สร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่สกัดกั้นทุกอย่างไว้ข้างนอกขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั้งในและนอกโรงเตี๊ยมลอบมอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างแท้จริง ไม่แน่เสมอไปว่าจะขวางกั้นวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือของพวกเซียนดินไว้ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของชุยตงซานจะสัมผัสได้ แค่สังหารก่อกำเนิดหรือโอสถทองผายลมสุนัขในพื้นที่เล็กๆ อย่างแคว้นชิงหลวนนี้จะเป็นเรื่องยากอะไร? อย่าไม่เห็นนายท่านใหญ่ชุยอย่างเขาเป็นต้นหอมเด็ดขาดเขียว (ต้นหอมมาจากประโยค 你算哪根葱 ของภาษาจีนที่แปลว่า เจ้าคิดว่าเจ้าคือหอมต้นไหน หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร)

เฉินผิงอันถึงได้พูดว่า “สุยโย่วเปียน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดจาตรงไปตรงมาซึ่งค่อนข้างจะทำลายบรรยากาศ ไม่ว่าเจ้าจะชอบฟังหรือไม่ เจ้าก็ต้องฟังให้จบ อันดับแรก กระบี่ชือซินข้าแค่ให้เจ้ายืม เจ้ายังต้องคืน และยังมีแท่นสังหารมังกรแผ่นนั้นที่ต้องคืนเป็นเงินเช่นกัน ข้อสอง เรื่องเข้าไปอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลแคว้นต้าหลี นี่คือเรื่องที่ข้ากับเจ้าตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว ห้ามกลับคำ ดังนั้นก่อนหน้าที่เจ้าจะไปจากแจกันสมบัติทวีป ยังต้องให้ชุยตงซานจัดการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ห้ามจากไปดื้อๆ ทั้งอย่างนี้ ข้อที่สาม ข้าจะเก็บม้วนภาพวาดเอาไว้ แต่หากเจ้าเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไปเป็นผู้ฝึกกระบี่เมื่อไหร่ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองจะช่วยให้เจ้าเดินออกมาจากภาพวาดได้อีกหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากเดินทางลงใต้แล้วยังต้องระมัดระวังตัวให้มาก ห้ามทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด เมื่อไปถึงสำนักกุยหยกก็ต้องยิ่งเก็บความเจ้าอารมณ์ของเจ้าไว้ให้ดี ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่ก็คือการฝึกตน แต่การฝึกตนไม่ใช่แค่ฝึกกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น”

สุยโย่วเปียนมองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้ารับช้าๆ

ชุยตงซานซับหัวตา แสร้งพูดเสียงสะอื้น “ซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากข้าเป็นสตรีที่พอจะมีมโนธรรมในหัวใจบ้างก็คงไม่จากไปแล้ว”

เขาหันหน้าไปมองว่าวที่ลอยอยู่กลางอากาศนอกศาลา “คนบนโลกแค่รู้ว่าเทพเซียนมีอิสระเสรี ข้าเพียงอิจฉายวนยาง ไม่อิจฉาเซียน” (ยวนยางคือนกเป็ดน้ำที่เป็นสัญลักษณ์ของการครองคู่)

เฉินผิงอันและสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่สนใจมุขตลกที่ขัดจังหวะของชุยตงซาน

สุยโย่วเปียนเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันกล่าวอีกครั้งว่า “เตรียมเงินเดินทางไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง? ถือว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน เจ้าต้องไม่มีแน่ ตลอดทางมานี้พวกเจ้าไม่ได้หาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเตรียมถุงเงินไว้ให้เจ้าสองถุงก็แล้วกัน ถุงหนึ่งเป็นเงินธรรมดา อีกถุงหนึ่งเป็นเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยข้าเองก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญแล้ว เงินฝนธัญพืชก็ยิ่งไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว ดังนั้นเจ้าเงินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีปครั้งนี้ย่อมไม่มีโอกาสจะใช้เงินมือเติบอีก ไม่แน่ว่าเรือข้ามฟากตระกูลเซียนและเส้นทางที่เลือกไปยังต้องให้เจ้าคิดคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง ยิ่งไม่อาจพักแรมในห้องที่ราคาแพง จะได้ไม่กลายเป็นว่าเดินทางโดยสารเรือไปได้ครึ่งทางแล้วยังต้องลงมาเดินเท้าอีกครึ่งทาง แบบนั้นย่อมเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ง่าย”

เฉินผิงอันพลันเปลี่ยนความคิด “ดังนั้นเจ้าสามารถไปหาฟ่านเอ้อร์ที่นครมังกรเฒ่าก่อนได้ บอกว่าข้าเป็นคนรับปากเจ้า ให้เจ้ามาขอยืมเงินจากเขา”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “อย่างมากสุดแค่ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช มากสุดห้าเหรียญเท่านั้น!”

มุมปากของสุยโย่วเปียนตวัดขึ้นน้อยๆ ยังคงไม่พูดอะไร

เฉินผิงอันนึกว่านางกำลังยิ้มหยันนิสัยขี้เหนียวของตน จึงพูดเสียงขุ่น “ห้ามต่อรองแล้ว เจ้ายืมเงินจากฟ่านเอ้อร์ได้มากสุดแค่ห้าเหรียญเท่านั้น”

สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ “ตกลง”

ชุยตงซานคิดแล้วก็ตัดสินใจไม่ข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็นพ่อครัว (เปรียบเปรยว่าทำเกินหน้าที่) ทำหน้าที่เป็นกุมารแจกทรัพย์แทนเฉินผิงอัน หากเป็นเรื่องเล็กๆ ลูกศิษย์น่าสงสารที่มีชะตาชีวิตหนีไม่พ้นต้องเป็นถุงเงินอย่างเขาช่วยอาจารย์ควักถุงเงินเหมาจ่ายย่อมไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายเช่นนี้ ปล่อยให้อาจารย์จัดการไปเองจะดีกว่า

แต่ถุงเงินสองถุงก็ยังโผล่มากลางมือของชุยตงซาน เขาโยนมันให้สุยโย่วเปียน จากนั้นหันไปยิ้มพูดกับเฉินผิงอัน “วันหน้าอาจารย์ค่อยคืนให้ข้า”

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใจ

อันที่จริงทั้งเฉินผิงอันและสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่มีนิสัยอืดอาดยืดยาด หลังจากนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรให้พูดกันอีกจริงๆ

สุยโย่วเปียนหมุนตัวเดินไปนอกศาลา ชุยตงซานจึงสลายตราผนึกบ่อสายฟ้าสีทองนั้นไป สุยโย่วเปียนเดินลงบันไดไปตลอดโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ทำเอาชุยตงซานที่มองดูอยู่จุ๊ปาก ช่างเป็นสตรีล้างผลาญแถมยังจิตใจอำมหิตด้านชาจริงๆ

แต่ไม่นานชุยตงซานก็ยิ้มอย่างเข้าใจ หลับตาลง สองมือกำเป็นหมัด เริ่มนับอยู่ในใจ แล้วจึงยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง

สุยโย่วเปียนเดินออกจากศาลาไปแล้วก็ไปหาเผยเฉียน เผยเฉียนรีบเก็บว่าวหันมาพูดคุยกับสุยโย่วเปียน เดี๋ยวก็พยักหน้า เดี๋ยวก็ส่ายหน้า และไม่นานก็วิ่งตะบึงมาที่ศาลา พูดพร้อมหอบหายใจดังฮักๆ “อาจารย์ พี่หญิงสุยบอกว่าอยากให้ท่านไปส่งนางสักระยะทางหนึ่ง แค่หน้าประตูโรงเตี๊ยมก็พอ ไม่ต้องไปส่งไกล”

ชุยตงซานเพิ่งจะนับได้ถึงสิบ สองมือที่กำเป็นหมัดล้วนแบออก หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันรู้สึกว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนทั่วไปจึงเดินเร็วๆ ตามสุยโย่วเปียนที่เริ่มจะจากไปไกล

พอตามไปทันสุยโย่วเปียนแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกัน เมื่อไปถึงประตูโรงเตี๊ยม ด้านหลังก็คือเทพทวารบาลสีสันสดใสสูงเท่าตัวคนสององค์ที่แปะอยู่บนประตูบานใหญ่

สุยโย่วเปียนหยุดเดิน เฉินผิงอันจึงหยุดเดินด้วย

สุยโย่วเปียนไม่ได้หันหน้ามามองเฉินผิงอัน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสะอาดเจิดจ้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็แค่รู้สึกว่าข้าคือตัวภาระ พอข้าบอกว่าจะไป เจ้าก็เลยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยใช่หรือไม่”

เฉินผิงอันหันไปมองใบหน้าด้านข้างของสุยโย่วเปียน ยิ้มกล่าว “อย่าเอาแต่คิดถึงคนอื่นในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุยโย่วเปียนคือหญิงสาวที่งามเพริศพริ้งคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางเวลาที่สีหน้าของนางไม่เย็นชาก็ยิ่งเหมือนดอกราตรีที่บานชั่วข้ามคืน ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงในความงามอย่างยิ่ง

ไม่รู้ว่าสุยโย่วเปียนจะเจอบุรุษที่ถูกใจในยุทธภพหรือไม่ อยู่ในสำนักกุยหยกใบถงทวีปจะกลายไปเป็นคู่บำเพ็ญตนกับใครหรือไม่ แต่คนคนนั้นก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่รูปงามและมีความสามารถพอสมควรกระมัง?

เฉินผิงอันสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าวันหน้าสุยโย่วเปียนจะถูกใจบุรุษแบบใด แล้วก็คาดหวังอย่างยิ่งสำหรับการพบเจอกันครั้งหน้าในแจกันสมบัติทวีป อยากเห็นภาพที่นางยืนเคียงไหล่กับใครบางคนแล้วเอ่ยทักทายตน

พอคิดถึงภาพที่ยากจะจินตนาการได้ถึง แต่ก็น่าสนใจอย่างมากเหล่านี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะอย่างอดไม่อยู่

สุยโย่วเปียนหันหน้ากลับมา ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”

เฉินผิงอันไม่กล้าบอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจ เพราะค่อนข้างจะเสียมารยาทไปสักหน่อย สุยโย่วเปียนเป็นคนหน้าบาง แถมยังเจ้าอารมณ์ อย่าทำให้การจากลาที่ดีกลายเป็นว่าตัวเองถูกสุยโย่วเปียนชักกระบี่แทงจะดีกว่า

เฉินผิงอันจึงกล่าวแค่ว่า “รักษาตัวด้วย”

สุยโย่วเปียนก้าวยาวๆ จากไป ประโยคที่ทิ้งไว้ให้เฉินผิงอันคือถ้อยคำที่ฮึกเหิมแต่น้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอย่างรวดเร็ว”

เดินไปถึงปลายทางของถนนใหญ่ สุยโย่วเปียนหันหน้ากลับมามอง ไม่เหลือเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว เหลือให้เห็นเพียงเทพทวารบาลหลากสีสันสององค์

สุยโย่วเปียนคลี่ยิ้มบางๆ ครั้นจึงจากไป

……

ราวกับนัดหมายกันไว้ สุยโย่วเปียนเพิ่งจะจากไป หลูป๋ายเซี่ยงก็มาอำลา บอกว่าจะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามน้อยใหญ่ทั้งหมดในอาณาเขตแคว้นชิงหลวนซึ่งรวมถึงวัดป๋ายสุ่ยด้วย หลังจากนั้นจะไปเยือนพื้นที่รอบๆ อย่างแคว้นชิ่งซาน แคว้นอวิ๋นเซียว อีกสองสามปีถึงจะไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอันได้

เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องชำเลืองตามองชุยตงซาน ฝ่ายหลังรีบอธิบาย “ไม่เกี่ยวกับศิษย์! หากศิษย์โกหกจะใช้วิชาห้าอสนีผ่าตัวเองให้ตายเลย!”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “ไม่เกี่ยวกับท่านชุยจริงๆ เป็นข้าที่อยากเดินทางท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำและภูเขาเพียงลำพังเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น หวังว่าภายในสามปี นอกจากเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแล้ว ยังสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตเดินทางไกล ทะยานลมเดินทางได้อย่างผู้ฝึกลมปราณ เพื่อสะดวกที่จะมองทัศนียภาพงดงามบนภูเขาให้ถ้วนทั่ว หลังจากนั้นหลูป๋ายเซี่ยงก็จะพึงสำรวมตน ยอมใช้สถานะข้ารับใช้ติดตามและอุทิศตนเพื่อเจ้าแต่โดยดี จนกระทั่งในอนาคตวันใดชีวิตนิ่งสงบจนต้องการการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ค่อยออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ข้างนอกใหม่”

ก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินผิงอันเพิ่งจะเอาเงินธรรมดาและเงินเทพเซียนสองถุงคืนให้กับชุยตงซาน ตอนนี้ต้องควักเงินอีกครั้ง เขาจึงอดพูดอย่างฉุนๆ ปนขบขันไม่ได้ “พูดมาเถอะว่าต้องการยืมเงินค่าเดินทางจากข้าเท่าไหร่?”

หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะร่าเสียงดัง “ไม่ต้องการเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แค่เงินธรรมดาก็พอ”

แต่เฉินผิงอันก็ยังคงมอบถุงเงินสองถุงให้กับหลูป๋ายเซี่ยง “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษเจอกับความยากลำบากได้ เจ้าก็จงรับเงินเกล็ดหิมะถุงนี้ไว้เถอะ เผื่อมีความจำเป็นต้องใช้”

หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ปฏิเสธอย่างเกรงใจ เขารับเงินมา แล้วพลันเอ่ยเย้ยตัวเอง “หากข้าแค่ออกจากประตูก็ต้องไปตายอยู่ข้างนอก จะไม่น่ากระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้มีนิสัยขี้หงุดหงิดฉุนเฉียว ทั้งสองอย่างนี้มากพอจะทำให้เจ้าท่องอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างไม่ต้องกริ่งเกรงใครแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าวลา “ถ้าอย่างนั้น ไว้พบกันใหม่?”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ไว้พบกันใหม่”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ที่นี่คือใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อย่าสร้างลัทธิมารอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”

ชุยตงซานพูดขัดคอขึ้นว่า “หลูป๋ายเซี่ยงไม่ใช่ตระกูลเซียนบนภูเขาสักหน่อย การก่อตั้งลัทธิหรือสร้างสำนักในยุทธภพไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไร”

เผยเฉียนพลันตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวป๋าย เจ้ารอข้าสักเดี๋ยว”

เผยเฉียนหมุนตัวกลับ ควักถุงเงินหอมที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ออกมา หยิบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญออกมาจากด้านใน แล้ววิ่งมาหยุดตรงหน้าหลูป๋ายเซี่ยง “เสี่ยวป๋าย ยื่นมือมา”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มพลางแบมือออก

เผยเฉียนตบเงินเกล็ดหิมะลงบนฝ่ามือของหลูป๋ายเซี่ยงหนักๆ พูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวป๋าย ข้ามอบให้เจ้า ของขวัญไม่เบา แต่น้ำใจหนักยิ่งกว่า!”

หลูป๋ายเซี่ยงกำเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นเอาไว้ สำหรับผีซิวน้อย (หรือปี่เซียะ คือสัตว์ดุร้ายที่กล่าวถึงในหนังสือโบราณ เชื่อกันว่าปี่เซียะเป็นลูกตัวที่ 9 ของมังกร ปีเซียะให้ความหมายในทางความกล้าหาญ การปกป้องคุ้มภัย และการต่อสู้เพื่อจะให้ได้มาซึ่งชัยชนะ) ตนนี้ ให้นางเป็นฝ่ายควักเงินเทพเซียนเหรียญหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังยกให้เลย ไม่ใช่ให้ยืม ถือว่าเป็นน้ำใจที่ไม่เบาเลยจริงๆ หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วางใจเถอะ หลายปีที่ข้าท่องอยู่ในยุทธภพนี้จะช่วยหมายตาของดีๆ ไว้ให้เจ้า ดูว่าจะช่วงชิงมาได้หรือไม่ ครั้งหน้าที่พบกันจะต้องนำมามอบให้เจ้าเป็นของขวัญพบหน้าอย่างแน่นอน”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เที่ยวเล่นก็ส่วนเที่ยวเล่น ห้ามให้เป็นตัวถ่วงการฝึกวรยุทธ์เด็ดขาด เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์คือการล่องเรือทวนกระแสน้ำ หากไม่บุกไปข้างหน้าย่อมถอยหลังกลับ ต้องเรียนรู้จากข้า คัดตำรา ฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่วิชาดาบทุกวันอย่างมุมานะและอุตสาหะ นกโง่ต้องหัดบินก่อน!”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มแล้วยื่นมือออกมา “รู้แล้วน่า”

เผยเฉียนหลบฝ่ามือของเขาที่จะลูบศีรษะของนางได้อย่างว่องไว พูดบ่นว่า “เดี๋ยวตัวไม่สูง”

จากนั้นนางก็รีบหันไปส่งยิ้มกว้างให้เฉินผิงอัน “แต่อาจารย์ลูบหัวข้าได้ ไม่เป็นไร”

หลูป๋ายเสียงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ สุดท้ายหันไปมองเทพเซียนหนุ่มชุดขาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชุยตงซานยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา บอกให้หลูป๋ายเซี่ยงเก็บคำพูดไว้ในท้องดังเดิม “บุรุษอย่างพวกเราอย่าทำตัวอืดๆ อาดๆ ร่ำไรอยู่เลย”

หลูป๋ายเซี่ยงจึงจากไปอย่างสง่างาม

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset