หลังจากที่สวินยวนจ่ายเงินแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสามคนก็เดินไปบนสะพานไม้อย่างเชื่องช้า
หากนับกันตามอายุและตบะ ล้วนเป็นสวินยวนที่สูงส่งกว่าใคร
ทว่าทวนยาวหนึ่งฉื่อของใบถงทวีปผู้นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยหน้าหยกของแจกันสมบัติทวีปกลับทำตัวแข็งข้อไม่ได้จริงๆ
ครั้งหนึ่งขณะที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกัน หนุ่มน้อยเป็นฝ่ายถามทวนยาวหนึ่งฉื่อด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่าต่อสู้ได้ไหม หากต่อสู้ได้ก็ช่วยอะไรเขาเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย
สวินยวนตบอกรับรองว่าต่อให้สู้ไม่ได้ก็ไม่ถึงขั้นเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน
จากนั้นเจ้าประมุขผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับตั้งชื่อให้พรรคว่าหมัดเทพไร้เทียมทานก็มอบที่อยู่หนึ่งให้สวินยวน นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปพบกันที่นั่น
สวินยวนจึงทะยานลมจากไปทันที เรียกได้ว่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ผลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าของสำนักโองการเทพที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นานผู้นั้นเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการครอบครองเศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นให้จงได้ สถานการณ์จึงชะงักงันไม่อาจเดินหน้าต่อ
หากไม่เกิดข้อผิดพลาด ไม่ว่าผลสรุปสุดท้ายจะเป็นอะไร อย่างน้อยพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานก็ต้องผูกปมแค้นไว้กับสำนักโองการเทพแล้ว
แต่พอสวินยวนปรากฏตัวก็ทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงันนั้นทันที
พอจะถือได้ว่าทุกคนต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบจ่ายเงินซื้อร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้งไปจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าซึ่งในนามคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปได้ยอมถอยให้ก้าวใหญ่ นอกจากจะรับเงินมาแล้ว สวินยวนยังช่วยสำนักโองการเทพพูดคุยกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์นภากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป ขอซากปรักของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลโบราณไร้นามแห่งหนึ่งที่ปริแตกซึ่งร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายใน ให้เทียนจวินฉีเจินได้นำกลับสำนักไปซ่อมแซมแก้ไข หากทำได้ดี มันก็จะกลายมาเป็นพื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งของสำนักโองการเทพที่ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักฝึกตนเหนื่อยยากเพียงครึ่ง แต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจะไม่มีทางเข้าไปในเศษชิ้นส่วนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลง่ายๆ เด็ดขาด เพราะมีแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมาย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบรรดาอริยะลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลก็มีอริยะปราชญ์กลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ ‘บุกเบิกที่ดินขยับขยายพื้นที่’ โดยเฉพาะ พวกเขาเหล่านี้จะไปตามหาซากปรักหักพังที่จมอยู่ใต้ก้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว พองมขึ้นมาแล้วก็อาจนำมาทำให้มั่นคงจนกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่ หรือไม่ก็ผสานรวมมันเข้ากับอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล
อริยะลัทธิขงจื๊อในประวัติศาสตร์ที่ต้องตายดับอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาด้วยสาเหตุนี้มีไม่ใช่น้อยๆ คนที่รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหายด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่าความทุ่มเทและอันตรายที่ต้องเผชิญเหล่านี้
คนบนโลกมิอาจล่วงรู้
……
หลังจากมาเรียนต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย แม้ตอนแรกหลี่ไหวจะถูกคนรังแกจนแทบอยู่ไม่ได้ แต่พอฝนผ่านไปแล้วท้องฟ้าก็สดใส ภายหลังไม่เพียงแต่ไม่มีคนในสำนักศึกษามาหาเรื่องเขา ยังมีเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันอีกสองคน เป็นคนสองคนที่มีวัยเดียวกัน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่พรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่น ชื่อว่าหลิวกวาน
อีกคนหนึ่งคือลูกหลานชนชั้นสูงที่สืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาหลายชั่วอายุคนของต้าสุย ชื่อว่าหม่าเหลียน
หลิวกวานที่มีชาติกำเนิดยากจนใจกล้าเทียมฟ้า มักจะมีความคิดและจินตนาการอันบรรเจิดเลิศล้ำอยู่เสมอ หม่าเหลียนที่ชาติกำเนิดดีที่สุดกลับมีนิสัยขี้ขลาด ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่กล้าปล่อยมือปล่อยเท้าทำอย่างเต็มที่ จึงกลายมาเป็นลูกสมุนของพวกเขาสองคน วันๆ เอาแต่ติดสอยห้อยตามหลิวกวานกับหลี่ไหว เนื่องจากตระกูลของหม่าเหลียนคือชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าสุย อีกทั้งยังเป็นเครือญาติเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับสกุลเกาแห่งเกอหยาง หม่าเหลียนก็ยิ่งเป็นหลานชายคนโต ทว่าตอนนี้กลับมามั่วสุมอยู่กับหลี่ไหวหลิวกวาน ดังนั้นจึงถูกคนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ของสำนักศึกษาต้าสุยขับไล่ไสส่ง ถูกเรียกเหน็บแนมว่าแมลงขี้ประจบและเจ้าถุงเงิน
หลังเข้าสู่ฤดูร้อน เด็กสามคนที่เป็นเพื่อนร่วมวัยร่วมชั้นเรียนร่วมหอนอน แม้ทางสำนักศึกษาจะห้ามออกจากหอนอนยามวิกาล แต่พวกเขาก็ยังแอบออกไปรับลมที่ริมทะเลสาบ หากถูกอาจารย์จับได้จะต้องถูกอบรมสั่งสอน ถูกลงโทษให้คัดตัวอักษร หรือไม่ก็ต้องกินมะเหงก
คืนนี้หลิวกวานเป็นผู้นำ เขาเดินอาดๆ ราวกับอาจารย์ที่ออกตรวจตรายามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น หลี่ไหวเหลียวซ้ายแลขวา ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว หม่าเหลียนหน้าม่อย ไหล่ลู่คอตก เดินตามอยู่ด้านหลังหลี่ไหวอย่างระมัดระวัง
คนทั้งสามมาถึงริมทะเลสาบอย่างราบรื่น หลิวกวานถอดรองเท้าหุ้มแข้ง จุ่มสองเท้าไว้ในน้ำทะเลสาบที่เย็นน้อยๆ รู้สึกว่าในความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กน้อย จึงหันหน้าไปพูดกับสหายที่ทำท่าราวกับยกหินออกจากอกว่า “หม่าเหลียน อากาศร้อนขนาดนี้น่าอึดอัดจะตายไป ตระกูลหม่าของพวกเจ้าถูกเรียกขานว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในด้านการซ่อนพัดของเมืองหลวงไม่ใช่หรือ วันหน้ากลับไปเอามาสักสามด้าม ให้ข้ากับหลี่ไหวคนละด้าม เวลาทำการบ้านจะได้พัดเอาลมเย็นๆ มาให้คลายร้อนได้บ้าง”
หม่าเหลียนหน้าม่อย “พัดที่ล้ำค่าที่สุดของท่านปู่ข้า ทุกด้ามล้วนเป็นของรักของหวงของเขา เขาไม่มีทางให้ข้าหรอก”
หลิวกวานกลอกตามองบน “ถ้าอย่างนั้นก็ขโมยพัดที่ท่านปู่เจ้าไม่ค่อยเอาออกมาถือเล่นสิ หากถูกจับได้จริงๆ เขาจะถึงขั้นตีหลานชายอย่างเจ้าจนตายเลยหรือ?”
หม่าเหลียนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
หลี่ไหวช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ช่างเถอะ หม่าเหลียนขี้ขลาด บนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดเรื่องใดๆ ได้เลย หากให้เขากลับบ้านไปขโมยพัดมาจริงๆ เกรงว่าแค่กลับไปถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่ของเขาจับพิรุธได้แล้ว”
หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง
หลิวกวานถอนหายใจ “ช่างผิดต่อชาติกำเนิดดีๆ ของเจ้าซะจริง นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็ไม่กล้าทำ หม่าเหลียนวันหน้าหากเจ้าเติบใหญ่แล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็ได้แค่กินทุนเก่า เจ้าคิดดูนะ ท่านปู่ของเจ้าคือเจ้ากรมครัวเรือนของต้าสุยเรา ดำรงยศมหาบัณฑิตของตำหนักเหวินอิง พอมาถึงรุ่นบิดาของเจ้า กลับเป็นได้แค่เจ้าเมืองที่ต้องไปรับหน้าที่อยู่นอกเมืองหลวง ท่านอาของเจ้าที่แม้จะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่กลับเป็นแค่ขุนนางฝูเป่าหลางตำแหน่งเล็กจ้อยเท่าเมล็ดงา วันหน้าพอถึงคราวที่เจ้าต้องเป็นขุนนางบ้าง เกรงว่าก็คงเป็นได้แค่นายอำเภอเท่านั้น”
หม่าเหลียนทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่ได้โต้กลับ เพราะไม่มีความกล้าที่จะทะเลาะกับหลิวกวาน ยิ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าหลิวกวานพูดได้ถูกต้องอย่างมาก
ในบรรดาคนทั้งสาม แม้ว่าอาจารย์จะดุด่าหลิวกวานมากที่สุด แต่ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า อันที่จริงพวกอาจารย์คาดหวังกับหลิวกวานมากที่สุด เขาหม่าเหลียนไม่สูงไม่ต่ำ ดีกว่าหลี่ไหวที่การบ้านอยู่อันดับล่างสุดตลอดหมื่นปีเล็กน้อย
หลี่ไหวตบไหล่หม่าเหลียน พูดปลอบใจว่า “เป็นนายอำเภอก็ร้ายกาจมากแล้ว ที่บ้านเกิดของข้า เมื่อก่อนตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่ที่สุดคือผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ไม่รู้ว่าหมวกขุนนางใหญ่แค่ไหน จนป่านนี้ถึงเพิ่งจะมีนายอำเภอ อีกอย่าง เป็นขุนนางเล็กหรือใหญ่ก็ยังเป็นเพื่อนของข้ากับหลิวกวานอยู่ดีไม่ใช่หรือ หากเป็นขุนนางน้อย ข้ากับหลิวกวานย่อมยังเห็นเจ้าเป็นสหายอย่างแน่นอน แต่หากเจ้าได้เป็นขุนนางใหญ่แล้วก็ห้ามไม่เห็นพวกเราเป็นเพื่อนเด็ดขาดเชียว”
หม่าเหลียนรีบรับรอง “ไม่มีทาง ชั่วชีวิตนี้ข้าจะต้องเห็นพวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอ”
หลิวกวานหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นข้ากับหลี่ไหว ใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเจ้า?”
หม่าเหลียนอึ้งตะลึงไปนาน เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบอย่างไรตนก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตนเลย แม้เขาจะนับถือความฉลาดเฉลียวมีความสามารถ รวมไปถึงข้อที่ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยของหลิวกวาน แต่แท้จริงแล้วลึกๆ ในหัวใจ หม่าเหลียนกลับชอบที่จะอยู่กับหลี่ไหวมากกว่า เพราะหลี่ไหวพูดง่าย ไม่พูดจาเหน็บแนมเขา แล้วก็ไม่ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้
หลี่ไหวยิ้มแล้วทิ้งสองเท้าจุ่มลงในน้ำ แล้วก็ต้องสูดลมหายใจดังเฮือก สะดุ้งโหยง พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเอาที่สองก็แล้วกัน ไม่แย่งที่หนึ่งกับเจ้าหลิวกวานแล้ว ถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องใดเจ้าหลิวกวานก็เป็นที่หนึ่งเสมอ”
หลิวกวานกอดคอหลี่ไหว ยิ้มกล่าว “พูดเหมือนจงใจยอมให้ข้าอย่างนั้นแหละ เจ้าน่ะสู้ข้าได้หรือ”
หลี่ไหวรีบอ้อนวอน “สู้ไม่ได้ๆ หลิวกวานเจ้าจะมาแข่งขันกับคนที่ทำการบ้านได้อันดับล่างสุดไปไย เจ้ารู้สึกดีนักหรือไง?”
หม่าเหลียนแอบหัวเราะ
ถึงอย่างไรเด็กทั้งสามคนก็อยู่ในช่วงวัยที่ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล
ผลคือได้ยินเสียงตวาดของอาจารย์ท่านหนึ่งดังมาแต่ไกล หลิวกวานผลักไหล่หลี่ไหวและหม่าเหลียน “พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะถ่วงเวลาอาจารย์หันขี้เหล้าผู้นั้นเอง!”
หม่าเหลียนไม่พูดไม่จาก็ชักเท้าออกวิ่งทันที แถมยังวิ่งไปเท้าเปล่าด้วย
หลี่ไหวช่วยหยิบรองเท้าหุ้มแข้งของหม่าเหลียนมา ถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิวกวานถลึงตาใส่ “รีบหนีไปเร็วเข้า พวกเราสามคนถูกจับด้วยกัน พรุ่งนี้มีแต่จะยิ่งอเนจอนาถ จะถูกลงโทษหนักขึ้น!”
หลี่ไหวรีบสวมรองเท้าอย่างเร่งร้อน ท่าวิ่งของเขาหนักแน่นมั่นคงกว่าหม่าเหลียน ถึงอย่างไรก็เคยเดินทางจากเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจนถึงสำนักศึกษาต้าสุย
สุดท้ายหลิวกวานแบกรับไฟโทสะของอาจารย์ผู้เฒ่าที่ผลัดเวรมาเดินตรวจตรายามค่ำคืนเพียงลำพัง หากไม่เป็นพราะอาจารย์สอบถามเนื้อหาของการบ้านแล้วหลิวกวานตอบได้ทุกข้อไม่มีตกหล่น อาจารย์ผู้เฒ่าก็คงลงโทษให้หลิวกวานยืนอยู่ริมทะเลสาบทั้งคืนแล้ว
หลิวกวานกลับมาถึงหอพัก หลี่ไหวเปิดประตูแล้วก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
หลิวกวานยื่นมือขวาออกมาดีดนิ้วหนึ่งที พูดอย่างลำพองใจ “ใต้หล้านี้ไม่มีปัญหาข้อใดที่ข้าหลิวกวานแก้ไขไม่ได้”
หลี่ไหวสังเกตเห็นอย่างเฉียบไว ถามว่า “เจ้าไม่ได้ถนัดซ้ายหรอกหรือ?”
หลิวกวานสบถด่าคำหนึ่งทันใด มานั่งอยู่ข้างโต๊ะ แบฝ่ามือออก ที่แท้ฝ่ามือของมือซ้ายเขาก็บวมฉึ่ง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ผีขี้เหล้าหันต้องมีไฟโทสะเก็บกลั้นไว้ในใจแน่นอน หากไม่เป็นเพราะเหล้าของเมืองหลวงแพงขึ้นก็เป็นเพราะหลานชายที่ไม่เอาถ่านสองคนของเขาก่อเรื่องขึ้นมาอีก เขาเลยจงใจเอาข้ามาระบายอารมณ์ วันนี้ถึงได้ตีมือแรงเป็นพิเศษ”
หลิวกวานเป็นคนใจใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที ในขณะที่หลี่ไหวกับหม่าเหลียนยังเป็นกังวลว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องเจอกับความลำบาก หลิวกวานกลับหลับฝันหวานไปแล้ว
หลิวกวานนอนอยู่บนเตียงปูเสื่อริมนอกสุด ที่นอนของหลี่ไหวติดริมกำแพง หม่าเหลียนนอนอยู่ตรงกลาง
หลี่ไหวยังไม่ง่วง อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องนั่งพิงกำแพง ในมือถือหุ่นไม้หลากสีตัวหนึ่ง ปากพูดพึมพำเบาๆ
หม่าเหลียนถามเสียงค่อย “หลี่ไหว ทำไมช่วงนี้เจ้าถึงไม่ไปเล่นกับหลี่เป่าผิงเลยล่ะ?”
หลี่ไหวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ากลัวนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว อีกอย่าง เอาแต่ไปเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเหมาะสมตรงไหน หากคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าชอบหลี่เป่าผิง ถึงเวลานั้นผู้คนพากันซุบซิบนินทา ข้าต้องถูกหลี่เป่าผิงซ้อมจนเกือบตายแน่ๆ”
หม่าเหลียนอ้อรับหนึ่งที รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้นน่ามองมากจริงๆ
หากวันใดได้เห็นนางในสำนักศึกษาอยู่ไกลๆ เขาก็ดีใจไปได้ทั้งวัน
หม่าเหลียนเงียบไปนาน หลี่ไหวยังคงเอาแต่เขย่าหุ่นไม้หลากสีในมือตัวนั้น แสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพ เล่นสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หม่าเหลียนรู้ว่าในหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กบรรจุสิ่งของที่หลี่ไหวชื่นชอบมากที่สุดไว้กองใหญ่
หม่าเหลียนพลันถามขึ้นว่า “หลี่ไหว เฉินผิงอันที่เจ้าชอบพูดถึงบ่อยๆ คนนั้น เจ้ามาอยู่สำนักศึกษาเกือบจะสามปีแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยมาหาเจ้าเลยสักครั้ง?”
หลี่ไหวหยุดการกระทำในมือลง เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “เขายุ่งน่ะสิ”
หม่าเหลียนสังเกตเห็นว่าเพียงไม่นานหลี่ไหวก็ล้มตัวลงนอนบนเสื่อที่เย็นสบาย วางหุ่นไม้หลากสีไว้ข้างศีรษะ ในอดีตหลี่ไหวสามารถเล่นมันได้นานถึงเกือบครึ่งชั่วยาม วันนี้กลับผิดไปจากทุกที
—–