บทที่ 429 ให้โอกาสเขาสักครั้ง
“แค่เข้าโรงเรียนภาคค่ำเอง คุณยายไม่รู้เหรอครับว่าน้าสะใภ้เป็นคนยังไง? น้าสะใภ้จะแย้งเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะครับ? หล่อนก็แค่โทษคุณน้าว่าให้การดูแลเฉียงจื่อโดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยต่างหาก” กังจือเอ่ย
“เฉียงจือก่อเรื่องอะไรกับตระกูลจ้าวไว้งั้นเหรอ?” ท่านพ่อโจวเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาถามพลางย่นคิ้ว
สะใภ้สี่ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ นอกจากจะทนไม่ได้จริง ๆ ถึงตอนนั้นเธอก็จะแสดงความรู้สึกออกมา
“พนักงานคนหนึ่งในโรงงานตระกูลจ้าวถูกซ้อมจนต้องเข้าโรงพยาบาล ว่ากันว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย” กังจือบอกเมื่อเห็นว่าคุณตาคุณยายของเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย
“อะไรนะ?” ท่านแม่โจวผุดลุกขึ้นยืนในทันที
“คุณยายใจเย็นก่อนครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” กังจือละล่ำละลัก
“เกิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? นานเท่าไหร่แล้วนับจากที่เขามาถึงและกล้าลงมือต่อยตีคนอื่น? ยิ่งกว่านั้นยังล่อถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลด้วย?” ท่านแม่โจวถามอย่างไม่อาจนั่งติดเก้าอี้ได้
“ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมคุณน้าสะใภ้ถึงจะอยากสนใจเขาล่ะครับ?” กังจือเอ่ย
ท่านแม่โจวรู้สึกของขึ้นทันที “คราวที่แล้วพวกเขาสองพี่น้องมาที่นี่ พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ฉันเลยไม่รู้เรื่องสักนิด!”
“คราวหน้าคุณพูดน้อย ๆ หน่อยเถอะถ้าไม่รู้ว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง” ท่านพ่อโจวดุด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
สีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด นานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่ที่เขามาที่เมืองหลวง? และสถานที่อย่างโรงงานที่นั่นมันเป็นอย่างไรกันล่ะ? ต่อให้มันเป็นของตระกูลจ้าว พวกเขาจะไม่อยากไว้หน้าหน่อยเหรอ?
คงจะดีกว่าถ้าไปที่นั่นแล้วอดทนสักหน่อย ไม่ยอมทำร้ายใครทั้งนั้น แต่หลานชายคนนี้กลับซ้อมชายคนหนึ่งจนเข้าโรงพยาบาล
ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็เป็นฝ่ายผิด!
เมื่อโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินกลับมาบ้านพร้อมกับเด็ก ๆ พวกเขาก็รับรู้ถึงสีหน้าน่าเกลียดของพ่อแม่จนต้องถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
หลังจากได้ยินท่านพ่อโจวพูดเสียงดุเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นเพราะสองพี่น้องนี่ เราถึงพลอยเจอแต่ปัญหาไม่หยุดหย่อนไปด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่สะใภ้สี่ถึงไม่ยอมให้เขามา” โจวเสี่ยวเหมยแค่นเสียงเย็นชา
ซูต้าหลินย่นคิ้ว เขามักจะยึดความสงบเป็นหลักสูงสุดอยู่เสมอ ตัดความจริงที่ว่าเขาทำร้ายคนอื่นหลังจากมาที่นี่ได้ไม่นาน พฤติกรรมนี้ก็ถือว่ารับไม่ได้จริง ๆ
“คุณแม่คิดยังไงคะ? คุณแม่ยังอยากพูดให้พวกเขาต่อหน้าพี่สะใภ้สี่อีกไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยพูดกับแม่ของหล่อน
ท่านแม่โจวถลึงกลับ “หาเรื่องเหรอ?”
“หนูก็แค่เตือนแม่ไว้น่ะค่ะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้แล้วสร้างปัญหาให้พี่สะใภ้สี่เลย พี่สะใภ้สี่แยกตัวเองเพื่อไปทำอะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ฉันก็รู้ว่าพี่สะใภ้สี่ของแกรับมือกับเรื่องพวกนี้ไม่ง่ายนัก แต่ตอนนี้หล่อนกับพี่สี่ของแกไม่คุยกันมาหลายวันแล้ว แกว่างไหมล่ะ? ถ้าว่างก็ไปช่วยไกล่เกลี่ยหน่อย” ท่านแม่โจวไม่กล้าไปพูดกับสะใภ้สี่ จึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้ลูกสาวของนางแทน
“แม่รู้ว่าพวกเขาไม่คุยกันมาหลายวันแล้วเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“กังจือมาที่นี่แล้วบอกฉันน่ะ” ท่านแม่โจวอธิบาย
“งั้นคืนนี้หนูจะแวะไปที่นั่นพร้อมต้าหลินแล้วกันค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ จากนั้นก็เม้มปาก “ไม่รู้ว่าพี่สาวใหญ่สอนลูกยังไงนะคะ เด็กสองคนนี้นี่จริง ๆ เลย!”
“ตอนงานเลี้ยงฉลองงานแต่งครั้งที่แล้ว หล่อนขอให้ฉันไปบอกอาสี่กับสะใภ้สี่ให้เฉียงจืออยู่ที่นี่ด้วยล่ะ บอกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีแล้วก็ขยันทำงาน!” ท่านแม่โจวพลอยผสมโรงไปกับหล่อนด้วย
โชคดีที่ตอนนั้นนางรู้ว่าสะใภ้สี่โมโหอย่างมากจึงรีบปฏิเสธทันที ถ้านางไปพูดขอเรื่องนี้และปล่อยให้เฉียงจือมาอยู่ทำร้ายผู้คนล่ะก็ พวกเขาจะทำธุรกิจกันได้หรือ?
เมื่อโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินมาถึงในตอนเย็น หู่จือกับคนอื่น ๆ ก็ไปโรงเรียนภาคค่ำกันแล้ว ขณะที่โจวเฉวี่ยนออกไปทำงานพิเศษ
ไม่รู้ว่าเขารับงานนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาทำงานเป็นครูสอนพิเศษให้กับนักเรียนมัธยมปลาย 2 ชั่วโมงต่อคืนและได้เงินค่าจ้างมา 1 หยวน
หลินชิงเหอปล่อยให้เขาทำงานตามใจชอบ
ส่วนโจวกุยหลายนั้นไปเรียนหนังสือที่บ้านเพื่อน ปีนี้เขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนเต็มที่
จึงมีแค่หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เท่านั้นที่อยู่บ้าน
เมื่อโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินมาหา หลินชิงเหอก็เกือบจะถูกโจวชิงไป๋เกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว
“พี่สะใภ้สี่ ฉันได้ยินว่าเชิ่งเฉียงทำร้ายคนอื่นเหรอคะ เกิดอะไรขึ้น?” โจวเสี่ยวเหมยถามทันทีที่เข้ามาในบ้าน
“ทำร้ายคนอื่น?” โจวชิงไป๋ยังไม่รู้เรื่องนี้ เด็ก ๆ คิดว่าเขารู้แล้วจึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อหน้าเขา ขณะที่จริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องเลย
“พี่สี่ไม่รู้เหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถามอย่างประหลาดใจ “พี่สะใภ้สี่ไม่ได้บอกพี่เหรอ?”
“ขี้เกียจพูดน่ะ” หลินชิงเหอบอก
โจวเสี่ยวเหม่ยจึงบอกพี่ชายสี่ด้วยตัวเอง โจวชิงไป๋จึงมีสีหน้ามืดครึ้มลง
“มันผ่านไปแล้วล่ะ มาคิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว ตอนนี้เขาเข้าโรงเรียนภาคค่ำแล้วและขึ้นอยู่กับความหวังของคุณที่เป็นน้าของเขาแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอโบกมือ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะให้สวี่เชิ่งเฉียง
“คุณไม่ได้บอกผมเลย” โจวชิงไป๋เอ่ย
“ก่อนที่ฉันจะบอกคุณ คุณบอกฉันว่าอยากให้เขาเข้าโรงเรียนภาคค่ำ แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีกล่ะคะในเมื่อคุณตกลงปลงใจไปแล้ว?” หลินชิงเหอโต้กลับ
โจวชิงไป๋ไม่เอ่ยอะไร
“เจ้าใหญ่ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว เขาได้โทรกลับมาบ้างไหมคะ? คุณพ่อกับคุณแม่ถามถึงเขาอยู่ คุณแม่เลี้ยงไก่ไว้ตั้งหลายตัวเพราะอยากจะเอามาตุ๋นให้เจ้าใหญ่กินน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยรีบเปลี่ยนประเด็น
“เขาจะกลับมาเดือนหน้าน่ะ” พูดถึงลูกชายคนโตแล้ว หลินชิงเหอก็ไม่สนใจอะไรอีก
“เมื่อวานนี้ฉันไปเดินห้างสรรพสินค้ากับต้าหลินแล้วก็อยากซื้อตู้แช่แข็งน่ะค่ะ แต่ราคามันไม่ถูกเลยจริง ๆ” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“มันไม่ถูกหรอก แต่ใช้ได้นานหลายปีเลยล่ะ เธอจะได้เงินคืนกลับมาภายใน 1 เดือน” หลินชิงเหอตอบ
“ค่ะ ฉันวางแผนจะซื้อมันมาใช้พรุ่งนี้เลย เพราะเราต้องการตู้แช่แข็งแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า ก่อนจะถามหลินชิงเหอ “พี่สะใภ้สี่ กิจการร้านเสื้อผ้าที่เปิดใหม่เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“กิจการที่นั่นไปได้ดีอยู่ล่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า “แล้วร้านซาลาเปาล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? อยู่ตัวแล้วหรือยัง?”
“ก็เหมือนเคย ค่อนข้างคงตัวแล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ “แค่ขึ้นราคาของนิดหน่อยในพักหลังนี้ ลูกค้าเลยพากันพูดว่าแพงขึ้นน่ะค่ะ”
“ของทุกอย่างขึ้นราคากันหมดแหละ ราคาซาลาเปาจะไม่เพิ่มด้วยได้ยังไง?” หลินชิงเหอบอก ปีนี้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ในอดีตครอบครัวสมาชิก 5 คนสามารถอยู่ได้ด้วยเงิน 30 หยวนต่อเดือน แต่มาตอนนี้กลับเป็น 40 หยวนต่อเดือนถึงจะอยู่ได้ เห็นได้ชัดว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก
โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เมื่อดูเหมือนว่าคู่สามีภรรยาจะไม่มีปัญหาใหญ่กันแล้ว พวกเขาจึงขอตัวกลับ
“คราวหน้าบอกเรื่องพวกนี้กับผมก่อนนะ” โจวชิงไป๋พูดหลังปิดประตู
หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขา “คุณตกลงไปแล้วนี่คะ ฉันพูดอะไรไปก็ไม่สำคัญหรอก”
“ให้โอกาสเขาสักครั้งเถอะ” โจวชิงไป๋ตอบ
หลินชิงเหอเอนซบอ้อมแขนของเขาและเอ่ยขึ้น “เขาเป็นหลานชายของคุณนี่คะ ถ้าคุณอยากให้โอกาสเขา ฉันก็แย้งไม่ได้หรอก”
โจวชิงไป๋มีสีหน้าอ่อนลงและกอดเธอไว้ เขารู้สึกทรมานใจนิดหน่อย “คุณเมินผมมาหลายวันแล้วนะ”
“รอบเดือนฉันมาน่ะค่ะ กำลังอารมณ์ไม่ดี ให้คุณอยู่ห่างจากฉันมันดีต่อตัวคุณแล้ว” หลินชิงเหอแค่นเสียงขึ้นจมูก
“หมดหรือยังครับ?” โจวชิงไป๋เอ่ยพลางลูบแขนของเธอ
หลินชิงเหอรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอกลอกตาใส่เขาและตอบกลับ “คืนนี้ไม่ต้องมาแตะตัวฉันนะคะ คุณนอนไปคนเดียวเลย”
เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่แตะต้องเธอ โจวชิงไป๋ปิดทีวีพร้อมกับอุ้มเธอเข้าไปพักผ่อนในห้องทันที
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ช็อคกันทั้งบ้านล่ะสิคะ เข้าใจหรือยังว่าทำไมสะใภ้สี่ถึงไม่อยากยุ่งด้วย
แม่หายงอนพ่อแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ
ไหหม่า (海馬)