ตอนที่ 432.1 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ

เมื่อกู้ช่านเอ่ยประโยคนั้นด้วยเสียงสะอื้นจบ สตรีแต่งงานแล้วก็ก้มหน้าลง ตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้ว่าเสียใจหรือโกรธเคือง

เฉินผิงอันวางตะเกียบลงเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก “กู้ช่าน”

กู้ช่านรีบเช็ดน้ำตา ตะโกนตอบเสียงดัง “อยู่นี่”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าอาจจะตีเจ้า ด่าเจ้า พูดเหตุผลหลักการที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้กับเจ้า เหตุผลหลักการที่เจ้าคิดว่าไม่ถูกต้องเลยสักนิดเดียว แต่ข้าไม่มีทางไม่สนใจเจ้า ไม่มีทางทิ้งเจ้าไปทั้งอย่างนี้”

เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมองกู้ช่าน น้ำเสียงก็ไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่ในถ้อยคำกลับเผยความเด็ดเดี่ยวยืนกราน ทั้งเป็นการพูดกับกู้ช่าน และยิ่งเหมือนพูดกับตัวเอง “หากวันใดที่ข้าจะจากไป นั่นต้องแสดงว่าข้าข้ามผ่านหลุมในใจหลุมนั้นไปได้แล้ว หากข้ามไปไม่ได้ ข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ที่เกาะชิงเสียและทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้”

กู้ช่านยิ้มทั้งน้ำตา “ตกลง! พูดคำไหนคำนั้น เฉินผิงอันเจ้าไม่เคยโกหกข้า!”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น”

หัวใจแล่นมาจุกที่ลำคอของกู้ช่านทันที เรือนกายที่เพิ่งจะผ่อนคลายได้น้อยๆ เกร็งเครียดอีกครั้ง จิตใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินกันมา ข้าบอกว่าเมื่อมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ข้าจะฟังเจ้าอย่างเดียว จะไม่พูดอะไรอีก แต่พอข้ากินข้าวไปแล้วกลับรู้สึกว่าเริ่มมีแรงบ้างแล้ว เลยคิดจะพูดต่ออีกหน่อย ยังคงเป็นกติกาเดิม ข้าพูด เจ้าฟัง หลังจากนั้นหากเจ้ามีอะไรที่อยากจะพูด ก็ถึงคราวที่ข้าต้องเป็นคนฟังบ้าง ไม่ว่าเวลานั้นใครเป็นคนพูด คนที่ฟัง หรือคนที่กำลังอธิบายล้วนไม่ต้องรีบร้อน”

กู้ช่านยิ้มสดใส เกาหัวถาม “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปนั่งที่โต๊ะได้ไหม? ข้ายังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กินเยอะๆ หน่อย ร่างกายของเจ้ากำลังอยู่ในช่วงเติบโต”

กู้ช่านเช็ดหน้า เดินไปยังตำแหน่งเดิมก่อนหน้านี้ ทว่าเขาแค่ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้เฉินผิงอันอีกนิด ด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะเปลี่ยนใจ ไม่รักษาคำพูด หมุนตัวเดินไปจากห้องแห่งนี้และเกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นเขาจะได้ขัดขวางเฉินผิงอันได้เร็วขึ้น

จากนั้นกู้ช่านก็วิ่งไปตักข้าวมาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พอนั่งลงแล้วก็ก้มหน้าพุ้ยข้าวใส่ปาก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ชอบเลียนแบบเฉินผิงอัน กินข้าวเป็นเช่นนี้ มือสองข้างที่สอดอยู่ในชายแขนเสื้อก็เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนเวลาถึงหน้าหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ หนึ่งเด็กโตหนึ่งเด็กเล็ก คนยากจนสองคนที่ต่างก็ไม่มีเพื่อนชอบเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อเพื่อหาความอบอุ่นให้ตัวเอง โดยเฉพาะทุกครั้งหลังจากที่ปั้นตุ๊กตาหิมะกันแล้ว คนทั้งสองที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน ตัวสั่นเหมือนกันจะพากันหัวเราะร่า ตลกขบขันอยู่ด้วยกันสองคน หากจะพูดถึงความสามารถในการด่าคนและเล่นงานคนอื่น เวลานั้นกู้ช่านที่ยังมีขี้มูกยืดเก่งกาจกว่าเฉินผิงอันมากนัก ดังนั้นจึงมักจะเป็นเฉินผิงอันที่ถูกกู้ช่านพูดใส่จนตอบโต้ไม่ออก

