เผยเฉียนถามเบาๆ “อาจารย์ คือศัตรูของที่บ้านเกิดงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พ่นไอขุ่นมัวที่อัดอั้นอยู่ตรงหน้าอกมานานมากแล้วคำหนึ่งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอู้ซง (หมอกที่เกาะเป็นกลุ่มตายสายไฟหรือใบไม้บนต้นไม้ในขณะที่อากาศหนาวและมีหมอกลง) ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ถือว่ายุติลงชั่วคราวแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มถามว่า “อาจารย์ลงมือครั้งนี้ ได้กำไรหรือว่าขาดทุน?”
จูเหลี่ยนรู้ว่าเฉินผิงอันได้ยันต์หนึ่งแผ่นและแผ่นหยกมาหนึ่งชิ้น
แม้ว่าจะไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่จูเหลี่ยนมั่นใจอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนในบ้านเกิดของเฉินผิงอัน ขอแค่ออกมาท่องอยู่ด้านนอก คาดว่าคงไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งต้าเฟิงที่นครมังกรเฒ่า รวมไปถึงหลี่เอ้อร์ที่ภายหลังมาปรากฎตัวอย่างเร่งร้อนแล้วก็จากไป คนหนึ่งขอบเขตเก้า คนหนึ่งขอบเขตสิบ ดังนั้นของสองชิ้นที่เฉินผิงอันแย่งชิงมาจากมือของเจ้าหมอนั่นต้องมีค่าแน่นอน
ทว่าเฉินผิงอันกลับพูดแค่ว่า “ไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่ได้กำไร ได้ของมาสองชิ้น ข้าสามารถนำไปมอบให้กับคนที่เหมาะสมจะครอบครองพวกมันได้พอดี”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
นางหันหน้าไปมองเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ห่างไกล
มือหนึ่งของนางกุมไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งกุมน้ำเต้าลูกเล็ก
จูเหลี่ยนหันหน้ามา สือโหรวก็ย้ายสายตาหันมามองด้วย
จูเหลี่ยนถามยิ้มๆ “แม่นางสือโหรว เป็นห่วงข้าหรือ?”
สือโหรวปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แม่นางสือโหรวไม่รู้อะไร คนที่ประมือกับข้าคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ตบะอยู่ในขั้นสูงสุด ศักยภาพก็แข็งแกร่งสุดขีด หมัดเดียวก็ต่อยให้ภูเขาทลายพื้นดินแตกแยก ต่อยอีกหมัดก็สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร…”
สือโหรวเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงขนาดนั้นก็ยังฆ่าเจ้าไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าวิชาหมัดของเจ้าจูเหลี่ยนเลิศล้ำค้ำฟ้า ไร้เทียมทานแล้วหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้เจ้าไม่รู้แล้ว เป็นเพราะพี่ชายท่านนั้นเกรงใจกันเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีท่าทีว่าจะแลกชีวิตกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ข้างกายเจ้าด้วยอวัยวะครบสามสิบสองแล้ว หากปล่อยให้แม่นางสือโหรวได้เห็นสภาพอเนจอนาถของข้าที่เนื้อหนังปริแตก กระดูกขาวสองแขนโผล่ ถึงเวลานั้นแม่นางสือโหรวเห็นแล้วก็อาจจะเสียใจน้ำตาไหล ข้าเองก็คงเจ็บปวดปานจะขาดใจ ต้องระบายโทสะเพื่อหญิงงาม กลับไปเอาเศษซากชิ้นส่วนของพี่ชายคนนั้นที่กระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ มาประกอบเข้ากันใหม่อีกครั้ง…”
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียน พวกเราอาจต้องไปหาผีสาวสวมชุดเจ้าสาวตนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ตบะไม่อ่อนด้อย แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาตัวมันพบ”
จูเหลี่ยนตกตะลึงระคนยินดี “นายน้อย ผีสาวชุดเจ้าสาวนั่นสวยหรือไม่? เทียบกับหน้าตาของแม่นางสือโหรวตอนยังมีชีวิตอยู่แล้วเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ปีนั้นที่พบเจอนางเป็นครั้งแรก นางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด สีหน้าซีดขาว รู้สึกเพียงว่าน่าขนลุก ส่วนรายละเอียดหน้าตาของนางว่าเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้สนใจ”
เผยเฉียนแอบกลืนน้ำลาย หยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะบนหน้าผาก
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ผู้เฒ่าขอบเขตแปดคนนั้น เจ้าต้องออกแรงสักกี่ส่วนถึงจะสามารถเอาชนะได้?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย “นายน้อย เวลาข้าเข่นฆ่ากับผู้อื่น หากกำลังติดลมมักจะชอบทุ่มสุดพลังความสามารถที่มี ดังนั้นหากนายน้อยสั่งให้ข้าหยุดช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย พี่ชายท่านนั้นก็คงถูกฉีกเนื้อถลกหนังออกเป็นแปดส่วนแล้วจริงๆ จะกลายเป็นผีพรายหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ช่างเป็น…นิสัยที่ดี”
จูเหลี่ยนไม่ใคร่จะพอใจนัก
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “พ่อครัวเฒ่า คราวนี้ทำไมไม่ประจบสอพลอแล้วเล่า ไม่บอกว่าเรียนรู้มาจากอาจารย์ข้าแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ ถีบเข้าที่ก้นเผยเฉียนหนึ่งที เผยเฉียนล้มหน้าทิ่ม ได้แต่ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มเข้าไปในพื้นดินตามจิตใต้สำนึก ร่างหมุนติ้วรอบไม้เท้าไปหนึ่งรอบ ไม่ทันได้อ้าปากด่าจูเหลี่ยน แล้วก็ไม่สงสัยว่าเหตุใดตนถึงไม่ล้มคว่ำ เผยเฉียนทำเพียงแค่ดึงไม้เท้าเดินป่าที่อยู่เคียงข้างกันมานานออกจากดิน วิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างสงสัย “อาจารย์ เหตุใด ‘นายท่านเทพภูเขา’ ของข้าอันนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หักเลยล่ะ ท่านดูสิ แม้แต่รอยปริแตกเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มี? หรือว่าข้าเก็บสมบัติมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว? นี่คือต้นไม้เทพเซียนที่นายท่านเทพภูเขาบางองค์ปลูกไว้จริงๆ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นายน้อยใช้วิธีหลอมเล็กของตระกูลเซียนมาหลอมไม้เท้าเดินป่าอันนี้ให้เจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้มันก็แตกหักพังยับไปนานแล้ว กิ่งไม้ทั่วไปจะทนถูกการเหยียบย่ำจากวิชากระบี่มารคลั่งนั่นของเจ้าได้หรือ?”
เผยเฉียนเกาหัว “เป็นแบบนี้เองหรือ”
เหมือนจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็คล้ายว่าจะสมเหตุสมผลดีแล้ว
จากนั้นเผยเฉียนที่ในหัวค่อนข้างเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดก็เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ มองม่านฟ้ามืดดำ “ทำไมฝนถึงยังไม่ตกสักทีนะ?”
เฉินผิงอันที่เดินนิ่งหกก้าวไปด้วยเอ่ยถามว่า “ทำไมฝนต้องตกด้วยล่ะ?”
เผยเฉียนเองก็ฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่ไปพร้อมกับการเดินเช่นกัน ตอนนี้ไม้เท้าเดินป่าถูกนางนำมาทำเป็นกระบี่ชั่วคราว นางตอบคำถามเฉินผิงอันว่า “ถ้าฝนตก ข้าก็จะได้ช่วยกางร่มให้อาจารย์ไงล่ะ”
จูเหลี่ยนยกเท้าขึ้นถีบ แต่เผยเฉียนกลับหลบเลี่ยงได้อย่างว่องไว จูเหลี่ยนจึงด่าอย่างขันๆ ปนฉิวว่า “เจ้าฟักแคระถังข้าวที่เอาแต่กินข้าว แต่ไม่ยอมโตอย่างเจ้า จะกางร่มให้นายน้อยอย่างไร?”
เผยเฉียนใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก “ก็จริงนะ”
เฉินผิงอันพูดปลอบใจ “แค่มีใจก็พอแล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ก็เหลือแค่ใจอย่างเดียวนี่แหละ”
เผยเฉียนหันมาถลึงตาดุดันใส่จูเหลี่ยน “หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าบาดเจ็บ ข้าจะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่มารคลั่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเองสักรอบให้ได้”
“มาๆๆ พวกเรามาซ้อมมือกันเลย”
จูเหลี่ยนก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเริ่มวิ่งวนรอบกายเฉินผิงอัน
สือโหรวเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เผยเฉียนที่วิ่งวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ตลอดทางที่ขึ้นเขาลงห้วยมา นางก็ยังคงเป็นถ่านดำก้อนเล็กก้อนหนึ่ง
แต่พอนางออกวิ่งอยู่บนทางสายใหญ่ที่แสงจันทร์บริสุทธ์ของดวงจันทร์กลางนภากาศสาดส่องลงมา บนร่างของแม่นางน้อยกลับมีรัศมีแสงเรืองรองบางๆ แผ่ออกมาหนึ่งชั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่า สักวันหนึ่งเมื่อเผยเฉียนต้องท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง จะมีภาพเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นเป็นดั่งดวงตะวันร้อนแรงดวงใหญ่ที่คนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกร้อนจ้าบาดตา?
เพียงแต่อารมณ์ซับซ้อนประเภทนี้ เมื่อได้ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทาง สือโหรวก็เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองถึงขั้นมีความคิดที่เหลวไหลเช่นนี้ได้
นั่นก็เพราะเผยเฉียนผู้นี้เป็นเด็กแก่นแก้วเกินไปจริงๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาเดินทางใกล้จะถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ชายแดนตะวันออกของแคว้นชิงหลวนแล้ว
วันนี้ขณะที่อยู่ท่ามกลางป่าลึกบนภูเขา เผยเฉียนวิ่งไปเก็บกิ่งไม้ที่ห่างออกไปค่อนข้างไกลเพื่อเอามาใช้ก่อฟืนหุงหาอาหาร ตอนที่กลับมาบนร่างนางมีแต่ดินโคลน บนหัวก็เต็มไปด้วยเศษหญ้า นางจับกระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งมาได้ก็วิ่งตื๋อกลับมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชูกระต่ายป่าที่น่าสงสารที่ถูกนางคว้าหูไว้ส่ายอย่างแรง พูดอย่างลิงโลดว่า “อาจารย์ ดูสิข้าจับอะไรมาได้?! ภูเขากระโดดในตำนานเชียวนะ วิ่งเร็วนักล่ะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้พวกเรากินเจไม่กินเนื้อ ปล่อยมันไปเถอะ”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเสียดายเพราะนางต้องลำบากมากกว่าจะจับมาได้ จึงถามว่า “อาจารย์ เลี้ยงมันให้อ้วนก่อนแล้วค่อยกินได้ไหม? ข้าจะหาเชือกยาวๆ เส้นหนึ่งมามัดมัน ตลอดทางข้าจะเป็นคนดูแลมันเอง”
เฉินผิงอันโบกมือ “หากอยากกินเนื้อจริงๆ วันหน้าจะให้จูเหลี่ยนจับหมูป่าให้เจ้าหนึ่งตัว”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นการค้าที่ได้กำไร ปล่อยก็ปล่อยสิ จึงพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหนึ่งรอบ ขว้างกระต่ายป่าที่อยู่ในมือออกไปดังฟิ้ว กระต่ายที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายหายวับไปไม่เหลือเงาในชั่วพริบตา “บินเถิดเจ้าน้องชาย!”
สือโหรวยื่นมือมากุมขมับ
เผยเฉียนปัดฝ่ามือ นั่งยองลงข้างเฉินผิงอันที่กำลังก่อเตาไฟง่ายๆ ถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์ วันนี้เป็นวันอะไรหรือ? มีเรื่องอะไรที่ต้องพิถีพิถันไหม? ยกตัวอย่างเช่นเป็นวันเกิดของเทพภูเขาที่ร้ายกาจบางคน ก็เลยกินเนื้อบนภูเขาไม่ได้?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน”
ท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ริมชายแดนแห่งนั้น คือท่าเรือที่ไม่มีการวางมาดของตระกูลเซียนที่สุดเท่าที่เฉินผิงอันเคยพบเห็นมา
ไม่เพียงแต่ไม่มีตราผนึกภูเขาและแม่น้ำที่ต้องปิดบังอำพราง กลับกันยังกลัวว่าคนมีเงินบนโลกมนุษย์จะไม่ยินดีไปเยือน ยังอยู่ห่างจากท่าเรืออีกหลายสิบลี้ก็เริ่มมีการทำการค้ากันแล้ว ที่แท้ท่าเรือแห่งนี้มีเส้นทางการเดินเรือที่แปลกประหลาดอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นการไปเยือนถ้ำสถิตตระกูลเซียนบางแห่งที่อยู่รอบแคว้นชิงหลวน สามารถไปนั่งบน ‘แท่นตกปลา’ บนยอดเขาได้ จากนั้นก็โยนเบ็ดไปตกนกหรือปลาบินที่ล้ำค่ามาจากในทะเลเมฆ
ดังนั้นตลอดทางจึงมีคนสัญจรกันอย่างขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่น
เฉินผิงอันมาถึงที่นี่ก็ได้ยินข่าวมากมายจากทางเมืองหลวง
อย่างเช่นฮ่องเต้สกุลถังทำตามความต้องการของประชาชนยกลัทธิขงจื๊อขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติอันเป็นรากฐานในการหยัดยืนของแคว้น
ส่วนลัทธิเต๋ากับลัทธิพุทธนั้นใครจะอยู่อันดับสอง ว่ากันว่ายังต้องรอฟังผล
อารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋นพลันกลายมาเป็นอารามที่เชื้อพระวงศ์แคว้นชิงหลวนมาจุดธูปไหว้พระ
ภิกษุหนุ่มของวัดป๋ายสุ่ยที่เดิมทีไร้แซ่ไร้นามก็เริ่มแสดงพระธรรมเทศนาต่อคนบนโลก ไม่ว่าจะอยู่ในวัด อยู่บนทางเส้นใหญ่ที่เชื่อมโยงไปได้หลายแห่ง หรืออยู่ท่ามกลางหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ว่ากันว่าเขาเทศนาด้วยถ้อยคำที่ตื้นเขินเรียบง่าย แม้แต่เด็กเล็กที่เรียนชั้นประถมก็ยังฟังเข้าใจ
หลังจากเดินขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาอย่างราบรื่นแล้ว
ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะไม่มีความสนใจมากนัก อารมณ์ไม่ใคร่จะดี หลังจากคัดตัวอักษรในห้องเฉินผิงอันเสร็จก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเงียบๆ เมื่อเทียบกับเผยเฉียนในอดีตแล้วราวกับเป็นคนละคน
เฉินผิงอันจึงไปสอบถามจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร จึงได้แต่ไปถามสือโหรว สือโหรวจึงบอกความคิดเห็นของตัวเอง
ดังนั้นวันนี้หลังจากเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จก็เตรียมจะจากไป
เฉินผิงอันเรียกนางไว้ พานางออกไปจากห้องด้วยกัน ไปยืนชมทัศนียภาพของทะเลเมฆที่หัวเรือ
หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงยืนอยู่ตรงราวระเบียง เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง เตรียมจะดื่มเหล้า
เผยเฉียนควักน้ำเต้าลูกเล็กออกมาชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองซ้ายทีมองขวาที
เฉินผิงอันยังไม่ได้ดื่มเหล้า สุดท้ายก็ผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอว หันมายิ้มถาม “มีเรื่องในใจรึ?”
เผยเฉียนพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อจะได้ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแล้ว ท่านก็จะชอบแค่เป่าผิงน้อยที่เรียกท่านว่าอาจารย์อาน้อยแค่คนเดียว ไม่ชอบข้าอีกแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ส่ายหน้าตอบ “ไม่หรอก”
เผยเฉียนนั่งแปะลงไปบนพื้น ยกสองแขนขึ้นกอดอก “ข้าไม่เชื่อ!”
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเผยเฉียน ยกเท้าขึ้นแล้วหันมาส่งสายตาให้เผยเฉียน
พอเผยเฉียนเห็นรองเท้าหุ้มแข้งบนเท้าของเขาก็ยิ้มจนตาหยีทันที สองนิ้วคีบน้ำเต้าจิ๋วสีเหลืองแกว่งส่ายไปมา “อาจารย์ พวกเราดื่มเหล้ากัน!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาอีกครั้ง ชนกับน้ำเต้าเล็กลูกนั้นเบาๆ แล้วดื่มเหล้าหนึ่งคำ
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นว่าในน้ำเต้าลูกเล็กของตัวเองก็มีเหล้าเช่นกัน จึงเงยหน้าทำท่าดื่มเหล้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าวเหมือนผีขี้เหล้าน้อยที่กินเหล้าเมาแล้วเดินโซซัดโซเซ “โอ้ย อาจารย์ ข้าดื่มมากไปแล้ว ดื่มมากไปแล้ว…”
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เฉินผิงอันกำลังจะส่งเสียงเตือน
เผยเฉียนก็เดินชนเข้ากับชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี คนผู้นั้นพกมีดยาวตรงเอว เขาหลุดหัวเราะดังพรืด “เจ้าตัวน้อยไม่มีตา ไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”
บุรุษผู้นั้นยกฝ่ามือขึ้นมากดศีรษะของเผยเฉียนเอาไว้ หากบิดข้อมือทีเดียวก็ผลักเผยเฉียนให้กระเด็นได้เลย
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาออกแรง ข้อมือก็ถูกคนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เขาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่สะพายกระบี่เอื้อมมาจับเอาไว้
เผยเฉียนรีบพูดกับคนผู้นั้นว่า “ขอโทษ เมื่อครู่ข้าไม่ทันเห็นว่าพวกเจ้าเดินผ่านมา ขอโทษด้วย”
บุรุษขมวดคิ้ว คงรู้สึกได้ว่าถูกคนขัดขวางขณะจะลงมือเป็นเรื่องที่เสียหน้า แล้วก็ไม่นึกกริ่งเกรงอีกฝ่าย พลันเพิ่มเรี่ยวแรงหมายจะใช้พายุลมกรดดีดเจ้าหมอนปักลายบุปผาที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ออกไป แล้วค่อยผลักนังถ่านดำตัวน้อยที่เกะกะขวางทางให้กระเด็น
เพียงแต่วินาทีนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงก็พลันส่งมาจากข้อมือ เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พกมีดเล่มยาวล้มลงคุกเข่าดังตุ้บ เหงื่อแตกเต็มร่าง
เฉินผิงอันหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน บอกเป็นนัยให้นางไปยืนด้านหลังตัวเอง
มือหนึ่งที่ถือน้ำเต้าของเฉินผิงอันไพล่ไว้ด้านหลัง อีกมือหนึ่งเปลี่ยนจากที่กุมข้อมือของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนนั้นมาเป็นกางห้านิ้วจับกระหม่อมของเขา ค้อมเอวโน้มตัวลงต่ำ ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?”
ห้านิ้วงอเป็นตะขอ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นหน้าซีดขาว กัดฟันไม่ขอร้อง
ทว่าความเจ็บปวดนี้ยากจะทานทนได้ไหวจริงๆ ชายฉกรรจ์จึงพูดเสียงกร้าว “ในเมื่อผูกปมความแค้นกันไว้แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่จบง่ายๆ แน่!”
คนเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มเดินทางขึ้นเรือมาพร้อมกับเขาพากันกรูเข้ามา หมายจะอาศัยกำลังคนที่มากกว่าหาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำ ซ้อมให้หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงคู่นี้พิการก็ถือเป็นการแก้เบื่อได้ดี
ผลกลับกลายเป็นว่ามีกระบี่บินสองเล่มลอยมาหยุดอยู่ตรงหว่างคิ้วของบุรุษสองคนที่อยู่หน้าสุดพอดี
พอเป็นเช่นนี้ทุกคนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ แต่กลับรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว
ใต้หล้านี้ก็มีแต่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่สังหารคนได้อย่างมาดมั่นที่สุด!
เพียงแต่คนกลุ่มนั้นคงไม่รู้ว่า ไม่พูดถึงว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ลำพังเพียงแค่เรื่องการผูกปมแค้นนี้ เฉินผิงอันทำมาแล้วไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งภูมิหลังของพวกศัตรูคู่อาฆาตทั้งหลายก็ล้วนไม่ธรรมดา
ดังนั้นเรื่องที่เฉินผิงอันไม่กลัวมากที่สุดก็คือเรื่องนี้
มือหนึ่งของเฉินผิงอันกระชากบุรุษร่างกำยำที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ถีบเข้าที่หน้าอกของเขา ร่างของเขากระเด็นหวือออกไปกระแทกสหายหลายคนเข้าพอดี พวกพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหลายจึงพากันแตกฮือหนีเอาชีวิตรอดอย่างอุตลุดไปหมด
เฉินผิงอันหันมายิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน “ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้าหากเจ้าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วถูกคนรังแกก็แค่กลับบ้าน กลับไปหาอาจารย์”
—–