จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ชักกระบี่มองรอบกายใจเลื่อนลอย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความหมายนี้อยู่เล็กน้อย ขอแค่ข้ามองเห็นว่า…มีคนยืนอยู่ห่างไปไกล หรือยืนอยู่ในจุดสูง ต่อให้จะสูงหรือไกลแค่ไหน ข้าก็ไม่กลัว”
เฉินผิงอันใช้ปลายนิ้วเขียนตัวอักษรลงบนโต๊ะเบาๆ พูดเนิบช้าว่า “อริยะกล่าวว่า ทำตามใจปรารถนา ไม่ก้าวล้ำกฎเกณฑ์ นี่ก็คือการให้ยาที่ถูกกับโรค”
จูเหลี่ยนถือถ้วยเหล้าค้างไว้ รู้สึกว่าจะดื่มก็ไม่ใช่ ไม่ดื่มก็ไม่ควร
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “ดื่มเหล้ายังต้องการเหตุผลอีกหรือ? มา!”
คนทั้งสองดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด
เฉินผิงอันคิดว่าในเมื่อการฝึกประสบการณ์ การผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ์สามารถบำรุงตบะได้ดีที่สุด ถ้าเช่นนั้นการที่ตนเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาจิตใจของตัวเอง หาความสุขในความทุกข์ มองมันเป็นแท่นสังหารมังกรในด้านการฝึกตน ทำไมจะทำไม่ได้?
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อยู่บนเรือบินข้ามฟากเหนือขุนเขากลางแคว้นเฉิงเทียนแล้วจูเหลี่ยนปล่อยหมัดใส่เผยเฉียน แต่เผยเฉียนหลบพ้นไปได้
สือโหรวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ว่าการที่เผยเฉียนอาศัย ‘สัญชาตญาณ’ หลบพ้นหมัดของขอบเขตสี่มาได้นั้นมหัศจรรย์ที่ตรงใด
จูเหลี่ยนเองก็เนื่องจากไม่ใช่ผู้ฝึกตน จึงไม่เข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของการที่พวกเซียนดินมองจิตมารเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาต ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าขอบเขตที่เฉินผิงอันแสวงหานั้นสูงมากเท่าไหร่
ดื่มเหล้ากันไปแล้ว
จูเหลี่ยนก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ด้วยความเคยชิน “ได้ยินสือโหรวบอกว่า คราวก่อนตอนอยู่บนหัวกำแพงของสวนสิงโต นายน้อยเกือบจะต่อสู้กับหลิ่วป๋อฉีสตรีจากเรือนซือเตาผู้นั้นแล้ว เกือบจะชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่สือโหรวที่อยู่ด้านหลังท่าน เห็นว่าต่อให้นายน้อยจะแค่กุมด้ามกระบี่ แต่ฝ่ามือกลับถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ? สุดท้ายจึงได้แต่หดมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลิ่วป๋อฉีค้นพบความจริง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วยไม่ได้ อาวุธกึ่งเซียนก็ปรนนิบัติยากเช่นนี้แหละ”
ใบหน้าของจูเหลี่ยนเผยความคลางแคลงใจ
เฉินผิงอันเคยเล่าศึกระหว่างเขากับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ฟังอย่างละเอียด ถือเป็นการทบทวนกระดานหมากล้อมระหว่างนายบ่าวสองคน
เฉินผิงอันจึงต้องอธิบาย “กระบี่ ‘ปราณยาว’ ที่เคยเล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่า แต่กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าท่านนั้นทำลายตราผนึกส่วนมากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายข้าก็ชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้ ส่วนกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามอบให้เป็นของชดใช้เล่มนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะพวกเขาอยากจะรอชมเรื่องสนุก รู้ดีว่าเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้จะเป็นได้เพียงซี่โครงไก่ อีกอย่างก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พวกเขาช่วยคลายตราผนึกทั้งหมดให้แล้วก็หมายความว่ากระบี่เจี้ยนเซียนเล่มนี้เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีกุญแจไขประตูใหญ่ เมื่อมาอยู่ในมือของข้าเฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้ได้ แต่หากไม่ทันระวังปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของคนอื่น คนผู้นั้นก็สามารถเข้าออกเรือนแห่งนี้ได้โดยอิสระเช่นกัน สรุปก็คือนี่เป็นการกระทำที่แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาคว้าจับ บังคับกระบี่เซียนที่วางอยู่บนเตียงให้เข้ามาอยู่ในมือ “ข้าใช้วิธีหลอมเล็กสืบเสาะสาวเส้นใยตราผนึกเวทลับพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า คงต้องรอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์เสียก่อนถึงจะสามารถทำลายตราผนึกทุกอย่างแล้วนำมาใช้ได้อย่างคล่องมือเหมือนมันเป็นแขนของตัวเอง ตอนนี้หากชักกระบี่ออกจากฝัก สังหารศัตรูพันคนตัวเองเสียหายแปดร้อย หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรใช้มัน”
จูเหลี่ยนพลันกระจ่างแจ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งคำ จากนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนทั้งห้าล้วนมาจากต้าหลี ลอบฆ่าอวี๋ลู่มีความหมายไม่มากนัก เซี่ยเซี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่านางเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ของสกุลหลู แม้ว่าจะเคยเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนในตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของสกุลหลู แต่สถานะนี้ของนางก็ได้ตัดสินแล้วว่าน้ำหนักของเซี่ยเซี่ยไม่มากพอ ส่วนสามคนแรกล้วนมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ในอดีตอาจารย์ฉีเคยตั้งใจอบรมสั่งสอน ซึ่งเป่าผิงน้อยกับหลี่ไหวมีสถานะดีที่สุด คนหนึ่งบรรพบุรุษในตระกูลคือก่อกำเนิดที่ได้เป็นผู้ถวายงานรับใช้ต้าหลีแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งบิดาก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทาง ไม่ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับใคร ต้าหลีย่อมไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่ คนหนึ่งคือไม่ยอม อีกคนหนึ่งคือไม่กล้า”
เฉินผิงอันไม่ได้บอกกับจูเหลี่ยนเรื่องหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงมอบคำว่า ‘ไม่กล้า’ ให้แก่หลี่ไหวที่บิดาคือหลี่เอ้อร์
ปีนั้นตอนที่หลี่ซีเซิ่งอยู่ในตรอกหนีผิงได้ใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด เขาสามารถป้องกันได้อย่างรัดกุมรอบคอบ ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นก็วาดยันต์บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว อักษรแต่ละตัวหนักนับพันชั่ง ถึงขนาดทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงต่ำ
อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว
ความปลอดภัยของหลี่เป่าผิงสำคัญที่สุด
เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนอีกหนึ่งถ้วย “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าติดตามข้าก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขเลยสักวัน?”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วยิ้มพูดว่า “นายน้อยหากท่านได้เข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวเร็วสักหน่อย ได้เจอกับบ่าวเฒ่าในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดจะไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน เป็นๆ ตายๆ ล้วนเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเสมอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนั้นที่ข้าเอาชนะติงอิงได้ก็เป็นเพราะว่าตัวเขาประมาทเองด้วย หากเจอกับปรมาจารย์ที่ไม่มีความพิถีพิถันอย่างเจ้า เกรงว่าคนที่ตายคงต้องเป็นข้า”
จูเหลี่ยนรีบดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยให้หมด แล้วยื่นถ้วยเหล้าออกมาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “อาศัยคำพูดประโยคนี้ของนายน้อย บ่าวเฒ่าก็จะดื่มลงโทษตัวเองอีกหนึ่งถ้วย”
เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนถ้วยหนึ่งจริงๆ เขากล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าเจ้าและข้าสองคน ไม่ว่าจะเป็นสิบปีหรือร้อยปีให้หลังก็จะยังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันเช่นนี้”
จูเหลี่ยนยิ้มกว้าง “เรื่องนี้จะยากตรงไหน?”
คืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไม่น้อย ถือว่าเยอะกว่าเวลาปกติมากแล้ว
หลังจากคนทั้งสองแยกย้ายกัน เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง พูดคุยเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ต่อให้พูดคุยละเอียดยิบแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป
ท่ามกลางม่านราตรี
เฉินผิงอันเดินอยู่เพียงลำพัง
……
ก่อนที่จะดับตะเกียงในห้อง
เผยเฉียนพูดอย่างเขินอายว่า “พี่หญิงเป่าผิง ข้านอนไม่ค่อยนิ่งนะ”
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็เดินตรงไปยังภูเขาตำราลูกเล็กที่ยึดครองพื้นที่ของเตียงหลังหนึ่ง แล้วย้ายพวกมันไปวางไว้บนภูเขาตำราอีกลูกหนึ่ง
คนทั้งสองนอนในผ้าห่มของใครของมัน หลี่เป่าผิงนอนตัวตรง หลังพูดสองคำว่า ‘นอนเถอะ’ พริบตาเดียวก็หลับไป
เผยเฉียนพลิกตัวไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง ดึกมากแล้วกว่าจะสะลึมสะลือหลับไป
ตอนตื่นมาเช้าวันที่สองนางก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่มที่เก็บชายเรียบร้อยจนอบอุ่นเหมือนบะจ่างลูกหนึ่ง เผยเฉียนหันหน้าไปมอง เตียงของหลี่เป่าผิงถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนดูเกินจริง เหมือนก้อนเต้าหู้ที่ถูกมีดตัดอย่างไรอย่างนั้น พอเผยเฉียนนึกถึงทุกครั้งที่ตัวเองเก็บเตียงอย่างลวกๆ ก็ให้ละอายใจนิดๆ แต่จากนั้นก็นอนหลับต่ออย่างสุขสบาย ต้องเก็บแรงไว้ให้ดี วันนี้ถึงจะได้ไปหลอกเจ้าหลี่ไหวคนทึ่ม และเจ้าสองคนนั้นที่ซื่อบื้อยิ่งกว่าหลี่ไหว
ส่วนเรื่องที่คิดจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงนั้น เผยเฉียนคิดว่ารอให้เมื่อไหร่ที่ตัวเองโตเท่าหลี่เป่าผิงแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรตนก็อายุยังน้อย แพ้ให้หลี่เป่าผิงก็ไม่น่าอาย
ปีหน้าตนก็จะอายุสิบสองปีแล้ว หลี่เป่าผิงอายุสิบสาม ก็ยังแก่กว่านางหนึ่งปี เผยเฉียนไม่สนใจแล้ว ปีหน้าปีแล้วปีเหล่า ปีหน้ามีตั้งมากมาย แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว
หลี่เป่าผิงที่หลังจากตื่นนอนก็ไปหาเฉินผิงอันตั้งแต่เช้าตรู่ ในหอพักแขกไม่มีคน นางจึงวิ่งห้อไปยังเรือนของเจ้าขุนเขาเหมา
นางไปรออยู่หน้าประตูเรือน
ในฐานะอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษา ขอแค่ยินดีก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในสำนักศึกษาได้อย่างชัดเจนประหนึ่งมองแสงไฟในถ้ำมืดมิด ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงจำต้องบอกกับเฉินผิงอันว่าหลี่เป่าผิงมารออยู่ข้างนอก
เฉินผิงอันออกมาจากห้องหนังสือ เดินไปรับหลี่เป่าผิงกลับมาในห้องหนังสือด้วยกัน ระหว่างทางก็บอกนางด้วยว่าวันนี้คงไปเที่ยวชมเมืองหลวงต้าสุยไม่ได้แล้ว
หลี่เป่าผิงรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็จะอยู่ในสำนักศึกษาประมาณหนึ่งเดือนจึงไม่รีบร้อน คิดว่าวันนี้จะลองไปเดินเล่นในบางสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็พาเผยเฉียนไปเที่ยวด้วยกันก่อน แต่เฉินผิงอันก็เสนออีกว่าวันนี้พาเผยเฉียนเที่ยวในสำนักศึกษาให้ทั่วก่อน อย่างเช่นไปเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียงของภูเขาตงหัวอย่างโถงนักปราชญ์ หอเก็บตำราและศาลานกบิน ฯลฯ หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ทันเดินไปถึงห้องหนังสือก็วิ่งปรู๊ดจากไปอีกครั้ง บอกว่าจะกลับไปกินข้าวเช้าเป็นเพื่อนเผยเฉียน
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ทั้งกังวลว่าหากออกไปข้างนอกจะเกิดเหตุลอบฆ่า แล้วก็ทนเห็นหลี่เป่าผิงผิดหวังไม่ได้ รู้สึกว่ายุ่งยากมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รู้สึกลังเลใจอยู่มาก”
เหมาเสี่ยวตงถาม “ไม่อยากถามหน่อยหรือว่า ข้ารู้หรือไม่ว่าเป็นชนชั้นสูงในต้าสุยคนใดบ้างที่วางแผนทำเรื่องครั้งนี้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้ที่นี่จะเป็นสำนักศึกษา แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่บนแผ่นดินของแคว้นต้าสุย”
“ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ ยังคงเป็นเรื่องการหลอมวัตถุของเจ้า”
เหมาเสี่ยวตงโบกมือ “ปากของชุยตงซานมีแต่อาจม แต่มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่เหมือนคำพูดของคนอยู่บ้าง รากฐานในการหยัดยืนของสำนักศึกษาเรา ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหรือการศึกษาหาความรู้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่าปฏิบัติคำเดียว”
เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเนิบช้า “ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่า ไม่อาจวางทิฐิ ชีวิตนี้ก็มีแต่ความทุกข์ หากไร้ทุกข์ก็คืออิสระเสรีอย่างหนึ่ง ลัทธิเต๋าแสวงหาความบริสุทธิ์และสงบสุข ความทุกข์ยากเป็นดั่งเรือบินที่ล่องอยู่กลางอากาศ หลบเลี่ยงจากโลกมนุษย์ไปนานแล้ว และนั่นก็คือความเสรีที่แท้จริง มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่สอนให้เดินหน้าเข้าหาความทุกข์ยาก มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกย่อมพบเจอความทุกข์ ไม่หลบหนีไม่หลีกเลี่ยง บนเส้นทางที่เดินไป ตำราอริยะปราชญ์ทั้งหลายประหนึ่งโคมไฟดวงแล้วดวงเล่าที่ช่วยชี้ทางสว่างให้แก่คนเดิน”
เฉินผิงอันอดพูดขึ้นเบาๆ ไม่ได้ว่า “ที่ใดมีสัจธรรม แม้มีกองทัพนับพันนับหมื่นขวางกั้น ข้าก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป”
เหมาเสี่ยวตงหยุดเดิน ทอดถอนใจอย่างเห็นด้วย “คือหลักการนี้แหละ!”
……
เพียงแค่สองชั่วยาม หลี่เป่าผิงก็พาเผยเฉียนวิ่งเที่ยวไปทั่วสำนักศึกษาครบแล้วหนึ่งรอบ หากไม่เป็นเพราะต้องคอยอธิบายให้เผยเฉียนฟังด้วยความอดทน หลี่เป่าผิงใช้เวลาแค่ชั่วยามเดียวก็เดินได้ทั่วแล้ว
สุดท้ายหลี่เป่าผิงยังพาไปที่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบนยอดเขาตงซานแห่งนั้น เด็กหญิงทั้งสองป่ายปีนต้นไม้ไล่ตามกันไป หลังจากพาเผยเฉียนขึ้นไปยืนมองทิศไกลบนที่สูงแล้วก็ชี้นิ้วออกไปพลางอธิบายให้เผยเฉียนฟังว่าในเมืองหลวงของต้าสุยมีของกินอะไรอร่อยและมีที่เที่ยวใดที่สนุกบ้าง ราวกับว่ากำลังนับสมบัติในบ้านตัวเอง ท่าทางมีชีวิตชีวาเช่นนั้นประหนึ่ง…ตลอดทั้งเมืองหลวงต้าสุยก็คือสวนหลังบ้านของนางเอง
เผยเฉียนแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง
นางนึกภาพออกเลยว่า ตลอดหลายปีมานี้พี่หญิงเป่าผิงที่ชอบสวมชุดกระโปรงหรือไม่ก็ชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสดคนนี้มักจะชอบมายืนรออาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่
คนทั้งสองนั่งอยู่บนกิ่งไม้ด้วยกัน หลี่เป่าผิงควักผ้าเช็ดสีแดงผืนหนึ่งออกมา เปิดห่อผ้าก็เห็นว่าเป็นขนมแป้งข้าวเหนียวสองชิ้น คนทั้งสองแบ่งกันกินคนละชิ้น
เผยเฉียนบอกว่าตอนบ่ายนางเดินเที่ยวคนเดียวก็ได้
หลี่เป่าผิงจึงพยักหน้าตอบรับ บอกว่าตอนบ่ายมีอาจารย์ผู้เฒ่าต่างถิ่นท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ากันว่าคำพูดคำจาของเขาใหญ่โตยิ่งกว่าชื่อเสียงเสียอีก เขาจะมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา เป็นวิชาการให้คำอรรถาธิบายความหมายคำศัพท์โบราณในตำราลัทธิขงจื๊อ ในเมื่อวันนี้อาจารย์อาน้อยมีธุระต้องทำ ไม่ไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง ถ้าอย่างนั้นนางก็อยากจะไปฟังอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินทางไกลมาจากทิศใต้สอนหนังสือดูสักหน่อย อยากรู้ว่าเขาจะมีความรู้อย่างที่ล่ำลือกันจริงหรือไม่
เผยเฉียนที่ไม่รู้ว่าอรรถาธิบายคำศัพท์โบราณคืออะไรถามอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าจะฟังเข้าใจหรือ?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ แต่แล้วก็ส่ายหนน้า “อันที่จริงในตำราที่ข้าคัดก็มีอธิบายเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าข้ามีคำถามมากมายที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ พวกอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็เกลี้ยกล่อมข้าว่าอย่าได้ทะเยอทะยานเกินตัวนัก บอกว่าหากเป็นหลี่ฉางอิงของสำนักศึกษาเป็นผู้ถามก็ยังพอทำเนา ตอนนี้ต่อให้พวกเขาอธิบายให้ข้าฟัง ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ขนาดพูดยังไม่เคยพูด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องฟังไม่เข้าใจ ช่างเถิด พวกเขาเป็นอาจารย์ ข้าไม่ควรพูดแบบนี้ คำพูดเหล่านี้ก็ได้แต่เก็บกลั้นไว้ในท้องเท่านั้น แต่ก็มีอาจารย์บางส่วนที่เบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น สรุปก็คือไม่มีใครเหมือนอาจารย์ฉีที่ต้องหาคำตอบมาให้ข้าได้ทุกครั้ง แล้วก็ไม่เหมือนอาจารย์อาน้อยที่ถ้ารู้ก็บอก ไม่รู้ก็บอกข้าตรงๆ ว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงชอบออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ เจ้าคงไม่รู้ว่าอดีตเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งนี้ของพวกเราก็คืออาจารย์ฉีที่สอนวิชาชั้นประถมให้ข้า หลี่ไหวและหลินโส่วอี เขาเป็นคนพูดว่าความรู้ทั้งหมดล้วนอยู่ที่คำว่า ‘ปฏิบัติ’ คำนี้มีความหมายสองชั้น หนึ่งคือการออกเดินทาง (คำว่าปฏิบัติ 行 แปลได้อีกความหมายหนึ่งว่าเดิน) หมื่นลี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ สองคือบูรณาการ ใช้ความรู้มาอบรมบ่มเพาะขนบธรรมเนียมแห่งวงศ์ตระกูลและปกครองใต้หล้าให้สงบสุข ตอนนี้ข้าอายุยังน้อยจึงได้แต่เดินให้มาก”
—–