เฉินผิงอันมองกู้ช่านแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “ท่านอา วันนี้หากมีเด็กอีกคนหนึ่งมาเดินวนเวียนอยู่นอกประตูบ้าน ท่านจะเปิดประตูแล้วให้ข้าวถ้วยหนึ่งแก่เขาหรือไม่? แล้วจะยังจงใจพูดกับเขาว่า ข้าวถ้วยนี้ไม่ได้ให้เปล่า แต่ต้องจ่ายคืนด้วยเงินที่ได้จากการขายสมุนไพรหรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าคิดว่าท่านไม่น่าจะทำเช่นนั้น”

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้รู้สึกว่าท่านอาทำผิด ต่อให้ไม่พูดถึงสภาพแวดล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ หรือต่อให้ปีนั้นท่านอาไม่ได้ทำเช่นนี้ ข้าก็ยังไม่รู้สึกว่าท่านอาทำผิดอยู่ดี”

“ดังนั้นข้าถึงไม่มีทางลืมข้าวถ้วยนั้นของปีนั้น และนั่นยังทำให้ข้าเฉินผิงอันสบายใจได้เล็กน้อย รู้สึกว่าอย่างน้อยตัวเองก็ไม่ได้ไปเป็นขอทานอย่างที่ท่านแม่บอก แค่ติดเงินท่านอาไว้ก่อน เมื่อกินข้าวไปแล้ว ข้าต้องใช้คืนให้ท่านได้แน่นอน”

สตรีแต่งงานแล้วหันหน้าไปเช็ดน้ำตาอีกทาง

เฉินผิงอันถามด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง “แต่ท่านอา ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่มีข้าวถ้วยนั้น ข้าก็ไม่มีทางมอบหนีชิวตัวนั้นให้แก่บุตรชายของท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังอยู่ที่ตรอกหนีผิง มีชีวิตที่ท่านคิดว่ายากลำบากและเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกเราจึงควรจะเชื่อในคำกล่าวที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และไม่ควรเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี แต่ลืมว่าทำชั่วได้ชั่วเพียงเพราะว่าทุกวันนี้มีชีวิตที่สงบสุข”

 “วันนี้ที่ข้าพูดเช่นนี้ ท่านคิดว่าถูกแล้วหรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วยังคงเงียบงัน ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

นางกลัวว่า ไม่ว่าวันนี้ตนจะพูดอะไรไปก็ล้วนจะส่งผลร้ายต่ออนาคตของกู้ช่านผู้เป็นบุตรชาย

ดังนั้นนางยอมไม่พูดอะไรเลยดีกว่า

เฉินผิงอันเข้าใจดี ดังนั้นต่อให้ปีนั้นกู้ช่านบอกเขาถึงการเลือกของสตรีแต่งงานแล้วในเรื่องของหนีชิวน้อย เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกแค้นเคืองแม้แต่น้อย

ส่วนที่ควรสำนึกในบุญคุณ เขาก็จะสำนึกไปชั่วชีวิต

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนไม่อาจกลบทับบุญคุณในช่วงแรกเริ่มสุดได้ ก็เหมือนกับว่าบ้านเกิดมีหิมะใหญ่ตกลงมา ต่อให้บนถนนดินในตรอกหนีผิงจะมีหิมะทับถมหนาแค่ไหน ทว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิบุปผาเบ่งบาน มันก็ยังคงเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านทุกคนในตรอกหนีผิงคุ้นเคยกันดีเส้นนั้น

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ เฉินผิงอันเดินผ่านเส้นทางต่างๆ มาไกลมากแล้ว เขาจึงเรียนรู้ที่จะไม่ใช้เหตุผลของตัวเองไปเรียกร้องผู้อื่น

ดังนั้นวันนี้ก่อนที่จะมานั่งบนโต๊ะกินข้าว เขาถึงยินดีรับฟังเหตุผลทั้งหมดของกู้ช่านอย่างละเอียด รับฟังความคิดในใจทั้งหมดของเจ้าเด็กขี้มูกยืดอย่างตั้งใจ

เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มส่งไป “ท่านอาวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบังคับให้กู้ช่านต้องเป็นอย่างข้า ไม่จำเป็นเลย และข้าเองก็ไม่มีความสามารถนั้นด้วย ข้าแค่อยากจะลองดูว่าตัวเองพอจะทำอะไรได้บ้างหรือไม่ ทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ทั้งข้าและกู้ช่านต่างก็รู้สึกว่า ‘ไม่ผิด’ ข้าอยู่ที่นี่จะไม่เป็นตัวถ่วงให้กู้ช่านปกป้องท่าน ยิ่งไม่มีทางเรียกร้องให้พวกท่านสละความร่ำรวยสูงศักดิ์ที่ได้มาไม่ง่ายในตอนนี้ทิ้งไป”

เฉินผิงอันถาม “ได้หรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วมีสีหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าตอบรับอย่างยากลำบาก

เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หยิบเหล้าวิหคครวญบนโต๊ะกานั้นขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมาดื่มเหล้า เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “จะบอกข่าวดีให้ท่านอาและกู้ช่านรู้ข่าวหนึ่ง แม้ว่าท่านอากู้จะตายไปแล้ว แต่อันที่จริง…ไม่ถือว่าตายจริงๆ เขายังคงอยู่บนโลกใบนี้เพราะกลายเป็นวัตถุหยิน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี ข้ามาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนคราวนี้ก็เป็นเขาที่เสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง บอกข้าว่าพวกท่านที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ ‘ปลอดภัยไร้กังวล’ ดังนั้นข้าจึงเดินทางมา แต่ข้าไม่หวังให้วันใดวันหนึ่งการกระทำของกู้ช่านทำให้โอกาสที่พวกท่านสามคนจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งอย่างมีความสุขซึ่งได้มาไม่ง่ายนี้ต้องอันตรธานหายไป ท่านพ่อท่านแม่ข้าต่างก็เคยพูดว่า ตอนนั้นท่านอากู้คือบุรุษในตรอกใกล้เคียงของพวกเราที่เหมาะกับท่านอาหญิงมากที่สุด และข้าก็ไม่ต้องการให้คนดีแห่งตรอกหนีผิงในปีนั้น คนที่สามารถเขียนกลอนคู่ปีใหม่ได้อย่างงดงาม บุรุษที่ไม่เหมือนชาวไร่ชาวนา แต่กลับเหมือนบัณฑิตมากกว่าอย่างท่านอากู้ ต้องเสียใจ”

สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นอุดปาก น้ำตาท่วมทะลักดุจทำนบกั้นน้ำพังทลาย

คราวนี้เป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง ไม่เกี่ยวข้องกับว่าถูกหรือผิดเลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ท่านอาหญิง กู้ช่าน และข้า พวกเราสามคนล้วนเป็นคนที่เคยเจอกับความยากลำบากเวลาที่ผู้อื่นไม่มีเหตุผลมาก่อน พวกเราต่างก็ไม่ใช่คนที่เกิดมาแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ พวกเราไม่ใช่คนในตระกูลที่แค่ต้องการก็สามารถศึกษาเล่าเรียนมีความรู้ติดตัว ท่านอาและข้าต่างก็เคยมีช่วงเวลาที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ท่านอาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็คงเพราะเห็นแก่กู้ช่าน ส่วนข้าก็อยากทำให้ท่านพ่อท่านแม่ภูมิใจ ถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราต่างก็กัดฟันผ่านความยากแค้นแสนเข็ญมา ดังนั้นพวกเราจึงยิ่งเข้าใจว่า คำว่าไม่ง่ายนั้นคืออะไร หมายความว่าอย่างไร จะว่าไปแล้วสำหรับข้อนี้ กู้ช่านอายุน้อยที่สุด แต่พอออกมาจากตรอกหนีผิงแล้ว เขากลับลำบากยิ่งกว่าพวกเราสองคนเสียอีก เพราะเขาเพิ่งจะอายุเท่านี้กลับต้องมีชีวิตที่ไม่ง่ายยิ่งกว่าข้า ยิ่งกว่าท่านแม่ของเขาแล้ว เพราะต่อให้ข้าและท่านอาจะยากจนแค่ไหน ชีวิตจะยากแค้นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องกังวลว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกู้ช่าน”

“แต่นี่ก็ไม่ได้ขัดต่อการที่พวกเราจะเอ่ยถามว่า ‘เพราะอะไร’ ในช่วงเวลาที่เราทุกข์ยากที่สุดในชีวิต กลับไม่มีใครให้ตอบแก่พวกเราว่าเพราะอะไร ดังนั้นพอพวกเราคิดอย่างนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะถูกตบ นานวันเข้า พวกเราก็ไม่ถามอีกว่าเพราะอะไร เพราะคิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ในช่วงเวลาที่พวกเราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะคิดอะไรมากหน่อยก็ล้วนผิดไปหมด ตัวเองผิด คนอื่นผิด วิถีทางโลกผิด วิถีทางโลกต่อยข้าหนึ่งหมัด ทำไมข้าไม่ตอบแทนวิถีทางโลกไปด้วยหนึ่งเท้าเล่า? ทุกคนที่คิดแบบนี้ดูเหมือนว่าจะต้องกลายมาเป็นคนไร้เหตุผล คนที่ไม่ยินดีจะฟังคนอื่นอธิบายว่าเพราะอะไรก็กลายมาเป็นคนที่เฉยเมยไม่สนใจสิ่งใด เพราะมักจะรู้สึกว่าหากใจอ่อนเมื่อไหร่ก็จะรักษาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไว้ไม่ได้ ยิ่งผิดต่อความยากลำบากที่ต้องเผชิญมาในอดีต! ทำไมอาจารย์ในโรงเรียนต้องลำเอียงรักเด็กจากครอบครัวที่มีเงิน ทำไมพ่อแม่ข้าต้องถูกเพื่อนบ้านดูแคลน ทำไมคนวัยเดียวกันซื้อว่าวกระดาษได้ แต่ข้ากลับทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ อยู่ด้านข้าง ทำไมข้าต้องทำไร่ทำนาเหนื่อยแทบเป็นแทบตาย แต่คนมากมายเสวยสุขอยู่ในบ้านของตัวเอง เวลาเจอกับพวกเขาบนทางเดินยังต้องถูกพวกเขามองมาอย่างดูแคลน? ทำไมข้าต้องช่วงชิงมาอย่างยากลำบาก แต่คนอื่นแค่เกิดมาก็มีแล้ว อีกทั้งคนผู้นั้นยังไม่รู้จักเห็นค่าทะนุถนอมในสิ่งที่ตัวเองมี? ทำไมครอบครัวอื่นถึงได้อยู่กันพร้อมหน้าในเทศาลไหว้พระจันทร์ของทุกปี?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นเช่นนี้ และข้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หนึ่งหมื่นปีก่อนเป็นเช่นไร ข้ายิ่งไม่รู้ว่าสรุปแล้ววิถีทางโลกเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น หรือเปลี่ยนมาเป็นแย่ลง ข้าอ่านหนังสือมามากมาย รู้ถึงหลักการเหตุผลบางอย่าง แต่ยิ่งข้ารู้มากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งไม่กล้าแน่ใจว่าเหตุผลที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้นั้นจะถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า จะต้องสามารถทำให้คนข้างกายมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงหรือเปล่า ก่อนจะมาถึงที่นี่ ข้างกายข้ามีเด็กหญิงอยู่คนหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าสามารถทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นกว่าเดิมได้ แต่พอมาพบกู้ช่าน ข้ากลับรู้สึกว่าบางทีข้าอาจจะคิดผิด เด็กหญิงคนนั้นก็แค่มีชีวิตดีขึ้นเล็กน้อยเพราะมาอยู่กับข้า แต่ไม่แน่เสมอไปว่าหลักการเหตุผลที่ข้าสอนนางจะทำให้นางมีชีวิตที่สบายขึ้น ดีขึ้น”

“ใครเล่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากมีชีวิตที่ดี ไม่อยากให้ทุกๆ วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้? ข้าเองก็อยากเหมือนกัน ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงอยาก ตอนที่เดินทางไปสำนักศึกษาต้าสุย ไปนครมังกรเฒ่า ไปภูเขาห้อยหัว ไปใบถงทวีป ไปพื้นที่มงคลดอกบัว ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด ล้วนอยากทั้งสิ้น อยากมาโดยตลอด! ทว่าใต้หล้านี้ไม่มีหลักการเหตุผลที่สูงที่สุด แต่ก็ควรจะมีถูกผิดที่เป็นพื้นฐานต่ำที่สุดกระมัง? เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป พวกเราทำอะไรหลายๆ อย่างที่จำใจต้องทำ เรื่องเหล่านี้ก็ต้องมีทั้งถูกและผิดกระมัง?”

กู้ช่านหยุดมือที่ถือตะเกียบ จมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

สตรีแต่งงานแล้วมองเฉินผิงอัน แล้วค่อยมองกู้ช่าน “เฉินผิงอัน ข้าเป็นแค่สตรีที่ไม่เคยเล่าเรียนเขียนอ่าน ไม่เคยรู้ตัวอักษร ไม่เข้าใจอะไรมากขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ยิ่งไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าแค่อยากให้กู้ช่านมีชีวิตที่ดี อยากให้พวกเราสองแม่ลูกมีชีวิตที่ดี แล้วก็เพราะมีชีวิตอย่างที่ผ่านมา ถึงได้มีโอกาสอย่างในวันนี้ มีชีวิตรอดจนกระทั่งเจ้าเฉินผิงอันมาบอกกับพวเราสองแม่ลูกว่า สามีของข้า บิดาของกู้ช่านยังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสที่ทั้งครอบครัวจะได้กลับมารวมตัวกัน เฉินผิงอัน ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าเข้าใจได้หรือไม่? คงไม่โทษที่ข้าเป็นสตรีผมยาวความรู้สั้นหรอกกระมัง?” (เพราะสมัยโบราณสตรีไว้ผมยาว แต่แทบไม่เคยได้ออกจากบ้าน ความรู้จึงตื้นเขิน ไม่มีโอกาสได้รับการเรียนเหมือนผู้ชาย)

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจได้ และไม่โทษท่านอา”

สตรีแต่งงานแล้วมองตาของเฉินผิงอัน นางรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก ดื่มหมดหนึ่งจอกก็รินอีกจอก แล้วดื่มจนหมดอีกครั้ง “เจ้ามาหาช่านเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร ช่านเอ๋อร์ล้วนดีใจอย่างมาก ข้าจึงดื่มหนึ่งจอก และเจ้าบอกข่าวนี้แก่พวกเรา ข้าก็ดื่มอีกจอก ล้วนเป็นเรื่องที่น่ายินดีทั้งสิ้น”

สตรีแต่งงานแล้วรินเหล้าจอกที่สาม พอดื่มหมดนางก็พูดน้ำตาคลอ “ได้พบเจ้าเฉินผิงอัน เห็นว่าเจ้าตัวสูงแล้ว เติบใหญ่แล้ว มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย อาก็ยิ่งต้องดื่มอีกจอก เพราะรู้สึกดีใจแทนท่านพ่อท่านแม่ของเจ้า”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าขึ้นมารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมด

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset