ตอนที่ 391.1 ตระกูลสูงส่ง นักพรตมีดอาคม

บนถนนทางหลวงมีรถม้าคันใหญ่ประดับประดาอย่างหรูหรา บ้างก็เป็นคนลักษณะประหลาดที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีสันฉูดฉาด นอกจากเผยเฉียนที่ยังไม่ค่อยรู้ความซึ่งมองออกแค่ว่าคนเหล่านี้มีเงินแล้ว สายตาของพวกเฉินผิงอันสามคนมีแต่จะดียิ่งกว่าคนส่งธูปผู้นั้น ผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางมาท่องเที่ยวในแคว้นชิงหลวนในเวลานี้ ยินดีเข้ามาเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้มีอยู่มากมายจริงๆ

คิดว่าเผยเฉียนคงจะยังเสียดายเงินเกล็ดหิมะที่ใช้เชิญธูปและเขียนตัวอักษร จึงยังไม่คืนสติกลับมา ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แน่นอนว่ายังน่าจะเป็นเพราะละอายใจที่ตัวเองเขียนตัวอักษรได้แย่ที่สุด

คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้หาเรื่องแกล้งเผยเฉียน

ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางกันมาจึงค่อนข้างจะเงียบสงบ นี่กลับทำให้สือโหรวรู้สึกไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่

จากเส้นทางเดิมที่วางแผนกันไว้ พวกเขาจะไม่เดินทางผ่านสวนสิงโตที่มีปีศาจจิ้งจอกก่อกวนแห่งนั้น ตอนที่อยู่ตรงทางแยกซึ่งสามารถผ่านไปยังสวนสิงโตได้ เฉินผิงอันเดินตรงดิ่งไปยังเมืองหลวงอย่างไม่มีความลังเลใดๆ นี่ทำให้สือโหรวเหมือนยกภูเขาออกจากอก หากไปเจอกับเจ้านายที่มีนิสัยเอาแต่ใจ ชอบทวงคืนความเป็นธรรมให้กับคนทั้งโลก นางคงร้องไห้ตายแน่

ในฐานะที่สวนสิงโตคือจวนที่พักอาศัยส่วนตัวของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว ที่นั่นคือสวนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในทิศตะวันตกเฉียงใต้ชานเมืองหลวง ตระกูลหลิ่วคือตระกูลผู้มีความรู้ที่เป็นขุนนางกันมาหลายรุ่นหลายสมัย สวนสิงโตถูกคนสกุลหลิ่วหลายรุ่นช่วยกันก่อสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หาใช่เพิ่งมาเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในรุ่นของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วรุ่นเดียวไม่ ดังนั้นหากกล่าวถึงคำว่าซื่อสัตย์และสุจริต จึงไม่อาจหาคำวิจารณ์ใดสำหรับสกุลหลิ่วได้เลย

เคยมีคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นตั้งใจไปรวบรวมบทความกวีนิพนธ์ที่คนแต่ละยุคสมัยบรรยายถึงทัศนียภาพของสวนสิงโตมาโดยเฉพาะ หลังจากนำมารวบรวมเป็นเล่มแล้วก็นำมาจัดพิมพ์อย่างงดงาม ว่ากันว่าร้านหนังสือแต่ละแห่งขายดิบขายดีไม่น้อย

เพียงแต่ว่าหลังจากพวกเขาเดินออกไปได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ คนส่งธูปของศาลพ่อปู่ลำคลองกลับตามมามอบของสองชิ้นให้ บอกว่าเป็นความต้องการของคนเฝ้าศาล หนึ่งคือกระบอกธูปที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งแกะสลักอย่างประณีตงดงาม ดูจากขนาดแล้ว ด้านในน่าจะบรรจุธูปน้ำเอาไว้ไม่น้อย อีกชิ้นหนึ่งก็คือหนังสือรวมผลงานของสวนสิงโตเล่มนั้น

เฉินผิงอันไม่ได้รับของตอบแทนจากศาลพ่อปู่ลำคลองทันที แต่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถูไปบนน้ำเต้าลี้ยงกระบี่ตรงเอว

ชายฉกรรจ์พูดอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าจริงใจ “ข้ารู้ว่าทำเช่นนี้สร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น แต่บอกตามตรง หากสามารถเป็นไปได้ ข้าก็ยังหวังว่าคุณชายเฉินจะไปเยือนสวนสิงโตสักครั้ง หนึ่งเพราะปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไม่ทำร้ายคน เทพเซียนแต่ละฝ่ายที่เดินทางไปปราบปีศาจที่นั่น ทุกคนล้วนไม่มีอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างก็คือหากคุณชายเฉินไม่ยินดีจะลงมือ แต่ไปเที่ยวชมทัศนียภาพของสวนสิงโตก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน ถึงเวลานั้นก็ค่อยดูว่าท่านอยากจะลงมือหรือไม่”

จูเหลี่ยนแค่นเสียงหยันเย็นชา “ทำไม เจ้าคิดจะใช้คำว่าคุณธรรมมากดข่มนายน้อยของข้างั้นรึ?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มเจื่อน “ข้าหรือจะกล้าได้คืบแล้วเอาศอก และยิ่งไม่ยินดีทำเช่นนี้ แต่เป็นเพราะได้พบกับคุณชายเฉินแล้วไพล่นึกไปถึงบัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้น ก็ให้รู้สึกว่าพวกท่านสองคนมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันอย่างผิวเผินก็น่าจะพูดคุยกันถูกคอ ได้ยินว่าบุตรอนุภรรยาสกุลหลิ่วผู้นี้ เพื่อประโยคว่า ‘ที่ใดมีปีศาจและมารออกอาละวาด ย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อของเทียนซือ’ ในตำราแล้ว ถึงขนาดออกเดินทางไกลไปตามหาเซียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์โดยเฉพาะ ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ไปถึงแคว้นชิ่งซานก็เจอกับหายนะแล้ว ตอนที่กลับมากลายเป็นคนขาพิการ เส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่ยาวไกลจึงขาดสะบั้นลงตั้งแต่นั้น”

เฉินผิงอันพลันยื่นมือไปรับกระบอกธูปและตำรามาจากมือชายฉกรรจ์ พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าบอกได้แค่ว่าจะลองไปดู แต่ไม่รับปากว่าจะต้องลงมือ”

ชายฉกรรจ์กุมหมัดคลี่ยิ้ม “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด!”

แล้วคนส่งธูปผู้นี้ก็ย้อนกลับไปยังศาลพ่อปู่ลำคลองอีกครั้ง ไม่ได้พูดว่าจะนำทางพาเฉินผิงอันไปเยือนสวนสิงโตอะไร

จูเหลี่ยนพูดเยาะหยัน “แค่คนทำการค้าที่ได้ผลประโยชน์เท่าหัวแมลงวันคนหนึ่ง ไม่รู้จักขยันหาเงินให้ดี เอาแต่แสร้งทำตัวมีน้ำใสใจจริงเลียนแบบพวกจอมยุทธ์ ไร้สาระจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น้ำใสใจจริงไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนแบบใด”

สือโหรวสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับเคียดแค้นศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนั้นแทบตายอยู่แล้ว

คนทั้งกลุ่มจำเป็นต้องย้อนกลับไปทางเก่าเป็นระยะทางหนึ่งลี้กว่า จากนั้นก็เดินแยกออกจากทางหลวง ตรงไปยังสวนสิงโต

เผยเฉียนถามขึ้นเบาๆ “อาจารย์ พอไปถึงสวนสิงโตแห่งนั้น ข้าแปะยันต์บนหน้าผากได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยเตือนว่า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่จำไว้ว่าต้องแปะยันต์ปราณหยางส่องไฟ อย่าแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าอาจารย์ไม่อยากลงมือก็ต้องลงมือแล้ว”

เผยเฉียนตอบรับเสียงดัง

เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อกลัวขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ห้ามอาจารย์ไม่ให้ไปสวนสิงโตเสียเลยล่ะ?”

เผยเฉียนงันไป ก่อนจะยิ้มกว้างสดใส “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรสอดปาก”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ตบศีรษะเล็กๆ ของนางเบาๆ

จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “จอมยุทธ์หญิงเผยใช้ได้เลยนี่นา ความสามารถในการประจบสอพลอไร้เทียมทานแล้วจริงๆ”

เผยเฉียนแค่นเสียงเย็น “ใกล้หมึกเปื้อนดำ ก็ไม่ใช่เพราะเรียนรู้มาจากเจ้าหรือไร อาจารย์ไม่เคยสอนข้าเรื่องพวกนี้!”

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นสีครามที่เกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าครามแล้ว”

เผยเฉียนกุมหมัดพูดยอกย้อนตอบกลับด้วยท่าทางเหมือนคนแก่ “มิกล้าๆ เทียบกับความสามารถในการประจบประแจงของผู้อาวุโสจูแล้ว ข้าผู้น้อยยังห่างชั้นไกลนัก”

จูเหลี่ยนกุมหมัดคารวะกลับคืน “ใช่เสียเมื่อไหร่ เด็กรุ่นหลังมักเก่งกาจกว่าคนรุ่นเก่า”

มีหนึ่งแก่หนึ่งเด็กคู่นี้ปะทะคารมโต้เถียงกันไปมา การเดินทางไปสวนสิงโตจึงผ่อนคลาย ไร้ทุกข์ไร้กังวล

ขยับเข้าใกล้สวนสิงโตที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา หากไม่นับลำธารเส้นเล็กและถนนดินเหลืองแคบๆ เส้นนั้น อันที่จริงก็เรียกได้ว่ารอบด้านรายล้อมไปด้วยภูเขา

เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “หากรู้ตั้งแต่แรกก็น่าจะยืมป้ายสงบสุขปลอดภัยมาจากชุยตงซานสักแผ่น”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ใช่เพิ่งปักหลักอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ? แถมยังมีสำนักศึกษากวานหูคอยคุมเชิงอยู่ จะเคลื่อนทัพลงใต้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ ไม่อย่างนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกับเรื่องที่นครมังกรเฒ่ามากถึงเพียงนั้น แถมยังต้องเชื้อเชิญตู้เม่ามาจากสำนักใบถง นี่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดไม่ต่างจากชักศึกเข้าบ้าน ง่ายที่จะทำให้ผู้คนในแจกันสมบัติทวีปเกิดความแค้นร่วมกัน ในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว การที่กองกำลังซึ่งปกครองดินแดนของตัวเองเลือกตักตวงผลประโยชน์ตรงหน้า แล้วสุดท้ายสูญเสียรากฐานในการหยัดยืนของแคว้นไป มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”

เฉินผิงอันเอ่ยอธิบาย “อันที่จริงนี่ไม่ค่อยเหมือนกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวสักเท่าไหร่ ต้าหลีคิดฮุบกลืนพื้นที่หนึ่งทวีปเป็นแผนการที่มั่นคงและแข็งแกร่งกว่ามากนัก ถึงได้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบที่ควบคุมทุกอย่างได้อย่างในตอนนี้ไงล่ะ…ไม่สู้ข้าเล่าให้เจ้าฟังสองเรื่อง เจ้าก็จะเข้าใจแผนการอันลึกล้ำยาวไกลของต้าหลีแล้ว ก่อนหน้านี้หลังจากที่ชุยตงซานไปจากโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาก็มีคนแวะมาเยี่ยมเยือน เจ้าคงรู้ใช่ไหม?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “กลัวว่าจะเป็นเรื่องลับ บ่าวเฒ่าจึงไปรออยู่ในห้องของตัวเอง”

เฉินผิงอันตบศีรษะของเผยเฉียน ยิ้มพูดว่า “เจ้าเล่าประวัติความเป็นมาของป้ายสงบสุขปลอดภัยให้จูเหลี่ยนฟังก่อนสิ”

หลังจากเผยเฉียนได้รู้ถึงประโยชน์ของป้ายสงบสุขปลอดภัย นางก็อยากได้ของเล่นชิ้นนั้นมาครอบครองอยู่ตลอด นางคิดว่าตนเองจะต้องสะสมเงินให้ได้มากๆ จะได้รีบซื้อมาให้ตัวเองหนึ่งแผ่น

แรกเริ่มสุดป้ายสงบสุขปลอดภัยคือตราทางการทหารของภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะซึ่งเป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป นำมาใช้ปกป้องลูกศิษย์สำนักการทหารของสองสำนักที่ต้องลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่ต้องลงจากเขาไปเข้าร่วมกองทัพ แน่นอนว่าราชวงศ์ต้าหลีคือตัวเลือกอันดับหนึ่ง บวกกับที่อริยะหร่วนฉงของศาลลมหิมะสำนักการทหารเข้าไปรับผิดชอบเป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังยังก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นเองในเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจกันได้ในทันทีทันใด หมายความว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว สกุลซ่งต้าหลีก็เคยคบค้าสมาคมกับศาลลมหิมะแล้ว

ไปๆ มาๆ ป้ายสงบสุขปลอดภัยนี้จึงเริ่มกลายมาเป็นยันต์คุ้มครองอันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนราชวงศ์ต้าหลี ตอนนั้นสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ บุรุษที่สามารถต้านทานกระบี่ของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะได้อย่างสบายๆ ก็เคยมอบแผ่นหยกให้กับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันคนละแผ่น ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าเป็นของล้ำค่า เป็นของขวัญที่ใหญ่มาก แต่ตอนนี้ย้อนกลับไปมองอีกครั้ง นับว่าเขาดูแคลนฝีมือของสวี่รั่วเกินไป

จูเหลี่ยนได้ฟังความเป็นมาของป้ายสงบสุขปลอดภัยจากเผยเฉียนก็ยิ้มกล่าวว่า “หลังจากนี้นายน้อยสามารถแต้มนัยน์ตามังกรได้แล้ว”

เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์พูดประโยคหนึ่งกับจูเหลี่ยนอย่างลับๆ “ชายฉกรรจ์ที่ไปเยือนโรงเตี๊ยมคือสายลับของต้าหลี ในมือเขาได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยระดับสูงอันดับสองของราชวงศ์ต้าหลี”

จูเหลี่ยนกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา “เข้าใจแล้ว”

แม้ว่าแคว้นชิงหลวนจะเจริญรุ่นเรือง กองกำลังของแคว้นไม่อ่อนแอ แข็งแกร่งกว่าแคว้นมากมายอย่างชิ่งซาน อวิ๋นเซียว ฯลฯ แต่หากกวาดตามองไปทั่วแจกันสมบัติทวีปก็ยังคงเป็นสถานที่เล็กแคบ เมื่อเทียบกับราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลาย จะเรียกว่าแคว้นเล็กจิ๋วก็ยังไม่เกินไป

ดังนั้นนี่หมายความว่าราชวงศ์ต้าหลีไม่เพียงแต่หมายตาแคว้นชิงหลวนมานานแล้ว อีกทั้งยังให้ความสำคัญมาก ถึงขั้นมองเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ต้องช่วงชิงมาให้ได้

ถ้าเช่นนั้นเหล่าชนชั้นสูง เหล่าปัญญาชนและเหล่าผู้มีชื่อเสียงที่เดินทางลงใต้เพราะได้รับผลกระทบจากไฟสงครามในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แท้จริงแล้วก็เป็นแผนการเชิญท่านลงโอ่งของต้าหลีที่จัดวางมานานแล้วเท่านั้นเอง

แคว้นชิงหลวนแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่สามารถหลบภัยอะไรได้เลย

จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “ใช้กองกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทวีปต้อนปลาเข้าแหอย่างง่ายดาย จากนั้นก็รวบแหเก็บทีเดียว เพียงแค่นั่งรอเก็บปลาเท่านั้น ซิ่วหู่แห่งต้าหลีช่างมีฝีมือดีจริงๆ มิน่าเล่าหลูป๋ายเซี่ยงผู้หยิ่งทระนงถึงได้เลื่อมใสศรัทธาในฝีมือของนักเล่นระดับแคว้นเมฆหลากสีผู้นี้มากที่สุด”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

ก่อนหน้านี้ราชครูต้าหลี หรือควรจะพูดให้ถูกคือซิ่วหู่ครึ่งตัว อยู่ไกลสุดปลายฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า เพียงแต่ว่าคนสี่คนในภาพวาด มีเพียงเว่ยเซี่ยนที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอย่างอันตรายที่สุดอาศัยโอกาสนี้รู้ถึงสถานะของอีกฝ่าย

ท่ามกลางยอดเขาเขียวสูงตระหง่านและธารน้ำไหลริกๆ การมองเห็นพลันเปิดกว้าง

สวนสิงโตที่ประกอบไปด้วยกำแพงขาวกระเบื้องดำชายคาตวัดงอนตั้งอยู่ตรงกลางหุบเขาที่กว้างใหญ่

ประหนึ่งกล้วยไม้ส่งกลิ่นรวยรินกลางป่า ประหนึ่งคนงามอวลอลกลิ่นหอมของหญ้า

จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดัง “ทัศนียภาพงดงามจับตา ต่อให้ได้แค่เห็นภาพนี้อยู่ในสายตา เก็บซ่อนไว้ในหัวใจ การเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

จูเหลี่ยนมักจะมีความคิดที่แปลกประหลาดอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเห็นสาวงามหรือทัศนียภาพที่งดงามอยู่ในสายตาก็เท่ากับว่าเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เป็นของรักของข้า ยิ่งเป็นของในกระเป๋าของข้าจูเหลี่ยนแล้ว

เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคิดแบบนี้ก็ดีมาก

เฉินผิงอันไม่เคยมองคนทั้งสี่ในภาพวาดเป็นหุ่นเชิด นอกจากจะเป็นเพราะนิสัยของตัวเขาเองแล้ว เหตุใดจะไม่ใช่เพราะคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจนเขาเฉินผิงอันไม่อาจมองพวกเขาเป็นดั่งสิ่งของไร้ชีวิต?

ทางที่เดินกันมาก่อนหน้านี้กว้างแค่รถม้าคันเดียวผ่านไปได้ เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าบนทางเล็กๆ กลางภูเขายาวไกลสามสี่ลี้นี้ หากมีรถม้าสองคันมาเจอกันจะทำอย่างไร? ใครจะถอยให้ใคร?

มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าหยั่งรากอยู่ริมลำธาร หินหน้าผาเป็นสีหิมะขาวโพลน

บริเวณใกล้เคียงมีศาลาริมทางเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ผู้เฒ่าท่าทางสุภาพสง่างามลักษณะคล้ายผู้ดูแลคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลาพร้อมกับเด็กสาววัยสิบสามสิบสี่ปีที่สวมอาภรณ์เรียบง่ายทว่างดงาม

คนทั้งสองเดินเร็วๆ มาหาพวกเฉินผิงอัน ผู้เฒ่ายิ้มถามว่า “ทุกท่านคือเซียนซือที่มาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานานหรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย

กลับเป็นผู้เฒ่าที่ช่วยคลี่คลายความอึดอัดให้ก่อนโดยการพูดกับเฉินผิงอันว่า “คิดดูแล้วคุณชายคงน่าจะรู้ถึงเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในสวนสิงโตทุกวันนี้แล้ว ช่วงนี้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปรากฎตัวอย่างมีกฎเกณฑ์ยิ่ง สิบวันจะปรากฎตัวสักครั้งหนึ่ง คราวก่อนที่ปรากฏตัวก็ล่อลวงใจคน ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ห้าวัน ดังนั้นหากคุณชายมาที่นี่เพื่อชมทัศนียภาพ เวลาเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และงานโต้วาทีพุทธเต๋าของเมืองหลวงจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันให้หลัง สวนสิงโตไม่กล้าแย่งชิงของรักของผู้อื่น ไม่ยินดีถ่วงรั้งการเดินทางของเซียนซือทุกท่านให้ล่าช้า”

เฉินผิงอันจึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนสักสองสามวัน ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”

ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้ดูแลเฒ่าน่าจะเจอเซียนซือจากฝ่ายต่างๆ มามากมาย เกรงว่าคงได้รับรองผู้ฝึกตนอิสระที่เวลาปกติไม่ค่อยเปิดเผยโฉมหน้าอยู่ไม่น้อย ดังนั้นระหว่างที่นำทางเฉินผิงอันไปยังสวนสิงโตจึงละเว้นคำพูดอ้อมค้อมมากมายทิ้งไป บอกเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันของสวนสิงโตทั้งหมดต่อเฉินผิงอันที่บอกแค่ชื่อแซ่ แต่ไม่ได้บอกภูมิหลังและสำนักอย่างตรงไปตรงมา

ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเรียกตัวเองว่านายท่านชิง ตบะสูงส่งยิ่ง มีเวทคาถาปีศาจให้ใช้มากมายราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยในการรับมือ ต้นตอหายนะมาจากเมื่อปีก่อนหลังจากที่ปีศาจใหญ่ตนนี้พบเห็นคุณหนูที่ตลาดก็ตกตะลึงในความงามของนาง แล้วจึงตัดสินใจจะแต่งนางมาเป็นคู่บำเพ็ญตน ช่วงแรกเริ่มสุดจึงเอาสินสอดทองหมั้นมาพูดคุยเรื่องแต่งงานถึงเรือน ตอนนั้นนายท่านของตนมองตัวตนปีศาจจิ้งจอกของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ออก คิดแค่ว่าอีกฝ่ายยังมีความคิดเป็นเด็ก อีกทั้งเป็นบุรุษย่อมปรารถนาอยากครอบครองสาวงาม จึงไม่ได้โกรธเคือง เพียงปฏิเสธเด็กหนุ่มไปอย่างละมุนละม่อมโดยบอกว่าบุตรสาวคนเล็กมีคู่หมายมานานแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากไปด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่สวนสิงโตคิดว่าเรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้วนั้นเอง คาดไม่ถึงว่าวันที่สามสิบของสิ้นปีเด็กหนุ่มจะมาเยือนอีกครั้ง บอกว่าต้องการประลองหมากล้อมกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสิบตา หากเขาชนะก็จะแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกับคุณหนู อีกทั้งยังจะมอบโชควาสนาเทพเซียนให้แก่คนทั้งสกุลหลิ่วและสวนสิงโตซึ่งมากพอจะทำให้หมาและไก่โบยบินขึ้นฟ้าเป็นเซียนไปพร้อมกัน

แม้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจะมีฝีมือการเล่นหมากล้อมดีเยี่ยม ต่อให้ประชันกับฉีไต้จ้าวของแคว้นชิงหลวนหลายคนก็ยังไม่ตกเป็นรอง แต่เขาไม่อาจเอาเรื่องแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของบุตรสาวมาล้อเล่นได้ จึงปฏิเสธไปอีกครั้ง

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาก็จะมาเยือนถึงบ้านวันเว้นวัน และคุณหนูก็ผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ทุกวัน หมดเรี่ยวแรงจนแทบจะเดินไม่ได้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วถึงเพิ่งตระหนักว่าหายนะมาเยือนแล้ว รีบสั่งให้คนไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงทันที ทว่าคนผู้นั้นกลับเจอผีบังตา ทุกครั้งจะต้องเดินกลับมาที่สวนสิงโต ไม่ว่าอย่างไรก็เดินออกไปจากทางสายเล็กนั่นไม่ได้ ยังดีที่สวนสิงโตมีกุนซือท่านหนึ่งที่รอบรู้ในเรื่องตระกูลเซียน ต้องวางแผนอย่างยากลำบากกว่าจะส่งข่าวของสวนสิงโตให้แพร่ออกไปยังภายนอกได้

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset