ข้างในและข้างนอกร้านอาหารยังคงอึกทึกไปด้วยเสียงของผู้คน
แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์ต้าสุยก็เป็นราชวงศ์ที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ประชาชนยินดีจ่ายเงิน แล้วก็กลาใช้เงิน ถึงอย่างไรหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้สุกลเกาเกอหยางที่ครอบครองบัลลังก์มังกรก็สร้างโลกที่สงบสุขมั่นคงอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ให้แก่ชาวบ้านมาโดยตลอด
ตรงหน้าต่างชั้นที่สองของร้านอาหาร เหมาเสี่ยวตงมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พูดเตือนเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังว่า “จำไว้ว่าแค่ปกป้องตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าโอสถทอง ผู้ฝึกตนสำนักการหทารขอบเขตประตูมังกร อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกร ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง
นักฆ่าห้าคน
ไม่ว่าจะมีสถานะอย่างไร หรือจะยืนอยู่ฝ่ายได้ แต่สรุปก็คือทุกคนต่างก็มารวมตัวกัน อำพรางตัวอยู่ในระยะพันจั้งรอบภัตตาคารแห่งนี้
การจัดขบวนรบเช่นนี้ อย่าว่าแต่ล้อมสังหารเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็สามารถสังหารได้
เฉินผิงอันนึกถึงการกำจัดปีศาจปราบมารเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี เด็กสาวที่ตรงข้อมือข้อเท้ารัดกระพรวนผู้นั้น ตอนนั้นพวกเขาสองคนเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ นางที่มีฐานะเป็นบุตรสาวของเจ้าเมือง แม้ตบะจะไม่สูง แต่ทุกครั้งที่ลงมือช่วยเหลือล้วนทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีกับนางอย่างมาก
หลังจากนั้นได้เดินทางผ่านสองทวีปและภูเขาห้อยหัวอีกหนึ่งลูก แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเขาเฉินผิงอันที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเพียงลำพัง หรือไม่พอมีคนสี่คนในภาพวาดมาอยู่เคียงข้าง แต่ทว่าคนที่ตัดสินใจก็ยังคงเป็นเขาเฉินผิงอัน เดินทางมาเมืองหลวงต้าสุยครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเฉินผิงอันต้องทำเพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเหมาเสี่ยวตงเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัวที่ ‘เหนือศีรษะมีท่านเทพเทวาผู้เฒ่าใช้วิถีสวรรค์คอยสยบกำราบคน’ เมื่อย้อนกลับมาในใต้หล้าไพศาล ตบะของเขาเฉินผิงอันในตอนนี้ยังคงต่ำเตี้ยเกินไป
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “รอจนเจ้าอายุเท่าข้าแล้วยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่ได้ดิบได้ดี คอยดูเถอะว่าข้าจะด่าเจ้าแทนอาจารย์อย่างไร”
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวอย่างจนใจ ใช้เสียงในใจบอกกระบี่บินชูอีกับสืออู่ว่าให้คอยเตรียมพร้อมรับมือกับการปรากฎตัวของนักฆ่าตลอดเวลา
ในชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ปลายนิ้วของมือขวาคีบยันต์ย่อพื้นที่เอาไว้ป้องกันการลอบโจมตี ส่วนมือซ้ายถือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่สามารถใช้ต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่งได้
เหมาเสี่ยวตงวางใจได้ไม่น้อย
ไม่เสียแรงที่ศิษย์น้องเล็กเดินทางท่องยุทธภพมาไกลขนาดนั้น
เสียงของเหมาเสี่ยวตงพลันดังขึ้นบนทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน เขาถามว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์เดินผ่านริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาบ้างหรือไม่? ถูกปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมกดกำราบจนรู้สึกอึดอัดยากจะทนรับยิ่งกว่าอยู่ในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้”
เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้กลายเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไป “เคยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกตอนอยู่ในเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู ยังไม่ได้ฝึกวรยุทธ ครั้งที่สองตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าเป็นผู้ดึงไป แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ได้มองอย่างน้อยก็เป็นเวลาสองร้อยกว่าปี อีกทั้งลำดับเวลายังมักตัดสลับกลับไปกลับมา ดังนั้นถึงแม้ตอนนั้นข้าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกทรมานอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับตอนถูกคนป้อนหมัดบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว รสชาตินั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย”
เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ก่อนหน้านี้ตอนที่เล่าเรื่องประสบการณ์ท่องเที่ยวในห้องหนังสือข้า ทำไมไม่รีบพูด วีรกรรมที่ควรค่าแก่การโอ้อวดเช่นนี้ ไม่เอาออกมาเล่าให้คนอื่นฟัง เท่ากับว่าไอ้ที่ต้องทนรับความลำบากนั้นเสียเปล่าแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้า ก่อนหน้าที่จะกลายมาเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษาซานหยาก็ยังไม่เคยเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน นั่นเป็นภาพที่ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้”
แสงสว่างผุดวาบขึ้นในหัวของเฉินผิงอัน ทำให้เขาโพล่งเจตนารมณ์สวรรค์ออกมา “เจ้าขุนเขาเหมามีวิชาอภินิหารย้ายขุนเขา สามารถทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษาได้ชั่วคราวจริงๆ?!”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว หลายปีมานี้อาศัยข้ออ้างว่าปกป้องเป่าผิงน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองหลวงต้าสุย ใช้กลยุทธปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรก็เพื่อทำเรื่องลับนี้ให้สำเร็จ บนบ่าแบกควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันคนที่คิดไม่ซื่อบ้าง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะอย่างฉุนๆ “แม้แต่เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำเจ้าก็ยังไม่ยอมเรียก ข้ายังต้องการความเข้าใจจากเจ้างั้นหรือ?”
เฉินผิงอันรู้ตัวว่าผิดจึงไม่พูดอะไรอีก
เหมาเสี่ยวตงเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วต่างพู่กัน พริบตาเดียวก็เขียนสี่คำว่า ‘สำนักศึกษาซานหยา’ เสร็จ ทุกขีดอักษรที่ตวัดจบจะต้องมีแสงสีทองไหลรินไปจากนิ้ว และไม่สลายหายไป
เขียนเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็สะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าดินสี่ทิศ!”
ตัวอักษรสีทองสี่ตัวจึงพุ่งวาบหายไปยังสี่ทิศทาง
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับมา “นั่งลงดื่มเหล้าต่อเถอะ”
เพิ่งจะขาดคำ ร่างของเหมาเสี่ยวตงก็หายวับไปแล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยที่สลักลึกลงในใจประดุจกระแสน้ำท่วมทะลักมาถึง เฉินผิงอันเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่จู่ๆ กลับต้องมาอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ
ฟ้าดินเงียบสงัด
ทั้งบนและล่างภัตตาคารไม่เหลือเสียงความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกรคนนั้นกำลังแอบ ‘จัดวางค่ายกล’อย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อปราณวิญญาณของทั้งร่างพลันแข็งชะงัก การโคจรลมปราณไม่ราบรื่น เขาก็เงยหน้าขึ้นทันควัน เห็นเพียงว่าคนที่เดินอยู่บนถนนหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หางตาเหลือบไปเห็นนกที่กำลังบินอยู่บนฟ้าชะงักค้างลอยเติ่ง
อาจารย์ค่ายกลท่านนี้ไม่มัวสนใจแล้วว่าเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาซานหยาจะค้นพบร่องรอยของตนหรือไม่ เขาไม่คิดจะอำพรางลมปราณอีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลทะลักพรั่งพรู ปลายนิ้วคีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง เตรียมจะลงมือ
เพียงแต่ว่ามีมือข้างหนึ่งกดลงมาบนไหล่ของคนผู้นี้พร้อมเสียงพูดกลั้วหัวเราะ “ค่ายกลนี้ของเจ้ามีต้นกำเนิดมาจากสายของค่ายประตูมังกรที่ถ่ายทอดมาจากหนิงเฉวียนเจินเต้าจวินของแผ่นดินกลาง ใช่ไหม?”
อาจารย์ค่ายกลตะลึงพรึงเพริด
ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรเขาก็ไม่อาจสลัดมือใหญ่ของคนด้านหลังที่วางไว้บนไหล่ตนให้หลุดไปได้ อาจารย์ค่ายกลหน้าแดงก่ำ หวังว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านจะมีใครสักคนที่มาช่วยเหลือได้ทันเวลา ช่วยให้ตนหลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้
อาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่งจำเป็นต้องยืมใช้พลังฟ้าดินจากค่ายกลที่ตัวเองจัดวางไว้ชักนำมา การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้วมีความแตกต่างกันไกลโข
ยังดีที่อาจารย์ค่ายกลไม่ได้สิ้นหวังมากนัก
แสงกระบี่พร่างพราวที่มีจุดกำเนิดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือคล้ายเส้นด้ายสีขาวที่พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็คือหว่างคิ้วของเหมาเสี่ยวตงที่อยู่ด้านหลังของอาจารย์ค่ายกล
แสงกระบี่นี้เมื่อมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก ทิศทางการโคจรจึงไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างสมบูรณ์แบบ ปลายกระบี่เกิดสั่นสะท้านเล็กน้อย ตัวกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นก็ส่ายสะบัดขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง
ทุกที่ที่กระบี่บินผ่าน เกิดการเสียดสีทำให้ประกายไฟส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ แตกเป็นระลอก สว่างชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
นี่ก็คือการปะทะกันระหว่างกระบี่บินที่คมกริบกับฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้หลบเลี่ยง ไม่มีร่องรอยการใช้ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นใดๆ ของก่อกำเนิดท่านหนึ่งเลย
กระบี่บินที่อยู่ห่างจากผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่และอาจารย์ค่ายกลไม่ถึงหนึ่งจั้งพลันกระแทกให้เกิดริ้วคลื่นวงหนึ่ง ประหนึ่งโยนก้อนหินลงทะเลสาบ หัวทิ่มผลุบหายเข้าไปในม่านน้ำแล้วไม่เห็นเงาอีก
ขณะเดียวกันเลือดก็ออกจากทวารทั้งเจ็ดของอาจารย์ค่ายกล ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ การเคลื่อนไหวนี้ของเขาทำให้เกิดการปะทะกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของฟ้าดินขนาดเล็กอีกครั้ง เลือดยิ่งไหลไม่หยุด จุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ลมปราณในร่างปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้น ช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงวัตถุแห่งชะตาชีวิต ห้องหัวใจรวมไปถึงบนประตูช่องโพรงแต่ละแห่งคล้ายถูกหมื่นตะปูตอกตรึงเข้ามา อาจารย์ค่ายกลพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับสองนิ้วที่คีบยันต์คุ้มกันชีวิตแผ่นนั้นเอาไว้ นิ้วขยับได้ แต่ลมปราณในร่างกลับเหนียวหนืดราวกับปรอทที่แข็งตัว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
เหมาเสี่ยวตงกุมลำคอของคนผู้นี้แล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเล่มนั้นกระตุ้นให้เกิดน้ำวนลูกหนึ่งด้านหลังเหมาเสี่ยวตง แล้วทิ่มพรวดออกมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งแขกมารยาททรามที่พังประตูบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่น
ทว่ากลับมาไม่ถึงเสียที
อาจารย์ค่ายกลที่เดิมทีก็เจ็บหนักใกล้ตายขัดขวางเส้นทางของกระบี่บินเล่มนั้นพอดี
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระบี่บิน เขาบังคับกระบี่ให้แทงไปที่ร่างของอาจารย์ค่ายกลโดยตรง แล้วก็ใช้จิตควบคุมกระบี่บินให้แทงเหมาเสี่ยวตงต่อ!
อาจารย์ค่ายกลตายตาไม่หลับคาที่ทั้งอย่างนี้
ไหนบอกว่าเหมาเสี่ยวตงออกจากภูเขาตงหัวแล้วก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งอย่างไรล่ะ?
บนเส้นทางการฝึกตน สามลัทธิร้อยสำนัก ทางเส้นใหญ่มีมากมายหลากหลาย หลอมโอสถเก็บสมุนไพร กินอาหารเลี้ยงชีพ เชิญเทพออกคำสั่งภูตผี มองปราณแล้วชักนำมาสู่ตัว หล่อหลอมโอสถใน ป้องกันการแก่ชรา แต่หากก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ไปได้ เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเทพเซียนในสายตาของคนธรรมดาก็ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ทว่าผู้ฝึกตนที่ขึ้นไปอยู่บนเขาแล้วตัดทางเรื่องทางโลก ไม่สนใจความเป็นไปของโลกก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เพราะด้านล่างภูเขาก็มีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้
และยิ่งมีสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
เหมาเสี่ยวตงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างมาปรากฏห่างจากจุดเดิมหลายสิบจั้ง พอหมุนตัวกลับก็ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินที่พุ่งมาถึงที่จุดนี้ได้อย่างพอดิบพอดี
แม้ว่าวีรกรรมที่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินได้อย่างง่ายดายนี้จะน่าตะลึงพรึงเพริด หากเล่าลือออกไปก็มากพอจะทำให้เซียนดินทั้งทวีปตกใจจนฟันร่วงหมดปาก
แต่ขณะเดียวกันกับที่เหมาเสี่ยวตงเผาผลาญปณิธานกระบี่
อันที่จริงฟ้าดินขนาดเล็กที่เหมาเสี่ยวตงเฝ้าพิทักษ์แห่งนี้ก็เกิดการสั่นคลอนน้อยๆ อย่างที่สังเกตไม่เห็นเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นั้นมาอยู่ในฟ้าดินของคนอื่นก็ไม่อาจบังคับลมเดินทางไกลได้อีกแล้ว แต่กลับยังคงพุ่งตะบึงไปได้รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ สุดท้ายพุ่งกระแทกกำแพงสองแถบ ทะลุร้านทั้งร้าน ปล่อยหมัดต่อยเข้าหาเหมาเสี่ยวตง
คนมากมายที่อยู่ในร้านถูกเขาต่อยจนร่างแหลกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สุดท้ายค่อยๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศในร้าน
หมัดของคนผู้นี้รวบรวมพายุลมกรดทั้งหมดของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเอาไว้ ไม่มีเหลือเก็บไว้แม้แต่น้อย ถึงขั้นใช้วิธีการต่อสู้ที่เอาชีวิตแลกชีวิต
เหมาเสี่ยวตงปรับปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นป้ายศิลาที่มีตัวอักษรสีทองส่ายไหวเบาๆ รวมไปถึงสร้างซุ้มประตูให้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ แต่กลับถูกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นี้ต่อยจนแหลกเป็นผุยผง
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดก้าวยาวๆ บุกมาหาด้วยพลังอำนาจที่ใครก็มิอาจขัดขวาง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นบนหลังคา แล้วทะยานมาเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำตลอดทาง ไม่ได้เร็วเท่าผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกล พอพายุลมกรดของร่างทองปะทะเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บนร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็คล้ายมีกองไฟกองใหญ่เผาไหม้ สุดท้ายกระโดดลงมาโฉบเข้าหาเหมาเสี่ยวตงที่ยืนอยู่บนถนน
เหมาเสี่ยวตงที่นิ้วสองข้างถูกกรีดจนเป็นบาดแผลเล็กๆ โยนกระบี่บินที่ถูกกักอยู่ตรงปลายนิ้วไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้น
เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือออกมาต้านรับหมัดของปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล
ชายแขนเสื้อใหญ่ของเหมาเสี่ยวตงโบกสะบัดอย่างรุนแรง แม้แต่จอนผมก็ปลิวไสวไปด้วย
มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองและผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นเพื่อนรักกัน เขาจึงไม่สนใจกระบี่บินที่ปลายกระบี่ทิ่มแทงเข้าหาหัวใจ ยังคงบุกเข้าไปสังหารเหมาเสี่ยวตง
แล้วก็จริงดังคาด จิตของผู้ฝึกกระบี่ขยับเคลื่อนไหว พยายามอย่างสุดกำลังในการขยับปลายกระบี่เบี่ยงหลบ เพียงแต่ว่ากระบี่ก็ยังแทงทะลุไหล่ของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอยู่ดี
เหมาเสี่ยวตงถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เดิมทีควรจะอ่อนแอที่สุดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลัง
ฟ้าดินขนาดเล็กกระเพื่อมตามไปด้วย
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่หมัดถูกขัดขวาง ทว่าพลังและปณิธานหมัดยังคงกร้าวแกร่งฉวยโอกาสนี้ออกหมัดประดุจรัวกลองอย่างราบรื่น
ลำแสงเปล่งวูบวาบไม่หยุด ร่างของเหมาเสี่ยวตงถอยร่นก้าวแล้วก้าวเล่า บนกล้ามเนื้อแขนสองข้างที่เป็นมัดๆ ของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลมีเลือดสดซึมออกมาอาบย้อมอาภรณ์ แต่หมัดที่ปล่อยกลับแกร่งกร้าวดุดันมากขึ้นทุกขณะ
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้เข้าโรมรันประชิดตัวเหมาเสี่ยวตงไปพร้อมกับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล แต่แค่พยามตามให้ทันฝีเท้าของคนทั้งสอง
ใช่ว่าไม่อยากทำร้ายเหมาเสี่ยวตงให้บาดเจ็บสาหัสในรวดเดียว แต่เขารู้ดีถึงหนักเบาและผลดีผลร้ายของการทำเช่นนั้น
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม แต่พุ่งตัวออกจากหน้าต่างขึ้นมายืนบนหลังคาร้านอาหารที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เขาเองก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรกการสู้รบครั้งนี้เช่นกัน
หมัดสุดท้ายของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลต่อยจนเหมาเสี่ยวตงปลิวกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง
ผู้เฒ่ารีบหยุดเดิน อีกทั้งยังถอยกรูดไปด้านหลัง เขาต้องการเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่
ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็รีบขยับเท้ามาขวางอยู่ตรงหน้าขอบเขตเดินทางไกล ยืนอยู่บนเส้นเดียวกันระหว่างฝ่ายหลังกับเหมาเสี่ยวตง
แต่กระนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยมากพอ
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าสบโอกาส
กระบี่บินจึงพุ่งฉิวออกไป
ตรงเข้าทิ่มแทงเหมาเสี่ยวตง
—–