ตอนที่ 415.3 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที่แกว่งไกวอยู่บนหัวใจ

สุดท้ายหลังจากหนุ่มน้อยหน้าหยกทุ่มเงินหมดแล้วก็ด่าต่อว่า “หาเงินไม่ง่าย ฝึกตนก็ไม่ง่าย แม่นางน้อยผู้นี้ไปช่วงชิงกับพวกเจ้าบนมหามรรคา หรือไปฆ่าล้างโคตรพวกเจ้ากันแน่? พวกเจ้าถึงต้องเอาคำพูดมาย่ำยีนางอย่างไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้? ตะพาบน้อยอย่างพวกเจ้าไม่ควรเกิดมาเลยจริงๆ หากข้าผู้อาวุโสมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จะต้องย้อนทวนกลับขึ้นไปบนแม่น้ำแห่งกาลเวลา ตอนที่พ่อแม่ของพวกเจ้าทำสงครามกันบนเตียง ข้าจะตบให้เตียงพังเลย”

สุดท้ายหนุ่มน้อยทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ทวนหนึ่งฉื่อว่า “เจ้าถือว่าจะพอมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่สายตาแย่ไปสักหน่อย ถึงได้ชอบเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากกว่าซูเจี้ย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่ได้ดิบไม่ได้ดีด้านการฝึกตน”

หลังจากนั้นมาทวนหนึ่งฉื่อก็กลายมาเป็น ‘ลูกสมุน’ ของหนุ่มน้อยหน้าหยก ขอแค่ได้เจอกัน ทวนหนึ่งฉื่อก็จะทำตัวไม่ต่างจากสุนัขรับใช้อีกฝ่าย

ก่อนที่เกาเหมี่ยนกับสวินยวนจะทุ่มเงินก็มีคนเริ่มใช้คำพูดสัพยอกเทพธิดาผู้นั้นแล้ว ถึงอย่างไรการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ พวกผู้ชมก็ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ส่วนใหญ่จึงมักจะทำตัวโอหังไร้ยำเกรง เคยชินที่จะใช้หัวล่างมากกว่าหัวบน เวลาที่ชมภาพวาดหรือดูผ่านน้ำในถ้วย หลายคนก็มักจะวางนิยายรักหวือหวาซึ่งเป็นที่นิยมในโลกมนุษย์หลายเล่มไว้ข้างมือ

คงเป็นเพราะติดอยู่ในร่างแหเดียวกัน สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเทพธิดาที่กำลังแสดงความสามารถจึงเดือดร้อนไปด้วย

สาวใช้มีนามว่าสือชิว คือลูกศิษย์ที่เพิ่งได้รับการบันทึกชื่อของสำนักเมื่อไม่นานมานี้ ทุกครั้งที่เจ้านายเผยตัว นางก็จะมาปรากฎตัวในภาพวาดบ้างเป็นบางครั้ง หากไม่ยกน้ำส่งชาก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างหยิบของส่งให้

อันที่จริงเรือนกายของนางโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาท่านนั้น ทว่าการฝึกตนบนภูเขามักจะอาศัยพรสวรรค์และขอบเขตมากำหนดสถานะเสมอ

สำหรับเรื่องพวกนี้เกาเหมี่ยนและสวินยวนเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพจึงเคยชินกับมันแล้ว โดยทั่วไปขอแค่ไม่มากเกินพอดีก็จะไม่พูดอะไร

ทว่าสาวใช้นามว่าสือชิวคนนั้นคงยังไม่ชินกับการถูกหลู่เกียรติที่เกินจะทนเหล่านั้น ดวงตาของนางจึงแดงน้อยๆ กัดริมฝีปากแน่น

แล้วก็ผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีก เพราะพอมองจากมุมนี้ของภาพวาด เกาเหมี่ยนก็เห็นพอดีว่า เทพธิดาที่บางทีอาจเป็นเพราะกรุ่นโกรธที่สาวใช้ทำลายบรรยากาศจึงแอบเหยียบเท้าของสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็วอยู่ใต้โต๊ะ

เดิมทีเกาเหมี่ยนอยากจะเริ่มโยนเงินเทพเซียนลงไปในม้วนภาพแล้ว แต่พอเห็นภาพนี้ก็โยนเงินเกล็ดหิมะกำใหญ่ที่อยู่ในมือกลับเข้าไปบนกองเงิน

หยิบกาเหล้ามาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วเกาเหมี่ยนก็แค่นเสียงหยันว่า “สตรีประเภทนี้อีกแล้ว เสียดายกลิ่นอายตำราน้อยนิดที่พวกนางพกพาจากตระกูลใหญ่ในโลกมนุษย์ไปอยู่บนภูเขาจริงๆ”

สวินยวนยิ้มบางๆ

เกาเหมี่ยนรู้สึกหมดสนุกจึงเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยเตือนว่า “เหล่าเกา เจ้าเพลาๆ ลงน้อย หากไม่ดื่มเหล้า เจ้าก็คือแจกันสมบัติทวีป แต่หากลงได้ดื่มเหล้าขึ้นมา ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนเป็นของเจ้า แต่ที่นี่คือบ้านบรรพบุรุษของข้า ไม่อาจทนรับการอาละวาดเวลาเจ้าเมาได้หรอกนะ!”

เกาเหมี่ยนแค่นเสียงเย็นชา พลันถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) เจ้าคิดว่าชื่อพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนี้เป็นเช่นไร?”

สายตาของสวินยวนจับจ้องไปที่ม้วนภาพวาดตลอดเวลา ปากก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “แข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน เผด็จการ ดุจดั่งนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ โดดเด่นไม่เหมือนใครในแจกันสมบัติทวีป!”

เกาเหมี่ยนพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าดูทิศทางลมเป็น รู้จักพูดกับข้าด้วยคำพูดที่ออกมาจากใจจริง”

หลิวเหล่าเฉิงทนมานาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดกับสวินยวนว่า “ผู้อาวุโสสวิน ท่านคิดอะไรอยู่ หากเป็นเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยไปตามใจตาแก่เกานี่เถอะ แต่เขาตั้งชื่อพรรคเหมือนผายลมสุนัขเช่นนี้ ทำร้ายให้ลูกศิษย์ในสำนักแต่ละคนเงยหน้าไม่ขึ้น ผู้อาวุโสสวินยังจะชื่นชมเขาอย่างหน้ามืดตามัวเช่นนี้ ข้าหลิวเหล่าเฉิง…ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!”

หลิวเหล่าเฉิงแห่งท่าเรือหางผึ้ง บุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่ที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเข่นฆ่าสังหารฝ่าเส้นทางเลือดจนขึ้นสู่ขอบเขตหยกดิบจึงได้เห็นเรื่องราวและคนประหลาดมามากมาย

ทว่าคนอย่างสวินยวนและเกาเหมี่ยน คนหนึ่งคือผู้นำเซียนซือแห่งใบถงทวีปที่มีขอบเขตเซียนเหริน อีกคนหนึ่งคือบรรพบุรุษของสำนักในแจกันสมบัติทวีปที่ขอบเขตถดถอยมาสู่ก่อกำเนิด หากจะบอกว่าแค่พบหน้าก็รู้สึกเหมือนสนิทสนมกันมานาน นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดี อันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว การที่พวกเขาไม่สนใจความต่างของสองขอบเขต ไม่ถือสาความต่างของรากฐานของทั้งสองสำนัก หลิวเหล่าเฉิงก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่สวินยวนเจ้าจำเป็นต้องยกย่องชมเชยบุรุษหยาบกระด้างที่ไร้อารยธรรมอย่างเกาเหมี่ยนผู้นี้ไปทุกเรื่องด้วยหรือ?

แรกเริ่มเดิมทีหลิวเหล่าเฉิงยังกลัวว่าสวินยวนจะมีจุดประสงค์อย่างอื่น แต่สวินยวนถึงขนาดกล้าคุมเชิงกับฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋า อีกทั้งยัง ‘บินทะยานน้อย’ ไปยังม่านฟ้า เพื่อปรึกษาหารือกับอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ว่าเศษซากถ้ำสวรรค์แห่งนั้นควรจะตกเป็นของใคร บวกกับหลังจากนั้นคนทั้งสามไม่มีอะไรทำจึงจับมือกันออกท่องเที่ยว ต่อให้เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่รอบคอบขี้ระแวงก็ยังจำต้องยอมรับการประจบสอพลอที่สวินยวนมีต่อเกาเหมี่ยน และการวางอำนาจที่เกาเหมี่ยนมีต่อสวินยวน

คนทั้งสองถึงขนาดปฏิบัติต่อกันด้วย…ความจริงใจ

สวินยวนยิ้มบางๆ ให้กับหลิวเหล่าเฉิง “ข้ารู้สึกว่าตั้งชื่อพรรคว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนั้นดีมากจริงๆ”

หลิวเหล่าเฉิงถอนหายใจหนึ่งที กุมหมัดยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “นับถือๆ”

เกาเหมี่ยนพูดขึ้น “หลิวเหล่าเฉิง เรื่องอื่นๆ เจ้าดีว่าเสี่ยวเฟยเซิงทุกอย่าง มีเพียงเรื่องความสามารถในการประเมินความงามนี่แหละที่เจ้าสู้เสี่ยวเฟยเซิงไม่ได้เลย”

สวินยวนตบเข่าหนึ่งที “ใช่ๆๆ ประโยคนี้ของหนุ่มน้อยทำให้สติปัญญาของข้าเปิดโล่ง เดิมทีข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบนเส้นทางการฝึกตน ข้าถึงต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังมาโดยตลอด คำกล่าวของหนุ่มน้อยในวันนี้เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ ก็เพราะความสนใจและความสามารถในการประเมินความงามของข้าเป็นเหตุ ถึงทำให้ข้ายิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาว! หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอกับหนุ่มน้อย…”

เกาเหมี่ยนตบโต๊ะดังปัง “ใครต้องการคำพูดประจบยกยอของเจ้า? อยู่ในพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ข้าผู้อาวุโสได้ฟังมานานจนหูด้านชาแล้ว!”

สวินยวนจึงได้แต่ปิดปากให้สนิท

วันนี้ไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่น่าชมอีก เกาเหมี่ยนจึงตั้งใจถอนวิชาอภินิหารของผู้ฝึกลมปราณออก ดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย แล้วจึงไปนอน

สวินยวนถึงได้กล้าโยนเงินร้อนน้อยสองสามเหรียญเข้าไปในม้วนภาพวาดแล้วเปิดปากพูด บอกว่าหากวันหน้าแม่นางสือชิวสามารถมาปรากฎตัวอยู่ในม้วนภาพวาดได้เพียงลำพัง เขาทวนยาวหนึ่งฉื่อยินดีจะให้การสนับสนุน

จากนั้นสวินยวนก็เก็บม้วนภาพวาด

ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์มีมากมายดุจขนวัว สวินยวนไม่ยินดีจะเดินไปจมบ่อโคลนของโลกมนุษย์ใบนี้ ทุกเรื่องจึงหยุดแค่พอสมควร

หลิวเหล่าเฉิงลังเลอยู่นานมากกว่าจะพูดว่า “ผู้อาวุโสสวิน ในฐานะเพื่อนของเกาเหมี่ยน ข้าหลิวเหล่าเฉิงอยากจะขอละลาบละล้วงถามสักคำ ท่านผู้อาวุโสเป็นเจ้าประมุขพรรคกุยหยก ไม่มีแผนการอะไรต่อเกาเหมี่ยนจริงๆ หรือ?”

สวินยวนส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เคยมีจริงๆ แค่เพราะชีวิตหยุดนิ่งมานานเลยอยากจะหาจุดเปลี่ยนบ้างเท่านั้น นึกอยากลองมาเดินเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าดู แล้วก็บังเอิญว่าที่นี่มีเกาเหมี่ยนเป็นสหายแค่คนเดียว หากไม่มาหาเขาจะไปหาใคร?”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

สวินยวนจึงกล่าวต่อว่า “แต่ว่าความคิดที่เห็นแก่ตัวก็ยังพอมีอยู่บ้าง ผู้ฝึกลมปราณอยากเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนย่อมแสวงหาคำว่าผสานมรรคา อาศัยสิ่งนี้มาทลายจิตมารซึ่งเป็นดั่งธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จะว่าอย่างไรดีล่ะ นี่ก็เหมือนกับการยืมของบางอย่างมาจากสวรรค์ที่ต้องคืนระหว่างที่อยู่ในขอบเขตเซียนเหริน และหากขอบเขตเซียนเหรินคิดอยากจะพัฒนาไปอีกขั้น ก็หนีไม่พ้นการฝึกตนเพื่อแสวงหาความจริง ซึ่งเน้นที่คำว่าจริงคำนี้คำเดียว”

หลิวเหล่าเฉิงลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างนอบน้อม “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”

สวินยวนส่ายหน้ายิ้ม “คำพูดเก่าแก่ล้าสมัยพวกนี้ เจ้าหลิวเหล่าเฉิงมีพรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ จะได้รับคำชี้แนะอะไร? แล้วข้าจะชี้แนะอะไรเจ้าได้?”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกลับไปนั่งที่เดิม “หากไม่มีเกาเหมี่ยน เชื่อว่าชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสสวินหรอกกระมัง?”

สวินยวนพยักหน้ารับ “เพราะพวกเราไม่มีทางเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความรู้จักกัน ข้ายอมรับในตัวเจ้าหลิวเหล่าเฉิง”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “ถือเป็นความโชคดีของผู้น้อย!”

สวินยวนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้า ข้าคิดว่าจะสร้างสำนักภายใต้การปกครองของสำนักกุยหยกขึ้นในแจกันสมบัติทวีป โดยให้เจียงซ่างเจินเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรก เจ้ายินดีจะรับผิดชอบเป็นหัวหน้าผู้ถวายงานหรือไม่?”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “เกาเหมี่ยนรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

สวินยวนส่ายหน้า “ไม่ได้บอกเขา เพราะข้าเห็นเขาเป็นเพื่อนจริงๆ แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงนั้นไม่ใช่ ดังนั้นพวกเราสามารถคุยเรื่องพวกนี้กันได้”

หลิวเหล่าเฉิงเริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

สวินยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากท่าเรือหางผึ้ง เจ้าค่อยให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้าก็แล้วกัน วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบังคับให้เจ้าลำบากใจ อีกอย่างความสามารถของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงก็นับว่าไม่น้อยจริงๆ”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ขอให้ข้าได้พิจารณาอีกสักหน่อย”

ต่อให้สวินยวนจะเป็นเซียนที่มีเวทคาถาค้ำฟ้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่นี้ของเขา

จะทำให้สาวใช้นามว่าสือชิวผู้นั้นยืนนิ่งไม่ขยับหลังจากทางสำนักแจ้งแก่นางว่านางสามารถ ‘เปิดภาพ’ ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง จากนั้นนางก็ถูกเทพธิดาผู้นั้นตบหน้าไปสิบกว่าที ด่านางว่าแพศยานับครั้งไม่ถ้วน สือชิวไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งเทพธิดาผู้นั้นระบายโทสะเสร็จแล้วหมุนกายเดินจากไปไกลมากแล้ว นางถึงได้กล้ายกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กลับเข้าไปในห้องที่เล็กแคบของตัวเอง นางปิดประตูลง ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง กำไว้ในมือแน่น นางใช้อีกมือหนึ่งอุดปากตัวเอง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังลอดร่องนิ้วออกมา

……

ที่แคว้นชิงหลวน รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจิ้งถิงจากที่เป็นผู้นำของปัญญาชน เป็นเจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม จู่ๆ กลับเปลี่ยนไปมีชื่อเสียงเน่าเหม็น กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งราชสำนัก

ต่อให้เป็นพวกพ่อค้าหาบเร่ก็ยังเริ่มพูดคุยเรื่องรักใคร่ของเหล่าปัญญาชนอย่างคะนองปาก

สวนสิงโตปิดประตูไม่ต้อนรับแขก หลิ่วจิ้งถิงไม่เคยอะไรกับคนภายนอกแม้แต่คำเดียว

หลี่เป่าเจินทำงานใหญ่ประสบความสำเร็จ เป็นเหตุให้เหล่าปัญญาชนที่เดินทางลงใต้สูญเสีย ‘พันธมิตรวงการวรรณกรรม’ ในนามไป จำต้องหันไปหาคนอื่น หางูเจ้าถิ่นแห่งวงการวรรณกรรมของแคว้นชิงหลวนที่สามารถสยบผู้คนและรวบรวมใจคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เพียงแต่ว่าเคราะห์ภัยที่หลิ่วจิ้งถิงต้องเผชิญทำให้พวกผู้รอบรู้ทั้งหลายที่เดิมทีหมายมั่นปั้นมืออยากเล่นงานอีกฝ่ายเกิดความกังวลใจ ตระกูลใหญ่ชนชนสูงที่ย้ายมาอยู่แคว้นชิงหลวนก็ได้แต่ต้องถอยไปก้าวหนึ่ง หวังจะหาผู้นำจากภายในกันเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์จะซับซ้อนยิ่งขึ้น อันที่จริงเจ้าประมุขของตระกูลใหญ่หลายแห่งก็มีชื่อเสียงไม่เป็นรองหลิ่วจิ้งถิง แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนต่างถิ่น ล้วนเป็นมังกรที่ข้ามแม่น้ำมาเหมือนกัน แล้วใครเล่าจะยินดียอมอยู่ต่ำกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง? ใครบ้างที่ไม่เป็นกังวลว่าคนผู้นั้นที่ถูกแนะนำมาจะไม่แอบเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปใช้ส่วนตนลับหลังทุกคน?

กลุ่มปัญญาชนในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนจึงเกิดความโกลาหลวุ่นวาย พวกคนเบื้องหลังที่เดิมทียังคิดจะควบคุมหลิ่วจิ้งถิงให้เป็นหุ่นเชิด เพื่อใช้เขาคานอำนาจกับตระกูลต่างถิ่นของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบเช่นกัน

วันนี้หลี่เป่าเจินไปเยี่ยมเยือนหลิ่วชิงเฟิงที่ที่ว่าการอำเภอ คนทั้งสองเดินเล่นอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงสนธยา หลี่เป่าเจินคลี่ยิ้มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่พวกปัญญาชนที่เดินทางลงใต้ซึ่งเป็นดั่งฝูงมังกรไร้หัวว่า “ซิ่วไฉก่อกบฏ สามปีก็ไม่สำเร็จ”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เป่าเจินกว้างขวางเบิกบาน

ทว่าในใจกลับเยียบเย็น

คืนนั้นหลังจากที่หลิ่วชิงเฟิงจากไป เพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็ทำการตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ใน ‘ขวานสามกระบวน’ (เปรียบเปรยถึงวิธีการแก้ปัญหาที่มีไม่เยอะ แต่กลับได้ผลดี หรือสร้างอานุภาพข่มขวัญคนอื่นก่อน แต่กลับไม่มีวิธีรับมือในภายหลัง) ของหลิ่วชิงเฟิง เพื่อทำให้แผนการครั้งนี้สมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาด

ตอนนั้นเจ้าพวกสมองหมูและพวกห่อหญ้าใบใหญ่ (เปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งของที่ไร้ค่า) ที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เลื่อมใสหลี่เป่าเจินอย่างถึงที่สุด พูดชื่นชมกันไม่หยุดปาก มองดูแล้วก็เหมือนจะมีความจริงใจอยู่หลายส่วน

ทว่าหลี่เป่าเจินกลับยิ่งรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งกาย

เพราะหลี่เป่าเจินฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นเศษน้ำแกงที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจเหลือไว้ให้เขา

เป็นพื้นที่ว่างที่ให้เขายืมมาสร้างบารมีของตัวเอง

นี่ก็คือการเหลือพื้นที่ (มาจากประโยค 做人留一线,日后好相见แปลตรงตัวเป็นคนควรเหลือที่ว่าง วันหน้าจึงจะเจอกันได้ใหม่ ความหมายก็คือคนเราไม่ควรพูดจาแล้งน้ำใจ หรือทำอะไรที่เด็ดขาดใจดำเกินไป ควรจะเหลือหนทางให้กับผู้อื่นบ้าง วันหน้าเมื่อพบเจอกันจะได้เข้าหน้ากันติด) อย่างไร้เสียงของหลิ่วชิงเฟิง

ตอนที่หลี่เป่าเจินเดินออกมาจากที่ว่าการ เขาอดหันหน้ากลับไปมองซุ้มป้ายของที่ว่าการอีกครั้งแล้วพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะไม่ได้ว่า “ยังดีที่ทำงานในที่ว่าการไม่อาจฝึกฝนให้เกิดมหามรรคาอมตะอะไรได้”

พอนึกถึงพวกเสมียนนักการที่เดิมทีชื่นชมเลื่อมใสและนับถือนายอำเภอหลิ่วจากใจจริง ทว่าตอนนี้สายตาของแต่ละคนกลับเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน ในใจเกิดความห่างเหิน หรือบางคนถึงขั้นไม่ปกปิดความเวทนาเอาไว้

หลี่เป่าเจินก็เริ่มอารมณ์ดี เดินเร็วๆ ออกไปจากที่ว่าการด้วยฝีเท้าที่เบาและไวขึ้นอีกหลายส่วน

หลิ่วชิงเฟิงกลับไปยังที่พักของตัวเอง ตรวจสอบเอกสารคดีความที่เหลืออยู่ จู่ๆ ก็นึกถึงเลขานุการฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีชื่อจริงว่าหวังอี้ฝู่ผู้นั้นขึ้นมา ในอดีตเขาเคยเป็นขุนพลผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูที่อยู่ทางเหนือสุด ซึ่งอีกไม่นานกำลังจะกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย จับโจรผู้ร้ายในอำเภอ นึกถึงว่าคนที่มีความสามารถมากพอจะดำรงตำแหน่งเสาคานค้ำยันราชสำนักต้าหลี กลับต้องกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอในแคว้นชิงหลวน?

นายอำเภอหลิ่วผู้นี้ก็หัวเราะออกมา

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset