การฝึกตนบนมหามรรคาต้องจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
กฎบางอย่างของการฝึกตน ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหนในสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้องแม่นยำ
ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งวันเน้นย้ำในสี่ช่วงเวลา ไม่อาจเพิกเฉยเกียจคร้าน ยามจื่อฟ้าดินสว่างแจ่มใส เหมาะกับการมองพลังชีวิตจากภายใน ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะสื่อสารกับฟ้าดินขนาดเล็กในร่างและฟ้าดินขนาดใหญ่นอกร่าง ยามอิ๋นเหมาะแก่การหล่อเลี้ยงลมปราณ โคจรลมปราณมาบำรุงช่องโพรงและเส้นชีพจร ยามอู่ใช้ไฟหยางมาหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นของเหลว ยามซวีหล่อหลอมของเหลวให้เป็นพลังจิต ค่อยๆ สั่งสมอยู่ใน ‘จวน’ สำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ตามช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปทีละนิด สั่งสมจนแตกหน่อเกิดเป็นรากฐานของมหามรรคา
นอกจากสี่ช่วงเวลาของหนึ่งวันแล้ว แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันแตกต่างกันไป
รากฐานมหามรรคาล้วนเป็นการใช้ความสามารถในภายหลังมาขัดเกลาซ่อมแซมความสามารถก่อนกำเนิด ใช้วิธีการหลังกำเนิดที่คล้ายคลึงกับการใช้น้ำเช็ดกระจก ทำให้ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทีละนิด สุดท้ายจึงกลายเป็นแก้วใสไร้มลทินอย่างในตำนาน
กุญแจสำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย ขอแค่ก้าวข้ามธรณีประตูของการฝึกตนไปได้ เริ่มเดินขึ้นเขา เพียงเกียจคร้านหนึ่งวันก็จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ตนเองพลาดไปในหนึ่งวัน ดังนั้นผู้ที่ฝึกตนจึงมิอาจเกียจคร้านได้เลย
หากเข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้ กฎเกณ์หลายอย่างที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเพราะสาเหตุนี้ ซึ่งเดิมทีมองดูเหมือนมีไอเมฆไอหมอกล้อมเวียนวนก็จะพลันเปิดกว้างกระจ่างแจ้ง ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ไม่สามารถฝึกตนได้ถึงห้าขอบเขตกลาง หรือยกตัวอย่างเช่นเหตุใดผู้ฝึกตนถึงได้ค่อยๆ หนีห่างไปจากโลกมนุษย์ ไม่ยินดีถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์ แต่ต้องไปฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ลงจากเขามาฝึกตนหาประสบการณ์ ย้อนกลับเข้ามาในโลกมนุษย์ก็แค่เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจของตัวเอง แล้วเหตุใดหลังจากผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานแล้วกลับไม่ยินดีออกจากภูเขา บุกเข้าไปกลืนกินปราณวิญญาณและโชคชะตาของสถานที่แห่งอื่นโดยพลการ
ชุยตงซานเคยยิ้มพูดว่า มีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ยิ่งตบะสูงส่งมากเท่าไหร่ คนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผลกฎเกณฑ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และเรื่องที่ไม่พิถีพิถันก็จะยิ่งมากตามไปด้วย โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขาจะเริ่มสั่นคลอน ก็เหมือนกับม้านั่งที่เบ้าและเดือยเริ่มคลายตัว
ในฐานะที่เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อเป็นผู้นำแห่งใต้หล้าไพศาล การซ่อมแซมชดเชยจึงค่อนข้างจะยากลำบาก
หากพูดแค่เรื่อง ‘การสั่งสอนอบรมทางบ้าน’ เหล่านักพรตเต๋าจมูกวัวในใต้หล้ามืดสลัวนับว่าเปลืองแรงกายแรงใจน้อยที่สุด ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ใจกล้ามากไป ไม่ถูกใจเมื่อไหร่ สิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็จะมีเซียนที่ได้รับคำสั่งจาก ‘เจ้าหอ’ บางท่านของสามลัทธิบินทะยานออกไป ตบคนผู้นั้นให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่หนีพ้นหายนะมาได้ไปตีกลองร้องทุกข์อยู่บนหอฟ้าแห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้น ในประวัติศาสตร์มีเพียงเจ้าลัทธิใหญ่สวมกวานเต๋าดอกพุดตานซึ่งเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋าเท่านั้นที่มักจะฟังคำร้องทุกข์ของผู้คนเป็นประจำและช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น อย่างน้อยก็สามารถลดโทษให้เบาลง หรือบางครั้งก็ถึงขั้นละเว้นโทษไปโดยตรง กลับกลายเป็นว่าบันทึกกล่าวโทษและลงโทษเซียนของป๋ายอวี้จิงอย่างหนักแทน
หากลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ตัดสินใจก็ต้องดูที่อารมณ์ของเจ้าลัทธิคนนี้แล้ว หากอารมณ์ดี ทุกเรื่องก็พูดง่าย ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่ง หากอารมณ์ไม่ดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเพิ่มโทษทัณฑ์เป็นเท่าตัว
หากมาถึงคราวที่เต๋าเหล่าเอ้อร์เฝ้าบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง
ก็ไม่มีทางมีคนมาตีกลองร้องทุกข์แล้ว
เพราะว่าต้องถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ลงมือสังหารโดยตรง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะโดนกระชากเข้าไปไว้ในฝ่ามือของเขา และที่นั่นก็คือ ‘แดนชำระบ่อสายฟ้า’ ที่บริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน
ฟ้าดินกว้างใหญ่
คนธรรมดาใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิต ต่อให้จะชื่นชอบการท่องเที่ยวมากแค่ไหนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถท่องเที่ยวไปตามพื้นที่ของหนึ่งแคว้นได้ทั่ว และต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้วก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะท่องไปได้ทั่วพื้นที่ของทวีปแห่งหนึ่ง หรือหากโชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่อยู่บนยอดเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเดินท่องไปทั่วทุกใต้หล้าได้เช่นกัน
ตอนที่หลี่เป่าผิงกินข้าว นางไม่ค่อยชอบพูดคุย
เผยเฉียนนั้นไม่กล้าพูด
ดังนั้นจึงมีเสียงของหลี่ไหวดังจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว หลี่เป่าผิงถลึงตามองหลี่ไหวอยู่หลายครั้ง เรื่องราวในสำนักศึกษาหลายเรื่องล้วนถูกหลี่ไหวเล่าไปหมดแล้ว นางยังจะมีอะไรเล่าให้อาจารย์อาน้อยฟังอีก
หลี่ไหวโคลงศีรษะ ยังคงท้าทายหลี่เป่าผิงอย่างไม่รู้จักกลัวตาย นี่เรียกว่าไหแตกแล้วก็ทุบให้แหลกเสียเลย ถึงอย่างไรในอนาคตก็ต้องถูกหลี่เป่าผิงคิดบัญชีย้อนหลังอยู่แล้ว
เฉินผิงอันพูดไม่มาก ยังคงเคี้ยวข้าวช้าๆ อย่างละเอียดเหมือนในอดีต ส่วนใหญ่คือคอยคีบอาหารให้เด็กทั้งสามมากกว่า
หลี่ไหวพลันถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนการแต่งกายแล้วล่ะ รองเท้าแตะก็ไม่สวมแล้ว ระวังว่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นยาก…”
ไม่รอให้หลี่ไหวพูดจบ เขาก็งอตัวร้องโอดโอยเสียก่อน
หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนพร้อมใจกันกระทืบเท้าหลี่ไหวคนละทีอยู่ใต้โต๊ะ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็เคยคิดมาก่อนว่าตอนที่เข้ามาในสำนักศึกษาจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าฟางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลัวว่าพวกเจ้าจะอับอาย ตอนนี้ที่แต่งตัวแบบนี้ก็เพราะเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระมัดระวังให้มาก บวกกับที่เมื่อแต่งกายแบบนี้สามารถช่วยในการฝึกตน ดังนั้นข้าจึงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างตัวนี้มานานจนชินแล้ว แต่หากให้สวมชุดที่เมื่อก่อนเคยสวมก็ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน”
หลี่ไหวแสยะยิ้ม “ตอนนั้นที่อยู่นอกห้องเรียน ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เฉินผิงอันเจ้าตัวสูงขึ้นเยอะมาก แล้วก็ไม่ได้ดำทะมึนเหมือนเมื่อก่อน ข้าเห็นแล้วไม่ชินตาเลย”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แต่เจ้าหลี่ไหวกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แค่อ่านหนังสือก็ง่วงแล้ว?”
หลี่ไหวทอดถอนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าเรียนหนังสือเหนื่อยยากแค่ไหน เหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่พวกเราเดินทางกันเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พวกอาจารย์สอนหนังสือแล้วต้องอั้นฉี่ อั้นจนเกือบจะทำให้คนตายได้เลยล่ะ”
หลี่เป่าผิงใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ บอกเป็นนัยให้หลี่ไหวระวังคำพูด
หลี่ไหวกล่าวอย่างหงุดหงิด “น่ารำคาญ มีกฎเกณฑ์มากยิ่งกว่าพวกอาจารย์เสียอีก”
ทุกคนกินอิ่มกันพอสมควรแล้ว และบนโต๊ะก็แทบไม่เหลืออาหารอะไรอีก
เฉินผิงอันกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปหาเจ้าขุนเขาเหมาอีกรอบ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน หลังจากนั้นจะไปหาหลินโส่วอีกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ละเมิดกฎห้ามออกจากที่พักยามราตรีของสำนักศึกษา”
หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน เจ้าจะอยู่ที่สำนักศึกษากี่ปี?”
หลี่เป่าผิงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เผยเฉียนหน้าเจื่อน ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่อยู่นานนักหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่แค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป”
หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที ในขณะที่หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนช่วยกันเก็บถ้วยเก็บตะเกียบก็ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อเพื่อเรียนหนังสือในสำนักศึกษาล่ะ วันหน้าพวกเรากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกันก็ดีจะตายไป ทำไม ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนานแล้ว จิตใจก็ทะเยอทะยานแล้วใช่ไหม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่หลี่เป่าผิง แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีข้าหลี่ไหวอยู่นี่นา พวกเราเป็นพี่น้องเป็นสหายรักที่เคยร่วมทุกข์ร่วมความยากลำบากด้วยกันมา ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะยังได้เรียกเจ้าว่าพี่เขย เจ้าจะใจดำทิ้งน้องภรรยาตัวน้อยอย่างข้าไว้ในสำนักศึกษาได้ลงคอหรือ? เจ้าเองก็รู้ดีว่าปีนั้นอาเหลียงอยากจะเป็นพี่เขยของข้า ข้ายังไม่ยอมรับปากเลย!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “คำพูดแบบนี้ เจ้าอย่าเอาไปพูดต่อหน้าหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงเชียว”
หลี่ไหวถอนหายใจหนักๆ “เจ้าสองคนนี้ คนหนึ่งคือน้ำเต้าตันที่ไม่รู้จักพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา อีกคนหนึ่งก็ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ข้าว่าไม่มีหวังหรอก พี่สาวข้าไม่น่าจะชอบพวกเขาได้ ส่วนท่านแม่ข้าชอบหลินโส่วอีมากกว่าเล็กน้อย ท่านพ่อข้าชอบต่งสุ่ยจิ่งมากกว่า แต่ครอบครัวข้าเป็นอย่างไร คำพูดของข้าหลี่ไหวได้ผลดีที่สุด แม้แต่พี่สาวข้าก็ยังต้องเชื่อฟังข้า เฉินผิงอัน พวกเรามาปรึกษากันหน่อย ขอแค่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าในสำนักศึกษาหนึ่งปี ก็ได้ ครึ่งปีก็ได้ เจ้าก็จะเป็นพี่เขยข้า! สินสอดทองหมั้นกะผายลมอะไรนั่นก็ไม่เอา!”
เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”
หลี่ไหวตบโต๊ะ “เฉินผิงอัน พูดกับน้องภรรยาให้ดีหน่อย! วันหน้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ!”
หลี่เป่าผิงตบผัวะหนึ่งที หลี่ไหวทำคอย่น ท่าทางดุดันหายวับไปทันใด
หลี่ไหวฉวยโอกาสตอนที่หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนยกจานชามไปไว้ที่ห้องครัวนอกหอพักขยับมานั่งข้างกายเฉินผิงอัน นอนฟุบตัวบนโต๊ะ พูดเสียงค่อยว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้พี่สาวข้าหน้าตางดงามนักล่ะ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย “ไม่ต้องให้เจ้าเชื่อมสะพานเป็นพ่อสื่อให้จริงๆ ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”
หลี่ไหวสีหน้าหม่นหมอง
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่เป็นพี่เขยของเจ้า ใช่ว่าจะไม่เป็นเพื่อนเจ้าด้วยสักหน่อย”
หลี่ไหวกล่าวอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง “แต่ข้ากลัวนี่นา คราวนี้จากไปทีก็นานถึงสามปี คราวหน้าล่ะ จากไปแล้วจะไม่ผ่านไปอีกสามปีห้าปีเลยหรือ? มีเพื่อนที่ไหนเป็นแบบเจ้าบ้าง ตอนที่ข้าถูกคนในสำนักศึกษารังแก เจ้าก็ไม่อยู่ด้วย”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
หากอิงตามแผนการที่เขาวางไว้ในใจ คราวนี้ไม่ใช่แค่สามปีห้าปีแล้วจะได้พบกันใหม่จริงๆ
เขาเตรียมจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนและทะเลสาบเจี่ยนหู พอผ่านแคว้นไฉ่อีแคว้นซูสุ่ยแล้วก็จะขึ้นเหนือต่อ เหนือยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปซะอีก
หลี่ไหวสูดจมูก เงยหน้าขึ้นยิ้ม “ช่างเถอะ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มัวร่ำรี้ร่ำไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”
เฉินผิงอันตบศีรษะหลี่ไหวเบาๆ “ดูเหมือนเผยเฉียนจะยังกลัวเป่าผิงอยู่เล็กน้อย ช่วงเวลานี้เจ้าก็อยู่เล่นกับเผยเฉียนบ่อยๆ ได้”
หลี่ไหวหัวเราะคิกทันที “เจ้าถ่านดำน้อยนั่นน่ะหรือ ไม่มีปัญหา กลัวหลี่เป่าผิงแล้วน่าอายตรงไหน ข้าเองก็กลัวเหมือนกัน ใครกลัวคนนั้นต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรี!”
สามารถเอาเรื่องที่น่าอายมาพูดอย่างสมเหตุสมผลและเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเช่นนี้ เกรงว่าก็คงมีแต่หลี่ไหวเท่านั้นที่ทำได้
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงอีกครั้ง
เริ่มพูดคุยปรึกษาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง
เหมาเสี่ยวตงได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากชุยตงซานแล้ว เขาถึงขนาดคิดทุกอย่างไว้รอบคอบยิ่งกว่าเจ้าเรื่องอย่างเฉินผิงอันเสียอีก
เกี่ยวกับวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น เขาได้ซื้อของมาเตรียมไว้เจ็ดแปดส่วนแล้ว บางส่วนยังส่งมาไม่ถึงสำนักศึกษา แต่ก่อนจะเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิต้องรวบรวมได้ครบไม่ขาดสักชิ้นแน่นอน
เฉินผิงอันบอกว่าอาจต้องคืนเงินให้ภายหลัง
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้อิดออด บอกว่าจะคิดเงินตามราคาตลาด ให้เฉินผิงอันพยายามคืนเงินให้ครบภายในยี่สิบปี
เพราะเป็นการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่พิเศษอย่างถึงที่สุดมาทำเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ เหมาเสี่ยวตงนอกจากจะพินิจพิเคราะห์หัวใจบุ๋นดวงที่เฉินผิงอันเอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่นอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์แคว้นไฉ่อีและอักขรานุกรมท้องถิ่นที่ศาลเทพอภิบาลเมืองตั้งอยู่ สุดท้ายก็วิเคราะห์ได้ว่าเสิ่นเวินที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นเป็นเทพผู้นั้นได้ใช้ควันธูปที่บริสุทธิ์และปราณแห่งความเที่ยงธรรม และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่ายังต้องใช้อิทธิพลของตราประทับที่เทียนซือใหญ่หล่อหลอมด้วยตัวเองกับใช้วิชาอสนีมาปลุกเสกร่วม สุดท้ายถึงกลายมาเป็นหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย
ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงวางแผนว่าจะพาเฉินผิงอันไปเยือนสถานที่อย่างศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยเป็นการส่วนตัวสักรอบหนึ่งก่อน
แต่สถานที่สุดท้ายที่ใช้หล่อหลอม แน่นอนว่ายังต้องเป็นสำนักศึกษาซานหยาที่เขาสามารถควบคุมโชคชะตาได้แห่งนี้
คนทั้งสองพูดคุยเรื่องรายละเอียดกันอย่างต่อเนื่อง
เหมาเสี่ยวตงยิ่งรู้สึกปลาบปลื้ม
ต่อให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนที่สุดท้ายจะตัดสินว่าความสำเร็จสูงหรือต่ำ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รีบไม่ร้อน สภาพจิตใจประดุจบ่อโบราณไร้ระลอกคลื่น ทำให้เหมาเสี่ยวตงพึงพอใจอย่างมาก
การพูดคุยหลายอย่างที่มองดูเหมือนเป็นเรื่องสัพเพเหระ คำตอบของเฉินผิงอัน รวมไปถึงการที่เขาเป็นฝ่ายถามถึงข้อสงสัยในตำราบางอย่างด้วยตัวเองก่อน เหมาเสี่ยวตงไม่ได้รู้สึกตื่นตะลึง แต่กลับรู้สึกถึงความแน่วแน่ที่แสดงให้เห็นถึงปณิธานที่เด็ดเดี่ยวได้อย่างรางๆ
แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันมองสีท้องฟ้าแล้วบอกว่าจะไปพบหลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสักหน่อย ไม่คิดจะพูดถึง ‘เรื่องเป็นการเป็นงาน’ ที่ใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าให้เสร็จรวดเดียวจบ เหมาเสี่ยวตงก็คลี่ยิ้มตอบรับอีกฝ่าย
หลังจากเฉินผิงอันจากไปพร้อมกับความรู้สึกเกรงใจ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ผู้อื่นมองว่าคร่ำครึเข้มงวดนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง น้ำตาอาบนองใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ แต่ปากกลับคลี่ยิ้มปลาบปลื้ม
ในสายตาของเหมาเสี่ยวตง ต่อให้มีชุยตงซานที่แม่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำสักสิบคนก็ยังเทียบกับเฉินผิงอันคนเดียวไม่ได้เลย!
……
ไม่มีหลี่เป่าผิงอยู่ข้างกาย
เผยเฉียนพลันเหมือนคนที่ไร้พันธนาการ เปี่ยมไปด้วยพลังห้าวเหิมมีชีวิตชีวา
พอไปถึงหอพักของหลี่ไหว เพิ่งนั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่หลี่ไหวเท่านั้น แม้แต่หลิวกวานและหม่าเหลียนก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง คอยหันมามองหน้ากันเอง
ตรงเอวของเผยเฉียนห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่เอาไว้แล้ว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว เผชิญหน้ากับคนสามคนที่นั่งเรียงกันอยู่
นางกำลังเล่าประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้พวกเขาฟัง
เปิดฉากมาก็มีพลังสยบอย่างยิ่ง “พวกเจ้าคงจะมองออกว่า ในฐานะที่ข้าเผยเฉียนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ จึงเป็นชาวยุทธ์ที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นมากคนหนึ่ง! ภูตผีปีศาจตามภูเขาและหนองน้ำที่ถูกข้าฆ่าตายหรือไม่ก็สยบกำราบได้นั้น มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”
หอยทากที่ถูกวิชากระบี่มารคลั่งของนางสังหาร คางคกบนทางภูเขาที่โดนนางเตะกระเด็น หรือแม้แต่สุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ถูกนางกดหัวเอาไว้ ภูเขากระโดดที่ถูกนางจับได้ ล้วนเป็นภูตผีปีศาจในอนาคตที่นางจินตนาการเอาไว้
หลิวกวานที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยกน้ำรินชาให้นางดื่ม
หม่าเหลียนก็รีบฉวยจังหวะที่จอมยุทธ์หญิงเผยดื่มน้ำไปหยิบเมล็ดแตงและขนมออกมาให้นางกิน
หลี่ไหวโอบหุ่นไม้หลากสีตัวนั้นไว้ในอ้อมอก แกล้งยิ้มโง่ๆ แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่านังหนูตัวดำผู้นี้นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลย ขี้โม้ยิ่งกว่าตนกับอาเหลียงเสียอีก! ถือว่าตนได้มาเจอกับคู่ต่อสู้แล้ว!
……
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาจากที่พักของเหมาเสี่ยวตงก็เห็นว่าหลี่เป่าผิงมายืนรอตนอยู่ตรงหน้าประตู แถมยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาด้วย
เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเกิด เดินทางไปสู่โลกที่อยู่ภายนอกถ้ำสวรรค์หลีจู แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นครั้งที่เฉินผิงอันคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย
ในทางกลับกันแม่นางน้อยเองก็ออกท่องยุทธภพเป็นเพื่อนอาจารย์อาน้อยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ระยะทางช่วงแรกเริ่มสุดที่มีเพียงคนสองคนคอยอยู่เคียงข้างกัน ช่วงเวลาที่เดินทางผ่านภูเขาเขียวและน้ำใส พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เขาย่อตัวลง ยิ้มถามว่า “เป่าผิง หลายปีมานี้มีใครในสำนักศึกษาแกล้งเจ้าหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงตั้งใจคิด ก่อนจะส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อย ไม่มีหรอก”
เฉินผิงอันเกาหัว ถึงกับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ในทะเลสาบหัวใจพลันมีเสียงของเหมาเสี่ยวตงดังขึ้น
เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี ฟังจบแล้วก็ยืดตัวขึ้น จูงมือหลี่เป่าผิง มองออกไปยังทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงนอกภูเขาตงซานของสำนักศึกษา
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กพากันเดินลงจากภูเขา
“อาจารย์อาน้อย เมื่อครู่นี้ข้าคัดตำราไว้ห้าฉบับแล้ว เอามาเก็บแยกไว้ในหีบหนังสือเพื่อรอมอบให้กับอาจารย์ห้าท่าน แต่นั่นเป็นแค่ส่วนที่ต้องคัดหลังจากโดดเรียนหนึ่งเดือนเท่านั้น ในหอพักของข้ายังมีอยู่อีกเยอะเลยล่ะ อาจารย์อาน้อยท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
“พวกอาจารย์ไม่โกรธหรือ?”
“พวกอาจารย์ไม่โกรธหรอก ชินแล้วล่ะ ก็แค่บอกให้ข้าวิ่งช้าลงหน่อยเวลายกตำราที่คัดไปส่ง”
“พวกอาจารย์ดีมากเลยนะ”
“อืม ดีมาก แต่ความรู้สู้อาจารย์ฉีไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“อาจารย์ฉีมีความรู้ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจารย์อาน้อยเป็นคนดีที่สุด ไม่มีคำว่าทำไมแล้ว”
“ฮ่า มีเหตุผล”
—–