ตอนที่ 389.1 เดินท่องไปสี่ทิศ

หลังจากชุยตงซานจากไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็บอกให้ชายฉกรรจ์หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งมาหาเฉินผิงอันที่โรงเตี๊ยม เขาแสดงแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีเพียงสายลับตระกูลเซียนของต้าหลีเท่านั้นถึงจะสามารถพกพาให้เฉินผิงอันดู

สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ แต่ในใจกลับเกือบจะระเบิดไฟโทสะ ต้องรู้ว่าครั้งที่ถูกคนเล่นงานอย่างอำมหิตมากที่สุดตอนอยู่ในใบถงทวีปก็คือครั้งที่ได้รับแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง โดนงูกัดครั้งเดียวก็กลัวเชือกไปสิบปี อีกทั้งบนแผ่นหยกทั้งสองชิ้นต่างก็มีคำว่า ‘ไท่ผิง’ (สงบสุข) เหมือนกันอีกด้วย เฉินผิงอันจึงรู้สึกหวาดผวาอย่างเลี่ยงไม่ได้

สายลับต้าหลีที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นชิงหลวนมานานหลายปีผู้นี้สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ต้องมีครบถ้วนทั้งสามอย่าง ความสามารถสูง สามารถฆ่าคนแล้วก็สามารถหนีเอาชีวิต มีสติปัญญาแข็งแกร่ง อดทนต่อความเงียบเหงา แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ได้ ต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อต้าหลีหลายปีหรืออาจหลายสิบปี อีกอย่างหนึ่งก็คือจำเป็นต้องเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นหมากตายที่ไม่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา ความหมายย่อมไม่มาก

ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจับอารมณ์ประหลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเซียนซือหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ครั้งนี้เขาปรากฏตัวและเดินเข้ามาในสวนร้อยบุปผาอย่างโจ่งแจ้ง หลังจบเรื่องก็ต้องคลี่คลายปัญหาอีกไม่น้อย ช่วยไม่ได้ สถานะของใต้เท้าผู้นั้นน่าตกใจเกินไป เข้ามาในเมืองที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ตรงดิ่งมาหาเขาถึงที่ ยังแสดงตราพยัคฆ์ซิ่วหู่ที่ระดับขั้นสูงสุดให้เขาดู นั่นคือตราที่สามารถเรียกใช้สายลับและนักรบเดนตายทุกคนที่อยู่นอกราชวงศ์ต้าหลีได้

องค์กรสายลับของต้าหลี ช่วงแรกเริ่มสุดมีสามกองกำลังที่เป็นดั่งกระถางสามขา (เปรียบเปรยถึงกองกำลังสามฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน) หนิวหม่าหลัน ถงเหรินเผิ่งลู่ไถ ศาลาคลื่นมรกต ราชครูซิ่วหู่ อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และเหนียงเนียงในวังหลังท่านนั้น ต่างคนต่างยึดครองพื้นที่แถบหนึ่ง เมื่อไม่กี่ปีก่อนเหนียงเนียงผู้ดูแลศาลาคลื่นมรกตไปสร้างกระท่อมฝึกตนบนภูเขาเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงกะทันหัน ถอยออกไปจากจุดศูนย์กลางของต้าหลี ศาลาคลื่นมรกตตกเป็นของราชครู ภายหลังเมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ แม้แต่เผิ่งลู่ไถของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็ยังยกให้ราชครูเป็นผู้ดูแลไปพร้อมกันด้วย ตอนนี้ซิ่วหู่ชุยฉานจึงเรียกได้ว่ากุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง

ชายฉกรรจ์ใช้ภาษาทางการต้าหลีที่ไม่ได้พูดมานานบอกกล่าวคำสั่งที่ใต้เท้าคนนั้นฝากเขามาบอกแก่เฉินผิงอัน

ที่แท้วัวดินสีเหลืองที่ซ่อนตัวอยู่นอกเมืองตัวนั้นตัดสินใจจะติดตามชุยตงซานเดินทางไกล และชุยตงซานก็จะมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตัวนี้ ช่วยให้มันสร้างโอสถทองได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีความหวังสูงมาก

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ เอ่ยถามว่า “ขอถามท่านหน่อยว่าป้ายปลอดภัยบนมือท่านแผ่นนี้มีขอบเขตเท่าใด?”

ชายฉกรรจ์ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “เรียนคุณชาย คือขอบเขตสองขั้นสูง ข้าน้อยละอายใจที่รับไว้ ใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง”

เกี่ยวกับระดับขั้นสูงต่ำของป้ายสงบสุขปลอดภัยนี้ เดิมทีเป็นความลับที่ไม่เล็ก เพียงแต่ว่าใต้เท้าผู้นั้นบอกกับตนว่าหากอีกฝ่ายถามอะไรก็ให้ตอบไป ชายฉกรรจ์จึงไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน ส่งเงินถุงหนึ่งมาให้อย่างนอบน้อม “ใต้เท้าท่านนั้นยังสั่งให้ข้าน้อยมอบของสิ่งนี้ให้คุณชาย บอกว่าเป็น ‘ของแสดงความขอบคุณ’” (หมายถึงของที่ให้เป็นสินน้ำใจแทนค่าสอนของอาจารย์ในโรงเรียน หากบางครอบครัวยากจนก็จะให้ของกินแก่อาจารย์ผู้สอนแทน)

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนรับถุงเงิน…เหรียญทองแดงมา ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเอามันวางลงบนโต๊ะ กุมหมัดพูดกับสายลับต้าหลีท่านนี้ว่า “รบกวนให้ท่านต้องเดินทางมาเองแล้ว หวังว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่าน”

ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม อันที่จริงมีประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาอุทิศชีวิตทำงานรับใช้ต้าหลี เดิมทีนี่ก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว จึงกุมหมัดคารวะกลับคืน “คุณชายเกรงใจแล้ว”

หลังจากที่ชายฉกรรจ์จากไป เฉินผิงอันก็เปิดถุงผ้าฝ้ายธรรมดาใบนั้นออกดู เทเหรียญทองแดงออกมา เหรียญทองแดงกองกันเป็นพะเนินเล็กๆ ไม่รู้ว่าชุยตงซานคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือว่านี่เป็นแค่ของขวัญกราบไหว้อาจารย์ที่ศิษย์จะมอบให้ตอนเข้าเรียนจริงๆ?

เผยเฉียนบ่น “ชุยตงซานนี่ก็จริงๆ เลย หากไม่ใช่เงินร้อนร้อยก็น่าจะเป็นเงินเกล็ดหิมะก็ได้นี่นา เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้อย่างไร ขี้เหนียวขนาดนี้”

เฉินผิงอันเห็นว่าทั้งถุงเงินและเงินเหรียญทองแดงน่าจะไม่มีความลี้ลับอะไรจริงๆ กลับรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บมันลงไปในวัตถุจื่อชื่อที่มีพื้นที่มากกว่า แต่เก็บไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างกระบี่บินสืออู่

เฉินผิงอันยกยิ้มพลางลูบศีรษะของเผยเฉียน เด็กหญิงผิวดำดุจถ่านยิ้มตาหยี

คล้ายแมวน้อยตัวหนึ่ง

หลังจากนั้นเผยเฉียนก็เริ่มคัดตัวอักษร แต่ละขีดแต่ละเส้น พิถีพิถันตั้งใจ ความเคยชินทำให้การกระทำเป็นไปตามธรรมชาติ ทุกวันนี้หากวันไหนไม่ให้นางคัดตัวอักษร นางกลับรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว

ส่วนเฉินผิงอันก็เดินวนรอบโต๊ะฝึกท่าหมัดที่ในคำอธิบายป่าวประกาศว่าจะสอนให้ฟ้าดินพลิกหมุน ต่อให้ท่วงท่าจะแปลกประหลาดสักเท่าไหร่ คนที่อยู่ข้างๆ เห็นนานวันเข้าก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไป

ยามสนธยาของวันนี้ จูเหลี่ยนมาที่ห้องของเฉินผิงอัน เห็นว่าเผยเฉียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งถือนิยายจอมยุทธ์ที่เขามอบให้นาง อีกมือหนึ่งออกกระบวนท่าตามที่บรรยายไว้ในตำรา ปากก็ร้องฮึ้ยๆ ฮ่าๆ เฉินผิงอันนั่งลงแล้ว ข้างมือเขาที่อยู่บนโต๊ะวางตำราของสำนักนิติธรรมที่ยังเปิดอ้าเอาไว้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “นายน้อยขยันขันแข็งในทุกเรื่องจริงๆ ใต้หล้าไม่มีอะไรยาก กลัวแต่จะแพ้ทางคนตั้งใจ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้น่าจะพูดให้นายน้อยฟังโดยเฉพาะ”

คนสี่คนในม้วนภาพวาด แม้จะบอกว่าตอนแรกที่เดินออกมา หรือแม้กระทั่งจนถึงบัดนี้ ต่างคนต่างยังมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่หากโยนเรื่องนี้ทิ้งไปไม่ต้องพูดถึง เดินทางร่วมกันมาตั้งแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปจนมาถึงแคว้นชิงหลวนแจกันสมบัติทวีป ร่วมเป็นร่วมตาย รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าวันเดียวสุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็พากันเดินทางจากไป เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าหลังค่อมตรงหน้าผู้นี้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่กลัดกลุ้มทุกข์ใจเลย ย่อมต้องเป็นการโกหกตัวเองอย่างแน่นอน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาออกมาสองกา คนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันดื่มกันไปคนละกา

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เหตุใดนายน้อยไม่เคยถามบ่าวเฒ่าว่าทำอย่างไรถึงก้าวออกไปบนวิถีวรยุทธ์ได้ถึงสองก้าวใหญ่?”

หากเป็นก่อนที่ชุยตงซานจะวาง ‘หมากนอกหมาก’ กระดานนั้นจบ เฉินผิงอันอาจจะตรึกตรองชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง หรือบางทีอาจจะแค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาไม่กี่อึกแล้วก็ไม่คิดจะสนใจวางแผนทำอุบายอะไรอีก แต่เวลานี้เขายิ้มกล่าวว่า “ใครบ้างที่จะไม่มีเรื่องในใจและความลับที่เก็บไว้ก้นกรุ ไม่ยินดีเอาออกมาตากแดดให้คนอื่นได้เห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก ข้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ขอแค่ไม่มีใจคิดจะทำร้ายคนอื่น อยากเก็บไว้ก็เก็บไว้เถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะ…เหมือนเหล้าหมักกุ้ยฮวาในมือพวกเราที่ ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งหอมหวาน”

จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าในมือ ยิ้มกว้างพูดว่า “แต่ในเมื่อนายน้อยยินดีมอบเหล้ากานี้มาให้ บ่าวเฒ่าก็ยินดีเอาออกมาดื่มอย่างสบายใจ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ล้วนเป็นเหล้า ดื่มก่อนเพื่อเป็นการเคารพ นายน้อย เอาหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกกาเหล้าชนกับกาของจูเหลี่ยน แล้วต่างคนก็ต่างดื่มอีกอึกใหญ่ ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่น้ำลายไหล นางเคยลิ้มรสเหล้าหมักกุ้ยฮวามาก่อน คราวก่อนตอนกินอาหารฉลองวันปีใหม่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันรินให้นางจอกเล็กๆ หวานมาก อร่อยสุดๆ ไปเลย

จูเหลี่ยนเช็ดปาก “นายน้อยยังจำผู้อาวุโสแซ่สวินคนนั้นได้กระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จูเหลี่ยนยิ้ม “บ่าวเฒ่าฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ของขอบเขตหก เลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองตามหลังสุยโย่วเปียนไปติดๆ เป็นเรื่องที่น้ำมาคลองสำเร็จ นายน้อยไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจแม้แต่น้อย แต่ภายหลังบ่าวเฒ่าแอบเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ นี่เป็นเพราะการป้อนหมัดของเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า รบตายไปหนึ่งครั้งในนครมังกรเฒ่า คำชี้แนะคลายปริศนาของผู้อาวุโสสวิน รวมไปถึงครั้งสุดท้ายที่เขาช่วยดึงบ่าวเฒ่าขึ้นไป บวกกับที่วิธีการเรียนวรยุทธ์ของตัวบ่าวเฒ่าเองไม่เหมือนกับพวกสุยโย่วเปียนสามคน หลายอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกัน ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว หาใช่ว่าบ่าวเฒ่าหลงตัวเอง แต่วิถีวรยุทธ์ที่บ่าวเฒ่าเลือกเดิน แม้ว่าจะบรรลุมาได้จากสถานที่เล็กๆ อย่างพื้นที่มงคลดอกบัว แต่รากฐานของมันก็มีแค่สี่คำเท่านั้น สั่งสมมากใช้ทีละน้อย จึงคิดว่าเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลที่มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย มีเทพเซียนบินชนกันให้วุ่นวายก็ไม่ได้แย่กว่าเลย”

“บ่าวเฒ่าจะลองต่อยกระบวนท่าหมัดท่าหนึ่ง นายน้อยลองดูว่าจะมองต้นสายปลายเหตุออกหรือไม่”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยุดอยู่บนพื้นที่ว่างระหว่างโต๊ะกับประตูห้อง คนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่เดิมทีร่างเล็กเตี้ยหลังโก่งงอ ปณิธานหมัดดูคล้ายหละหลวมห้อยตกยกไม่ขึ้น บัดนี้ร่างของเขายิ่ง ‘ม้วนขด’ ทั้งมือ เท้า หลัง ไหล่และเอวล้วนเป็นเช่นนี้ ทำให้คนมองรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง เผยเฉียนมองไปแล้วก็รู้สึกว่าจูเหลี่ยนยิ่งตัว ‘เล็ก’ ลงกว่าเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าตัวเตี้ยที่เวลาปกติเกียจคร้านไม่ชอบทำอะไรแล้ว การหดตัวครั้งนี้กลับดูเหมือนจะระเบิดทั้งพละกำลังและปณิธานหมัดออกมาอย่างเต็มที่

ลักษณะเหมือนวานร

ร่างของจูเหลี่ยนบิดหมุน ย่างก้าวแปลกประหลาด มองดูเหมือนออกหมัดอย่างง่ายๆ โครงกระดูกหุบเข้าหากัน เพียงแต่ว่าวินาทีที่โครงกระดูกคลายตัวออกในบางครั้งกลับมีปณิธานหมัดที่เป็นดั่งสายฟ้าหนักหมื่นชั่งไหลพรั่งพรูออกมา

เผยเฉียนรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตา

เฉินผิงอันทอดถอนใจด้วยความชื่นชมอยู่ในใจไม่หยุด คนบ้าคลั่งวรยุทธ์เอ๋ยคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ ช่างมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเสียจริง ไม่เสียแรงที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวก่อนหน้าติงอิง หลังจากผ่านศึกเป็นตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็มั่นใจแล้วว่า หากเป็นการต่อสู้ตัดสินเป็นตายแบบตัวต่อตัว ภายใต้เงื่อนไขที่ขอบเขตเท่าเทียมกัน คนทั้งสี่ในภาพวาดที่จะรอดชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้าย มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะเป็นจูเหลี่ยนผู้นี้

เขาถึงขนาดเอาสัจธรรมแห่งดาบและกระบี่ของวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบที่นักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงถ่ายทอดให้เผยเฉียนตอนอยู่ในเรือนหลังร้านยามาเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง

แน่นอนว่าในเรื่องนี้จูเหลี่ยนยังมีข้อได้เปรียบก่อนกำเนิดที่เป็นดั่งหอเรือนใกล้น้ำ (เปรียบเปรยว่าได้รับผลประโยชน์เนื่องจากอยู่ใกล้) ด้วย เพราะวิชาหมัดและวรยุทธ์ของจูเหลี่ยน เมื่อเทียบกับพวกสุยโย่วเปียนสามคนแล้วถือว่าใกล้เคียงกับจิงชี่เซินของเวทดาบวิชากระบี่ที่หวงถิงถ่ายทอดให้มากที่สุด

ทว่าจูเหลี่ยนแค่มองดูหวงถิงไม่กี่ครั้งก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนทั้งภาพลักษณ์และจิตวิญญาณเช่นนี้ อีกทั้งยังกลมกลืนเข้ากับปณิธานหมัดของตัวเอง สายตาและฐานกระดูกนี้ของจูเหลี่ยน เฉินผิงอันจำต้องยอมศิโรราบด้วยความนับถือจริงๆ

จูเหลี่ยนหยุดกระบวนท่าหมัด ยิ้มกล่าวว่า “นายน้อยมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก”

เผยเฉียนรู้สึกนับถือไม่น้อย

พ่อครัวผู้เฒ่าเจ้าก็เอาแต่พอดีเถอะ คำประจบแบบนี้ก็พูดออกมาจากปากได้ด้วยหรือ? อาจารย์ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ

จูเหลี่ยนหุบยิ้ม สีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “ทางสายนี้คล้ายคลึงกับการอาศัยกระบี่บินทะยานของสุยโย่วเปียน มีแต่จะพบจุดจบอันน่าสังเวช ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนย้อนกลับ ดังนั้นแม้กระทั่งตาย บ่าวเฒ่าก็ยังไม่ได้ยินเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ผ่าเปรี้ยงลงมา ทว่าเมื่อไปอยู่บ้านเกิดของนายน้อยกลับไม่มีเมืองหน้าด่านที่ตีไม่แตกอีกแล้ว”

เฉินผิงอันชื่นชมจากใจจริง “แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าจูเหลี่ยนยืนอยู่สูง มองเห็นได้ไกลมากพอ”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เพียงแต่ว่าเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกันสองครั้ง รากฐานขอบเขตเจ็ดจะไม่แน่นหนามากพอหรือเปล่า?”

จูเหลี่ยนถอนหายใจ พยักหน้ารับ “เมื่อเทียบกับระดับความแข็งแกร่งของขอบเขตหกแล้ว ขอบเขตร่างทองของข้าธรรมดามากจริงๆ”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แต่ว่าไม่เป็นไร ผู้อาวุโสสวินเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทุกคนในแจกันสมบัติทวีปซึ่งมองดูเหมือนจะมีอนาคตยาวไกล หากยังทำตัวอืดอาดยืดยาด ถ้าอย่างนั้นแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่แห่งความเสียใจของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดแปดทุกคน ถือว่าชีวิตนี้ไม่มีความหวังยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากเดินให้เร็วสักหน่อย ก้าวให้ยาวสักหน่อย พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าให้ได้โดยเร็วที่สุด ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนหลังจากนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนขอบเขตเดียวกันแล้วจะกลายมาเป็นเหมือนขอบเขตเก้าอ่อนด้อยในบรรดานักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นหรือไม่ ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าหยุดอยู่ที่ขอบเขตแปดไปตลอดชีวิต”

เฉินผิงอันใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบู๊ของอำเภอ ชุยตงซานใช้วิชาอภินิหารทำให้ชะตาบู๊ของแคว้นชิงหลวนปรากฏ ดังนั้นคำพูดของจูเหลี่ยนใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด ภัยแฝงอย่างเดียวก็คือตัวจูเหลี่ยนเองก็มองเห็นความจริงอย่างกระจ่างชัดแล้วว่า หากวันใดวันหนึ่งได้เลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงสุดว่าทางสายขาดนี้จะขาดอยู่บนขอบเขตเก้า ไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริงแล้ว อีกอย่างก็คือในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้นั้นก็มีแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนด้อยและสูงต่ำ หากเปิดฉากสังหารกันขึ้นมา อาจเทียบกับการประชันฝีมือของขอบเขตเก้าวงการหมากล้อมที่สามารถใช้วิธีการอันยอดเยี่ยมมาพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะหากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ารากฐานไม่ดีมาเจอกับคนที่รากฐานดีก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

ตามคำบอกของเจิ้งต้าเฟิง ตอนนั้นก่อนที่ซ่งจ่างจิ้งจะไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากไม่เป็นเพราะได้รับคำชี้แนะอย่างลับๆ จากหยางเหล่าโถว หลี่เอ้อร์ก็อาจจะถูกซ่งจ่างจิ้งที่เป็นขอบเขตเก้าเหมือนกันต่อยตายไปแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “มาก่อนได้ก่อน อยู่ในกระเป๋าแล้วสบายใจ เป็นทางสายหนึ่งที่ถือว่าพอเดินผ่านไปได้”

จูเหลี่ยนยิ้ม “แน่นอนว่าบ่าวเฒ่าอยากเป็นขอบเขตสิบของวิถีวรยุทธ์ในตำนาน แต่กลับไม่กล้าดูแคลนขอบเขตเก้าแม้แต่น้อย ตอนอยู่ร้านยาฮุยเฉิน เจิ้งต้าเฟิงคนเดียวเล่นงานคนสี่คน ช่วยป้อนหมัดให้ อันที่จริงพวกเราทั้งสี่คน มีใครบ้างที่ไม่เก็บกลั้นโทสะไว้ในท้อง เพียงแต่ว่าฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ก็ต้องยอมรับ พวกเราสี่คนยังพอจะมีน้ำใจและจิตใจนี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเจิ้งต้าเฟิงต้องดูแคลนพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเรา ไม่แน่ว่านายน้อยเองก็ด้วย”

เฉินผิงอันพูดอย่างสะท้อนใจ “ข้าเองก็ถือว่าเป็นคนของพื้นที่มงคลดอกบัวครึ่งตัว เพราะช่วงเวลาที่ข้าอยู่ที่นั่นไม่ใช่สั้นๆ น่าจะพอๆ กับเอาอายุของพวกเจ้าสี่คนมารวมกัน เพียงแต่ว่าก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด เท้าเดินได้เร็ว ก้าวได้ยาว ก็แค่ตอนนั้นข้ายังสัมผัสกับการไหลหายไปของกาลเวลาได้ไม่ลึกซึ้งเท่านั้น”

จูเหลี่ยนกล่าว “นายน้อยคือลูกรักแห่งสวรรค์ที่เจอแต่ความโชคดี มีโชควาสนาเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว…”

เผยเฉียนพลันพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าผายลม!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset