หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานข้าจะต้องถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลหลิ่ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไม่ใช่พี่ชายใหญ่ของหลิ่วชิงซานอีกต่อไป ถึงเวลานั้นหากหลิ่วชิงซานได้จดหมายจากทางบ้าน คิดจะล้มเลิกการเดินทางไกลหาประสบการณ์ ไม่ว่าตอนนั้นพวกเจ้าจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือในแผ่นดินกลาง หากเขายืนกรานจะกลับสวนสิงโตเพื่อมาซักไซ้เอาความผิดกับข้าให้ได้ เจ้าต้องขัดขวางเขาเอาไว้ ปกป้องเขาให้เขาได้เดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อศึกษาหาความรู้ต่อไป”
แม้หลิ่วป๋อฉีจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับ แล้วยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “จะให้ข้าเป็นคนชั่วเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ท่านไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ”
หลิ่วชิงเฟิงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ได้ยินว่าเจ้าจัดการเจ้าแม่ต้นหลิ่วเสียจนอ่วม?”
หลิ่วป๋อฉีเริ่มรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
หลิ่วชิงเฟิงกลับยิ้มตาหยี “ข้านึกอยากทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังเด็กแล้ว เดิมทียังนึกว่าต้องให้ผ่านไปอีกเจ็ดแปดปีถึงจะทำได้ ต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้งแล้ว”
จนกระทั่งบัดนี้หลิ่วป๋อฉีถึงได้เริ่มยอมรับ ‘ขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่ว’ อย่างแท้จริง
ห่างออกไปไกล หลิ่วชิงซานเดินกะเผลกตรงมาทางศาลบรรพชน
เห็นว่าพี่ชายและสตรีที่รักกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ ขอแค่พี่ชายใหญ่พยักหน้าตอบรับ ถ้าอย่างนั้นงานแต่งงานระหว่างตนกับหลิ่วป๋อฉีก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว หลิ่วชิงซานจึงคลี่ยิ้ม บัณฑิตที่ยังหนุ่มผู้นี้รู้สึกเพียงว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินไปอีกแล้ว
……
พวกเฉินผิงอันเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นชิงหลวนได้อย่างราบรื่น
นี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกถึงความเจริญรุ่งเรืองผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่นหลังเดินทางออกมาจากนครมังกรเฒ่า
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังมอบเงินขาวทองก้อนให้จูเหลี่ยน ปล่อยให้เขาไปซื้อหนังสือภาพที่ทำให้สือโหรวสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดนั่น
ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็ตามหาร้านเก่าแก่มีอายุเป็นร้อยปีร้านหนึ่งเจอ ซื้อกระดาษเซวียนจื่อที่งามประณีตซึ่งคุณภาพสมกับราคามาส่วนหนึ่ง
ก่อนจะเข้าเมือง เฉินผิงอันก็หาพื้นที่ที่เงียบสงัดเอาของทั้งหมดในหีบไม้ไผ่ย้ายไปเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผา ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องวงในของงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็มีอารามป๋ายอวิ๋นซึ่งไร้สัญชาติของแคว้นชิงหลวนอยู่ด้วย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่นี้
เขามักรู้สึกว่าตอนอยู่ในสวนสิงโตตนเองโชคดีมากพอแล้ว อย่าได้ทำตัวโอ้อวดด้วยการเป็นฝ่ายบุกเข้าไปอยู่ในสายตาของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสกุลเจียงอวิ๋นหลินเลยจะดีกว่า
ตอนที่สวาปามอาหารมื้อใหญ่อยู่ในเหลาสุรากลางเมืองที่จอแจแห่งหนึ่ง คนของเมืองหลวงที่มากินอาหารต่างก็พูดคุยกันถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ดำเนินมาถึงช่วงท้าย แต่กลับยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงด้วยสีหน้าชื่นมื่นเบิกบาน ไม่ว่าจะพูดถึงการไหว้พระหรือแสวงหาเต๋า ในถ้อยคำของพวกเขาก็ล้วนปกปิดความภาคภูมิใจในฐานะประชาชนแคว้นชิงหลวนไว้ไม่มิด อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในการแสดงออกให้เห็นถึงกองกำลังและโชควาสนาแห่งแคว้น
เฉินผิงอันเคยเห็นมาจากสถานที่บางแห่ง ยกตัวอย่างเช่นเคยเห็นมาจากบนร่างของทหารลาดตระเวนริมชายแดนต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะ เคยเห็นมาจากร่างของชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุย เคยเห็นมาจากบนร่างของเด็กสาวที่อยู่บนรถม้าของนครมังกรเฒ่า แล้วก็เคยเห็นมาจากที่ภูเขาห้อยหัว
โต๊ะใกล้เคียงต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและแพร่หลายอยู่ในเมืองหลวง
เฉินผิงอันเงี่ยหูฟัง เผยเฉียนเห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังมากจึงวางไก่ย่างรสชาติอร่อยล้ำซึ่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งลงเงียบๆ แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟังเช่นกัน
จูเหลี่ยนแอบยื่นตะเกียบออกมา หมายจะคีบน่องไก่ชิ้นหนึ่งใส่ในถ้วย แต่กลับถูกเผยเฉียนที่ตาไวใช้ตะเกียบขัดขวาง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กถลึงตาใส่กัน ออกตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน รอจนเฉินผิงอันเริ่มคีบอาหารอีกครั้ง คนทั้งสองก็เริ่มตีเครื่องทองสัมฤทธิ์ส่งสัญญาณหยุดทัพ พอเฉินผิงอันก้มหน้าพุ้ยข้าว เผยเฉียนและจูเหลี่ยนก็เริ่มปรึกษาหารือกัน
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจสมบัติมีชีวิต (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบทำโก๊ะปล่อยไก่ น่าตลกขบขัน) คู่นี้ แค่สงสัยใคร่รู้ในปริศนาธรรมที่มองดูเหมือนจะเป็นความบังเอิญครั้งนั้น
เดิมทีเมื่อวานเมืองหลวงมีฝนตกครั้งใหญ่ บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคา และมีภิกษุคนหนึ่งถือร่มอยู่กลางสายฝน
ดังนั้นจึงมีบทสนทนาที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดครั้งนั้นเกิดขึ้น เนื้อหามีไม่มาก แต่ความหมายลึกซึ้ง ลูกค้าโต๊ะที่นั่งกินอาหารอยู่ใกล้กับเฉินผิงอันขบคิดใคร่ครวญถึงความลี้ลับได้นับไม่ถ้วน
ตอนนั้นบัณฑิตถามภิกษุว่าพาเขาเดินไปด้วยกันสักระยะทางหนึ่งได้ไหม จะได้สะดวกให้หลบฝน ภิกษุบอกว่าเขาอยู่ท่ามกลางสายฝน บัณฑิตอยู่ใต้ชายคาที่ไม่มีฝน ไม่จำเป็นต้องข้ามมา บัณฑิตจึงเดินออกมาจากใต้ชายคา มายืนอยู่ท่ามกลางน้ำฝน ภิกษุจึงตวาดเสียงดังว่าไปหาร่มเอาเอง สุดท้ายบัณฑิตจึงกลับเข้าไปใต้ชายคาอีกครั้งด้วยความอกสั่นขวัญผวา
ลูกค้าที่มาดื่มเหล้ากินอาหารหลายคนต่างก็ทอดถอนใจในพระธรรมที่สูงส่งลึกล้ำของภิกษุท่านนี้ บอกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ คือพระธรรมที่แท้จริง เพราะต่อให้บัณฑิตก็ตากฝนด้วย แต่การที่ภิกษุท่านนั้นไม่เปียกฝนก็เพราะในมือเขามีร่ม และร่มคันนั้นก็มีความหมายถึงพระธรรมที่ปลดปล่อยปวงประชาจากความทุกข์ยาก สิ่งที่บัณฑิตต้องการอย่างแท้จริงไม่ใช่ให้ภิกษุพาเขาไปส่ง แต่เป็นเพราะในใจของเขาขาดพระธรรมที่จะนำพาตัวเองให้ข้ามผ่านความทุกข์ไปได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นสุดท้ายภิกษุถึงได้ตวาดเตือน
คีบน่องไก่มาจากใต้เปลือกตาของเผยเฉียนเป็นเรื่องยากจริงๆ จูเหลี่ยนจึงหันไปเทน้ำแกงไก่ให้ตัวเองชามหนึ่ง ดื่มไปหนึ่งคำก็เบ้ปาก “รสชาติงั้นๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลึกลงไปในกระดูกเจ้ายังคงเป็นบัณฑิต แน่นอนว่าย่อมรู้สึกว่ารสชาติธรรมดา”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ก็นั่นน่ะสิ เหนื่อยกายเหนื่อยใจยังไม่ได้ดี หากเปลี่ยนมาเป็นนายน้อยหรือพี่น้องสกุลหลิ่วก็คงถือร่มเดินออกไปบังลมบังฝนให้บัณฑิตคนนั้น พาเขากลับบ้านแต่โดยดี ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจเหยียบแอ่งน้ำ หรือไม่บนไหล่ของคนผู้นั้นก็อาจเปียกไปด้วยน้ำฝน แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่เห็นในความดีของพวกท่าน หากเปลี่ยนมาเป็นพวกจมูกโคหน้าเหม็น คาดว่าคงไม่มีเรื่องพวกนี้แล้ว คงไม่แม้แต่จะชายตามองใต้หลังคา เลือกจะเดินผ่านไปโดยตรงเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามด้วยรอยยิ้ม “หากตวาดไปครั้งหนึ่งแล้วภิกษุค่อยให้บัณฑิตคนนั้นยืมร่ม เดินทางท่ามกลางสายลมสายฝนไปด้วยกัน น้ำแกงไก่ชามนี้จะมีรสชาติเป็นอย่างไร?”
จูเหลี่ยนแกว่งน้ำแกงไก่ที่อยู่ในถ้วย ยิ้มตอบว่า “อาจจะดีกว่าเดิมเยอะมาก”
ในที่สุดสือโหรวก็ฟังเข้าใจเสียที
เผยเฉียนฟังอย่างมึนงง แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังต้องง่วนอยู่กับการแทะน่องไก่ด้วย
เฉินผิงอันหันไปยิ้มพูดกับเผยเฉียน “อย่าเอาแต่กินน่องไก่ กินข้าวให้มากๆ ด้วย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ดันพุงที่นูนป่องเพราะอิ่มจนพุงกางขึ้นมา พูดอย่างลำพองใจว่า “อาจารย์ ข้ากินไปไม่น้อยเลยล่ะ”
งานโต้วาทีพุทธเต๋าในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ อันที่จริงยังมีเรื่องประหลาดอีกมากมาย
มีภิกษุที่ฟันพระพุทธรูปจนเละเทะแล้วเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ และยังมีภิกษุที่ร้องโวยวายกลางตลาดว่าจะกินเนื้อจะดื่มเหล้า ตะโกนก้องว่าเหล้าและเนื้อไหลผ่านกระเพาะ พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ในใจ (ความหมายคือหากในใจเรามีพุทธศาสนา จะดื่มเหล้าหรือกินเนื้อก็ไม่เป็นปัญหา) เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนแก้วหูผู้คน อดทำให้คนขบคิดอย่างลึกซึ้งไม่ได้
ส่วนทางฝ่ายของนักพรตแคว้นชิงหลวนกลับมีคำพูดและการกระทำที่น่าตะลึงพรึงเพริดน้อยนัก พวกเขาเนิบนาบเกียจคร้าน อีกทั้งว่ากันว่าพวกเจินเหรินเทพเซียนจากอารามเต๋าที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ เริ่มค่อยๆ ตกเป็นรองในการถกเถียงเรื่องหลักคำสอนของทั้งสองฝ่ายแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีภิกษุสมณศักดิ์สูงสังหารแมวที่วัดป๋ายสุ่ยทางทิศใต้ของเมืองหลวง แรกเริ่มดูเหมือนว่าเทพเซียนลัทธิเต๋าจะโจมตีที่ช่องโหว่ของลัทธิพุทธ แต่ดูเหมือนเหล่าภิกษุจะคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว จึงใช้คำกล่าวอันเคร่งขรึมตอกกลับเสียจนพวกนักพรตเต๋าพูดอะไรไม่ออก
เฉินผิงอันแค่ฟังเรื่องเล่าพวกนี้แล้วก็ปล่อยผ่านไป
เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยก็พาพวกเผยเฉียนไปเดินเล่น
ซื้อโถกระเบื้องเก็บเม็ดหมากล้อมเคลือบสีเขียวฟ้ามาหนึ่งคู่ รูปร่างของภาชนะเหมือนโถธรรมดาทั่วไป ขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่กลับวาดลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง นับว่าไม่ง่ายเลย เจ้าของร้านบอกว่าวัตถุชิ้นนี้เคยเป็นเครื่องปั้นในจำนวนน้อยนิดที่เชื้อพระวงศ์ในวังหลวงแคว้นอวิ๋นเซียวใช้กัน อีกฝ่ายน่าจะไม่โกหก
เฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นมาก่อน สายตาในส่วนนี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง ประเด็นสำคัญคือโถเก็บเม็ดหมากยังมีฝาปิด ซึ่งไม่ได้ทำเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง ดังนั้นแม้จะแพงไปสักหน่อย โถหนึ่งคู่ ทางร้านขายราคาห้าสิบตำลึง แต่เฉินผิงอันกลับควักเงินจ่ายด้วยความเต็มใจ
จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าลูกจิ๋วให้เผยเฉียนหนึ่งใบ น้ำเต้านี้มีคำเรียกภาษาชาวบ้านว่าทองในหญ้า ขนาดเล็กมากแต่คุณภาพกลับดีเยี่ยม ตอนนั้นที่นักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉียืนอยู่บนกำแพงของสวนสิงโตก็เคยเอาน้ำเต้าจิ๋วลักษณะใกล้เคียงกันนี้มาเก็บร่างจริงของปีศาจทากตัวนั้นไว้ภายใน
แน่นอนว่าน้ำเต้าจิ๋วหนังสีเหลืองใบนี้เป็นเพียงแค่วัตถุธรรมดาทั่วไปที่มีไว้ให้คนนำมาถือเล่นเท่านั้น
เฉินผิงอันชอบใจทันทีที่ได้เห็น แล้วก็เห็นว่าเผยเฉียนเองก็มองมันตาไม่กะพริบ ดังนั้นจึงซื้อเอาไว้
เพราะในใจของเผยเฉียนคิดว่า เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพก็ต้องมีวัตถุเอาไว้บรรจุเหล้าดื่มอย่างเฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์บ้าง
น้ำเต้าสีเหลืองใบจิ๋วที่แค่มองก็รู้ว่าแพงจะตายชักใบนี้ เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมาะกับอายุของนางพอดี แน่นอนว่านางไม่กล้าเปิดปากร้องขอ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อให้ด้วยตัวเอง นางก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง นำมาถือประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง ปากก็โหวกเหวกเสียงดังว่ามีเหล้าให้ดื่มแล้ว
ผลกลับถูกมะเหงกเขกหัวจนนางทรุดลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะเจ็บหัว แต่เผยเฉียนกลับอารมณ์ดีอย่างมาก
……
วัดป๋ายสุ่ย ภิกษุชุดขาวผู้นั้นนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำที่ถูกปิดผนึกมานานหลายปี พึมพำอยู่กับตัวเอง “แพ้แล้ว แพ้แล้ว ไม่ใช่พระธรรมที่แพ้ แต่เป็นพวกเราที่แพ้”
น้ำตาอาบนองใบหน้าของภิกษุหนุ่ม เขาทอดสายตามองไปไกล “หากคนบนโลกเรียนรู้จากข้าก็เหมือนเข้าไปเยือนถ้ำมาร ข้าผิดแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
……
อารามป๋ายอวิ๋นของเมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งพาลูกที่ทำว่าวหายเพราะติดต้นไม้ของอารามเล็กมาเยือนอีกครั้ง เวลานี้กำลังเปิดปากด่าดังลั่นไม่หยุด เจ้าอารามวัยกลางคนไปหลบอยู่ไกลๆ นักพรตน้อยร้องไห้มาหาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาราม พูดอย่างเสียใจว่า “อาจารย์ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ตัดต้นไม้พวกนั้นทิ้งไปเถอะ ต้องถูกชาวบ้านละแวกใกล้เคียงด่า พวกคนที่มีจิตศรัทธาได้ยินคำด่าก็พากันหนีหาย หลังจากนี้พวกเราคงไม่มีควันธูปแล้วจริงๆ จะต้องหิวตายแน่ วันหน้าอาจารย์ก็ซื้อตำราพวกนั้นไม่ได้อีก”
เจ้าอารามวัยกลางคนไม่มีทางตัดต้นไม้โบราณพวกนั้นทิ้งอยู่แล้ว แต่เห็นว่าลูกศิษย์คนเล็กร้องไห้อย่างเสียใจก็ได้แต่พูดดีๆ ปลอบใจ จูงมือนักพรตน้อยไปที่ห้องหนังสือ นักพรตน้อยสูดน้ำมูก ถึงอย่างไรก็เป็นนักพรตน้อยของอารามป๋ายอวิ๋นที่ผ่านลมผ่านฝนมานานแล้ว หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไปก็กลับคืนมามีนิสัยไร้เดียงสาของเด็กน้อยอีกครั้ง เขายังถือว่าดีแล้ว ศิษย์พี่ยังถึงขั้นถูกสตรีดุร้ายบางคนที่บ่นว่าเสียงระฆังที่ตียามเช้าและเสียงกลองที่ตียามเย็นหนวกหูข่วนหน้าเชียวนะ ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่พวกศิษย์พี่ในอารามออกไปข้างนอกก็แทบไม่ต่างจากหนูที่วิ่งผ่านถนน แค่ทำตัวให้ชินก็จะดีไปเอง อาจารย์เจ้าอารามบอกว่านี่ก็คือการฝึกตน ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ทุกคนต่างก็ร้อนจนนอนไม่หลับ อาจารย์เองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ต้องเดินออกมานอกห้อง หยิบพัดโบกรับลมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับพวกเขา เขาจึงถามอาจารย์ว่าพวกเราเป็นผู้ฝึกตน ทำตามบทเรียนและพิธีกรรมมากมาย เมื่อจิตใจสงบก็น่าจะเย็นสบายถึงจะถูก เหตุใดถึงยังร้อนอยู่อีก
อาจารย์เองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม ได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้น
นักพรตน้อยโมโหจนแย่งพัดมาจากมือของอาจารย์ ยังดีที่อาจารย์เจ้าอารามไม่เคยโกรธเขา
เวลานี้หลังจากจัดการกับลูกศิษย์คนเล็กที่เป็นดั่งท้องฟ้าใสหลังฝนตกเรียบร้อยแล้ว นักพรตวัยกลางคนก็ดึงตำราความรู้ชั้นประถมของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาให้เด็กชายอ่าน
ส่วนเจ้าอารามวัยกลางคนก็อ่านตำราของสำนักนิติธรรมเล่มที่อยู่บนโต๊ะต่อไป
ก่อนหน้านี้เขาอ่านเจอประโยคที่ว่า ‘ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองก็เหมือนคนสระผม แม้ว่าผมจะร่วงก็ยังต้องสระ’
เขาจึงเริ่มจรดพู่กันเขียนคำอธิบาย หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเขียนสรุปที่เกิดจากความเข้าใจของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้เขียนไว้เต็มหน้าหนังสือจนไม่มีแม้แต่พื้นให้ตั้งเข็มสักเล่มแล้ว จึงได้แต่เอากระดาษที่ราคาถูกที่สุดออกมาหนึ่งแผ่น พอเขียนเสร็จแล้วก็จะได้สอดแทรกไว้ตรงกลาง
นักพรตน้อยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ เขาชอบเวลาที่อาจารย์เจ้าอารามเล่าเรื่องราวในตำราให้เขาฟังมากกว่า จึงวางตำราลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์ เห็นว่าอาจารย์จรดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน เขียนเนื้อหาบางอย่างที่ต่อให้เขาอ่านออกก็ยังไม่เข้าใจ จึงเขย่งปลายเท้าเหลือบดูตำราเล่มที่เปิดกางไว้ พอหันมามองอาจารย์ นักพรตน้อยก็ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ท่านเขียนอะไรน่ะ?”
เจ้าอารามวัยกลางคนวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กันไม้ที่เขาแกะสลักด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “อ่านมาเจอประโยคหนึ่งของสำนักนิติธรรมซ้ำอีกครั้ง ในใจบังเกิดความรู้สึกจึงเขียนอะไรบางอย่างเพื่อให้สะดวกต่อการทบทวนตัวเองในการอ่านครั้งต่อไปเอาไว้ จะได้รู้ถึงความคิดของตัวเองเมื่อวานนี้ แล้วเอามาพิสูจน์ความคิดของวันพรุ่งนี้ ขัดเกลาใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนัก ความรู้ถึงจะสามารถกลายมาเป็นความรู้ของพวกเราเองได้”
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที แต่อารมณ์ก็ยังไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่ ถามว่า “อาจารย์ ในเมื่อพวกเราตัดใจตัดต้นไม้ทิ้งไม่ลง แถมยังถูกพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรังเกียจ คนนี้รังเกียจคนนั้นรำคาญ ราวกับว่าไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ผิดไปหมด สภาพเช่นนี้เมื่อไหร่ถึงจะจบสิ้น? ข้ากับพวกศิษย์พี่น่าสงสารมากเลยนะ”
สีหน้าของเจ้าอารามวัยกลางคนเมตตาปราณี คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวขออภัย “อย่าไปโทษพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง หากจะโทษก็โทษอาจารย์เถอะ เพราะว่าอาจารย์…ยังไม่รู้”
นักพรตน้อยเกาหัว นักพรตของอารามป๋ายอวิ๋นจะสวมหมวกผ้าทรงเหลี่ยม ไม่สวมกวานเต๋าสามชนิดอย่างทรงดอกพุดตาน ทรงหางปลาและทรงดอกบัว นักพรตน้อยกะพริบตาปริบๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่อาจารย์ถึงจะรู้คำตอบของการแก้ปัญหาล่ะขอรับ”
แม้คำว่า ‘รู้’ (คำว่า 知道 ภาษาจีนแปลว่ารู้/เข้าใจ แต่หากแปลตรงตามตัวอักษรจะหมายถึงรู้มรรคา/รู้วิถีทาง บรรลุเต๋า/บรรลุมรรคา คำกล่าวว่า 知道ของเจ้าอารามจึงน่าจะหมายถึงความหมายที่สอง) ที่อาจารย์และศิษย์สองคนพูดถึงจะห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่เจ้าอารามวัยกลางคนก็ยังถอนหายใจ เอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ก็ยังไม่รู้อยู่ดี”
นักพรตน้อยพลันคลี่ยิ้ม ตบหลังมือของอาจารย์ “อาจารย์ ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราไม่รีบ ไม่อย่างนั้นให้ข้าบีบนวดแขนให้ท่านดีไหม?”
เจ้าอารามวัยกลางคนเขียนคำอธิบายประโยคนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนจะหยิบคัมภีร์ลัทธิพุทธเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ด้านบนบันทึกคดีทางพุทธศาสนาไว้เกือบร้อยบท เพียงแต่ว่าเขายังไม่รีบเปิดออก เขาพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พระพุทธเจ้าน่าจะกลัดกลุ้มยิ่งกว่าพวกเรา พระพุทธเจ้ายังไม่กลุ้ม พวกเราจะกลุ้มไปไย”
นักพรตน้อยพลันพูดขึ้นเสียงเบา “ใช่แล้ว อาจารย์ ศิษย์พี่บอกว่าข้าวสารเหลือติดก้นถังแล้ว”
เจ้าอารามวัยกลางคนพยักหน้ารับ เอ่ยเนิบช้า “รู้แล้ว”
นักพรตน้อยกลอกตามองบน
อาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย สุดท้ายแล้วอารามป๋ายอวิ๋นของพวกเขาก็ยังต้องรื้อผนังตะวันออกมาซ่อมผนังตะวันตก (เปรียบเปรยว่ารับมือกับภาวะขับคันแค่ให้ผ่านๆ พ้นไป ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาจากต้นตออย่างแท้จริง) อยู่ดีไม่ใช่หรือ
เพียงแต่จู่ๆ นักพรตน้อยก็เห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีลมเย็นสีทองระลอกหนึ่งพัดจากนอกหน้าต่างเข้ามาเปิดหน้าหนังสือบนโต๊ะของอาจารย์เจ้าอาราม จากนั้นตำราของทั้งห้องก็คล้ายจะถูกพลิกเปิดครบหนึ่งรอบ
นักพรตน้อยกะพริบตาแรงๆ จึงพบว่าตัวเองตาลายไปเอง
เห็นเพียงว่าอาจารย์กำลังหลับตาคล้ายงีบหลับ คงเป็นเพราะอาจารย์อ่านหนังสือจึงเหนื่อยเกินไปกระมัง นักพรตน้อยจึงเดินย่องเบาๆ ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงอย่างไร้เสียง
……
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่ง
เผยเฉียนถาม “มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีอะไร”
—–