กู้ช่านถามเบาๆ “หนีชิวน้อย เจ้าคิดว่าข้าผิดหรือไม่?”
หนีชิวน้อยนั่งลงข้างกายเขา พูดเสียงอ่อนโยน “ไม่เลย ข้ารู้สึกว่าทั้งนายท่านและเฉินผิงอันต่างก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่าเฉินผิงอัน…ถูกมากกว่าเล็กน้อย? แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านายท่านผิดนี่นา”
กู้ช่านหันหน้ามายิ้มให้ “หนีชิวน้อย เมื่อก่อนสมองของเจ้าทึ่มทื่อ เหตุใดวันนี้ถึงได้มีไหวพริบขึ้นมาซะเล่า?”
หนีชิวน้อยพลันห่อเหี่ยว “นายท่าน ขอโทษนะ”
กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ขอโทษอะไร เจ้ากลัวเฉินผิงอันหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นว่าข้ากลัวเฉินผิงอันหรือไม่? ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเต็มหน้า ข้ายังไม่รู้สึกว่าน่าอาย เจ้าจะต้องขอโทษอะไร?”
หนีชิวน้อยโคลงศีรษะ อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด
กู้ช่านยกสองมือขึ้นกอดอก เลิกคิ้วพูด “ขนาดท่านแม่ข้า ข้ายังไม่กลัว ฟ้าดินกว้างใหญ่ ก็มีแค่เฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น ข้าคิดว่าพวกเราเป็นวีรบุรุษผู้องอาจมากแล้ว”
แต่แล้วจู่ๆ กู้ช่านก็ไหล่ลู่คอตก “หนีชิวน้อย เจ้าว่าทำไมเฉินผิงอันถึงไม่ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งล่ะ? เขาจะต้องพร่ำพูดหลักการเหตุผลที่ข้าไม่มีทางฟังมากมายขนาดนั้นไปทำไม?”
หนีชิวน้อยส่ายหน้าอย่างแรง
กู้ช่านยื่นนิ้วมาข้างหนึ่ง “ถึงได้บอกว่าเจ้าโง่อย่างไรล่ะ ข้ารู้อยู่แล้ว”
กู้ช่านพึมพำกับตัวเอง “เฉินผิงอันจะทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว เขาคิดจะมอบของที่ล้ำค่าที่สุดของตัวเองให้กับข้า ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อยที่กินได้สวมใส่ได้ ดังนั้นข้าถึงไม่ค่อยจะเต็มใจรับไว้นัก”
หนีชิวน้อยโน้มตัวมาข้างหน้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบคลึงหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมของกู้ช่านเบาๆ
……
ยามเช้าตรู่ ขอบฟ้าค่อยๆ ปรากฏเป็นสีขาวพุงปลา
เฉินผิงอันที่ไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนปิดประตูห้อง เดินออกจากเรือนไป หมายจะออกไปเดินเล่น
เพียงไม่นานกู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกก็ตามมา
ในน้ำของทะเลสาบที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย หนีชิวน้อยที่เผยร่างจริงกำลังว่ายน้ำอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อวานข้าพูดไปมากมายขนาดนั้นก็เพราะว่าอยากให้เจ้ายอมรับผิด แต่ภายหลังค้นพบว่ามันยากมาก ไม่เป็นไร วันนี้สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ หวังว่าเจ้าจะสามารถจดจำเอาไว้ เพราะข้าไม่ได้กำลังพูดเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมรับ ข้าแค่พูดความเป็นไปได้บางอย่างที่เจ้าอาจจะคิดไม่ถึง เจ้าไม่เต็มใจจะฟัง แต่ก็ขอให้จำเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้นำไปใช้ ทำได้หรือไม่?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา คำพูดของเมื่อวานข้าก็จำไว้ในใจแล้ว”
มือหนึ่งของเฉินผิงอันถือกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง เขาทิ่มมันลงบนพื้นเบาๆ ระหว่างที่เดินไปอย่างเชื่องช้า “ใต้หล้านี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างข้าเฉินผิงอัน และไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอย่างเจ้ากู้ช่าน นี่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง”
“แล้วก็เพราะบนโลกยังมีคนดีที่หากไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนี้ มีคนดีหลายคนที่พวกเรามองเห็น แล้วก็ยิ่งมีอีกหลายคนที่พวกเรามองไม่เห็น ข้าและเจ้ากู้ช่านถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ สามารถนั่งลงพูดเหตุผลของใครของมันได้อย่างเมื่อวาน”
“ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้หาใช่ต้องการพิสูจน์ว่าเจ้ากู้ช่านต้องผิดเสมอไปไม่ แต่เป็นเพราะข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น รู้มากขึ้นว่ายุทธภพไม่ได้มีแค่ทะเลสาบซูเจี่ยน สักวันหนึ่งเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ ก็เหมือนกับที่ปีนั้นออกมาจากเมืองเล็กบ้านเกิด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เดินออกจากทางเส้นเล็กที่ถูกปูด้วยหินอ่อนสีขาว มุ่งหน้าไปทางริมทะเลสาบ กู้ช่านเดินตามหลังไปติดๆ
เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง ใช้กิ่งไม้แทนพู่กัน วาดวงกลมวงหนึ่งลงบนพื้น “ข้าจะพูดเหตุผลอย่างหนึ่งที่ตัวข้าใคร่ครวญออกมาเอง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก เพราะตอนที่อยู่ใบถงทวีปได้ยินสหายที่ดีคนหนึ่งซึ่งพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพพูดถึงการแบ่งแยกระหว่างนักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะของสำนักศึกษาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ ข้าจึงเกิดความคิดต่อยอดออกมา”
กู้ช่านพึมพำ “ทำไมข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนถึงไม่เจอสหายที่ดีบ้าง”
กู้ช่านปรารถนาเหลือเกินว่าใต้หล้านี้เฉินผิงอันจะมีเขาเป็นเพื่อนแค่คนเดียว
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เขียนตัวอักษรสองคำลงในวงกลมเล็กที่ตัวเองวาดว่า นักปราชญ์ “ทำอย่างไรจึงจะกลายเป็นนักปราชญ์ของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาได้ สำนักศึกษามีกฎเกณฑ์กำหนดเอาไว้ นั่นก็คือนักปราชญ์ท่านหนึ่งต้องอาศัยความรู้ที่มีอย่างเปี่ยมล้นมาครุ่นคิดพิจารณาหาความรู้อันเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้ที่เหมาะสมให้นำมาใช้ในหนึ่งแคว้น กลายมาเป็นนโยบายในการปกครองประเทศซึ่งมีประโยชน์ต่อแผ่นดิน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็วาดวงกลมที่ค่อนข้างใหญ่ เขียนสองคำว่าวิญญูชนลงไป “หากความรู้ที่นักปราชญ์ของสำนักศึกษาเสนอออกมาเหมาะกับการนำมาใช้ในหนึ่งทวีปก็จะกลายเป็นวิญญูชน”
สุดท้ายเฉินผิงอันวาดวงกลมที่ใหญ่กว่า เขียนสองคำว่าอริยะลงไป “หากความรู้ของวิญญูชนขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นความรู้ทั่วไปที่ใช้ได้ทั่วหล้า นั่นก็จะได้เป็นอริยะของสำนักศึกษา”
เฉินผิงอันชี้ไปยังวงกลมทั้งสาม “เจ้าเห็นไหม แค่มองวงกลมทั้งสามก็เหมือนมันกำลังบอกว่า แม้แต่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ยังนับถือในคำว่า ‘จุดยืน’ นักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะ ต่างคนต่างมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้าน คนเป็นขุนนาง คนที่ยกทัพทำสงคราม ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา เซียนซือลำดับเทียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา เหตุใดพวกเราพูดถึงแค่จุดยืน ไม่ถามถูกผิด ก็คือความผิด? รู้หรือไม่ว่าทำไม?”
กู้ช่านรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมาทันใด เขาส่ายหน้า
เฉินผิงอันกล่าว “ข้อแรก จุดยืนนั้นมีได้ และก็ยากที่จะไม่มี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า ‘แค่’ พูดถึงจุดยืนของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นอีก การถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายแบบนั้นคับแคบเกินไป ความรู้ก็ดี การวางตัวก็ช่าง รากฐานในการหยัดยืนที่เป็นพื้นฐานที่สุดจะต้องเชื่อมโยงถึงกัน นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะเชื่อมโยงถึงกัน ชาวบ้าน กษัตริย์ ขุนนาง ผู้ฝึกลมปราณเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นในศาลบุ๋นดั้งเดิมของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตัวอักษรของอริยะปราชญ์ในแต่ละรุ่นของลัทธิขงจื๊อที่อยู่ที่นั่น ยิ่งความรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยู่เบื้องล่าง ยิ่งแน่นหนามิอาจทำลายมากเท่านั้น แต่ก็ได้ยินมาว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลริน เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ตัวอักษรสีทองของอริยะใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็ยังเริ่มสูญเสียแสงเรืองรองไป”
เห็นว่ากู้ช่านยิ่งงงงัน
เฉินผิงอันก็กระตุกมุมปาก ถือว่าเป็นรอยยิ้มแล้ว “คำพูดเหล่านี้ เมื่อคืนวานข้าคิดอยู่นาน อยากจะลองพูดให้เจ้าฟัง แต่อันที่จริงนี่เหมือนข้าพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เกาะชิงเสียคือวงกลมวงหนึ่ง กฎเกณฑ์ของสำนักมีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้ตั้ง หากจะพูดให้แคบลงมาหน่อย จุดที่เจ้ากับท่านอาหญิงพักอาศัยก็คือวงกลมวงหนึ่ง กฎประจำบ้านคือเจ้ากับท่านอาหญิงเป็นผู้ตั้ง หากพูดให้กว้างอีกหน่อย ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังคงเป็นวงกลมวงหนึ่ง กฎเกณฑ์คือขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของตัวเอง พูดให้กว้างขึ้นไปอีก ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปอันเป็นที่ตั้งของทะเลสาบซูเจี่ยนก็มีสำนักกวานหูเป็นผู้วาดวงกลมวงแล้ววงเล่า พูดให้แคบลงมาอีกนิด เจ้า ข้าเฉินผิงอัน หลักการเหตุผลของตัวเองก็คือวงกลมที่เล็กที่สุดของฟ้าดินซึ่งได้แต่พันธนาการตัวเอง เคยมีคนกล่าวว่า ตัวอยู่ในโลกมนุษย์ หากนำคุณธรรมสูงส่งมาใช้เพื่อควบคุมตัวเองจะค่อนข้างดีกว่า”
ดูเหมือนเฉินผิงอันกำลังถามใจตัวเอง เขาทิ่มกิ่งไม้ไว้กับพื้นดิน พูดพึมพำว่า “รู้หรือไม่ว่าข้ากลัวอะไรมาก กลัวว่าเหตุผลที่ใช้พูดเกลี้ยกล่อมตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมน้อยลงในตอนนี้ เหตุผลที่ช่วยให้ตัวเองผ่านด่านยากตรงหน้ามาได้ จะกลายเป็นเหตุผลของข้าไปตลอดชีวิต แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทว่าเจ้าและข้าต่างก็ยากที่จะมองเห็นกำลังไหลรินอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ ท่ามกลางขั้นตอนที่ไม่อาจหวนย้อนกลับนี้ หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ที่กลายเป็นตัวอักษรมากมายซึ่งถูกทิ้งเอาไว้ พวกมันก็หม่นหมองไร้ประกายแสงได้เช่นเดียวกัน”
“เหตุผลของเมื่อวานนี้ก็อาจกลายเป็นไร้เหตุผล”
กู้ช่านพลันเอียงศีรษะ กล่าวว่า “ที่วันนี้พูดเรื่องพวกนี้ เพราะเจ้าเฉินผิงอันหวังให้ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิด ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามกู้ช่าน เขายังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป “แต่ข้ารู้สึกว่าตัวอักษรที่อยู่ด้านล่างสุด อยู่ต่ำสุด ต่ำจนคล้ายกับของบางอย่างที่อยู่บนทางดินตรอกเล็กซึ่งเต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่อย่างตรอกหนีผิงของพวกเรา มันจะไม่มีทางเปลี่ยนตลอดไป เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น และอีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม”
“ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่พวกเราใกล้จะหิวตาย…ข้าเฉินผิงอันไม่คิดว่าจะไปแย่งชิงหรือขโมยมา สำหรับข้าวถ้วยนั้นที่ท่านอาหญิงเปิดประตูนำมามอบให้ข้า ข้าจะจดจำไปชั่วชีวิต ข้าเฉินผิงอันจะยังคงรู้สึกว่า ดีแล้วที่ตอนนั้นมีคนมอบถังหูลู่ให้ข้าหนึ่งไม้แล้วข้าอดทนเอาไว้ ไม่ยื่นมือไปรับมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นที่ข้าวิ่งหนีไป ข้าบอกกับตัวเองในใจว่าอย่างไร?”
ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับการยอมรับผิดของตัวเอง กู้ช่านก็รู้สึกสนใจมากหน่อย เขาถามอย่างใคร่รู้ “บอกว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล “หากข้ารับมา คือข้าทำไม่ถูก เพราะตอนนั้นในมือของข้ายังมีเหรียญทองแดงอยู่หลายเหรียญ ข้าไม่มีทางที่จะหิวตายในทันที และข้าไม่ควรรับถังหูลู่ไม้นั้นมา เพราะข้ากลัวว่าเมื่อได้กินของอร่อยขนาดนั้นเข้าไปแล้ว วันหน้าจะรู้สึกว่าชีวิตที่มีเพียงข้าวถ้วยเดียวก็พอใจแล้วจะกลายเป็นชีวิตที่ย่ำแย่ และจะทำให้วันเวลาของข้าต่อจากนั้นยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเหนื่อยยาก กลายเป็นว่าแม้จะได้กินข้าวที่ได้มาอย่างยากลำบากจนอิ่มท้องถึงหกส่วนแล้ว ตัวเองก็ยังไม่ดีใจ จะให้ข้าไปขอถังหูลู่จากคนผู้นั้นกินทุกวันหรือไง? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เขายินดีทำทานแก่ข้าทุกครั้ง ทว่าสักวันหนึ่งหากร้านของเขาไม่อยู่แล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย “แต่เจ้ารู้หรือไม่? ตอนนั้นเหตุผลเหล่านี้ก็ยังไม่อาจต้านทานความล่อลวงจากถังหูลู่ไม้นั้นได้ ตอนนั้นข้าอยากหมุนตัวกลับไปอย่างมาก อยากจะบอกคนขายถังหูลู่ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้ายกให้ข้าสักไม้เถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทำอย่างไรถึงทำให้ตัวเองไม่หันกลับไป?”
เฉินผิงอันถามเองตอบเอง “ข้าบอกกับตัวเองว่า เฉินผิงอัน เฉินผิงอัน เจ้าจะอยากกินไปทำไม ไม่แน่ว่าวันใดท่านพ่อของเจ้าอาจจะกลับมา ถึงเวลานั้นค่อยกิน กินให้อิ่ม! ท่านพ่อเคยรับปากเจ้าว่า คราวหน้าที่กลับบ้านจะต้องเอาถังหูลู่กลับมาด้วย ดังนั้นภายหลังพอข้าแอบวิ่งไปที่นั่นแล้วไม่ได้เห็นแผงขายถังหูลู่นั้นอีก ข้าเลยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่ได้เสียใจว่าจะไม่ได้กินถังหูลู่โดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่เป็นกังวลว่าหากท่านพ่อกลับมาแล้วก็คงจะหาซื้อถังหูลู่ไม่ได้แล้ว”
กู้ช่านอยากจะยื่นมือไปดึงชายแขนเสื้อของคนที่อยู่ข้างกาย เพียงแต่เขาไม่กล้า
เฉินผิงอันพึมพำ “คนเรามีชีวิตอยู่ ควรต้องมีเรื่องบางอย่างให้ระลึกถึง ถูกไหม?”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านพ่อข้าจะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว?”
“ข้ารู้สิ”
“แต่ข้าก็ยังคงคิดแบบนั้น”
“รู้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าขี้มูกยืดน้อยอย่างเจ้ายังเด็ก แล้วชอบถามข้าว่าเวลาเดินอยู่บนถนนตอนกลางคืน ทำไมข้าถึงไม่กลัวผีเลยแม้แต่น้อย? ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยกลัวผีมาก่อน เพียงแต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งข้าก็คิดว่า หากบนโลกมีผีอยู่จริง ข้าก็จะได้พบกับท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือเปล่า พอคิดอย่างนี้ ความกล้าของข้าก็มีมากขึ้น”
“เพียงแต่บางครั้งข้าก็เป็นกังวล ท่านพ่อท่านแม่ดีขนาดนั้น หากกลายมาเป็นผีจริงๆ พวกเขาที่เป็นผีดีจะถูกผีชั่วร้ายรังแกจนไม่สามารถมาพบข้าได้หรือไม่”
เฉินผิงอันพูดเรื่องพวกนี้จบก็หันมาลูบศีรษะของกู้ช่าน “ขอข้าเดินคนเดียวสักพัก เจ้าไปทำธุระของตัวเองเถอะ”
กู้ช่านพยักหน้ารับแล้วจากไปเงียบๆ
หลังจากที่กู้ช่านเดินจากไปได้ไกลมากแล้ว เขาหันหน้ากลับมอง แล้วในใจก็พลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่โกรธและเสียใจอย่างเมื่อวานแล้ว
แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะยิ่ง…ผิดหวัง ทว่ากลับไม่ได้ผิดหวังในตัวเขากู้ช่าน
—–