สามวันต่อมา
เมืองหน้าด่านแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งได้ไปรออยู่ที่นั่นก่อนที่กลุ่มคนของนครอวิ๋นโหลวจะไปถึงแล้ว
เพื่อเร่งเดินทาง คนทั้งกลุ่มจึงต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ลำบากเหน็ดเหนื่อยกันมาไม่น้อย
ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่และผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่งเป็นคนนำขบวน พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามีคนผู้หนึ่งคอยมองดูการกระทำและคำพูดของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา และยังถึงขั้นจดลงบนกระดาษอย่างเงียบๆ ด้วย
คนกลุ่มนั้นค้นหาในเมืองหน้าด่านแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ จึงรีบรุดเดินทางไปยังเขตการปกครองอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับแคว้นสือหาวทันที
สุดท้ายก็เจอครอบครัวหนึ่งที่มีเพียงหญิงชราและเด็กสาวซึ่งมีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งของเขตการปกครอง ไม่ถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แค่มีฐานะปานกลางพอมีจะกินเท่านั้น
คนกลุ่มนี้ไม่ได้ปรี่เข้าไปแย่งชิงตัวคนมาทันที ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเขตการปกครองของแคว้นสือหาว ไม่ใช่ทะเลสาบซูเจี่ยน ยิ่งไม่ใช่นครอวิ๋นโหลว หากหญิงชราผู้นั้นคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำขึ้นมา แผนการของพวกเขาจะไม่ล่มในช่วงสุดท้ายทั้งที่ใกล้จะสำเร็จแล้วหรอกหรือ?
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันคิดวิธีหนึ่งออกมาได้ นั่นคือฉวยโอกาสตอนที่หญิงชราออกจากบ้าน บอกให้องค์รักษ์ที่ดูแลบ้านซึ่งมีหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งไปแจ้งข่าว บอกว่าบิดาของนางถูกผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอยู่ในนครอวิ๋นโหลว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน สูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ยอมกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไปง่ายๆ พอเจ้าประมุขแห่งจวนพวกเขาโน้มตัวลงไปฟังก็ได้ยินแค่ว่าเขาพูดชื่อของเขตการปกครองและชื่อของบุตรสาวซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาถึงได้ตามหาจนมาเจอที่นี่อย่างยากลำบาก หากยังไม่ไปนครอวิ๋นโหลวอีกก็จะสายเกินกาลแล้ว เพราะนางย่อมไม่ได้เห็นหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
ตอนแรกเด็กสาวยังไม่ยอมเปิดประตู พอได้ยินข่าวร้ายที่คนของนครอวิ๋นโหลวฝากผู้ดูแลจวนมาแจ้ง นางก็ยอมเปิดประตูพร้อมกับน้ำตาที่นองเต็มใบหน้าจริงดังคาด นางร้องไห้สะอึกสะอื้น เรือนกายบอบบางราวกับกิ่งหลิว ทำเอาชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่ดูแลเรือนแอบกลืนน้ำลายเบาๆ
หลังจากที่เด็กสาวเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็พลันนึกถึงหญิงชราที่ดูแลการกินการอยู่และอยู่ร่วมกับตนมานานผู้นั้นขึ้นมา จึงบอกกับคนดูแลบ้านที่รีบร้อนจะพานางออกมาจากเขตการปกครองว่านางต้องบอกกับท่านยายสักคำ ร่างกายของท่านยายย่ำแย่เกินไป หากหาตนไม่เจอต้องเป็นกังวลและเสียใจมากแน่ๆ ไม่แน่ว่าเมื่อนางไปถึงนครอวิ๋นโหลวแล้ว หากท่านยายจากโลกนี้ไปอีกคน ก็ไม่เท่ากับว่านางจะไม่เหลือญาติอีกแม้แต่คนเดียวหรอกหรือ?
คนดูแลบ้านได้ยินก็ดีดลูกคิดอยู่ในใจ ก็แค่หญิงชราที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง? แล้วพอหันมามองสตรีงดงามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา อายุของนางประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ไม่พูดถึงถ้ำสถิตบนภูเขา พูดถึงแค่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ก็อาจจะไม่ถือว่าเป็นสาวน้อยอะไรแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าต่อให้นางได้พูดกับหญิงชราที่แก่จนใกล้จะลงโลงสักคำ จะเกิดปัญหาอะไรได้? หากตนใช้ไม้แข็งเกินไป ไม่แน่ว่าอาจทำให้นางสงสัยก็เป็นได้
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความตั้งใจเดิม อยู่รอให้หญิงชราคนนั้นกลับมาพร้อมกับสตรีผู้งดงามที่กำลังเศร้าอาดูร
ผลกลับกลายเป็นว่าพอหญิงชราที่ในมือห้อยตะกร้าผักเดินเข้าประตูมา เขาเพิ่งคลี่รอยยิ้มส่งไป สีหน้าก็พลันแข็งค้าง หัวใจด้านหลังถูกกริชเล่มหนึ่งแทงทะลุ ชายฉกรรจ์หันหน้าไปมองก็ถูกสตรีผู้นั้นอุดปากอย่างรวดเร็ว นางผลักเบาๆ เขาก็ล้มลงในลานบ้าน
หญิงชราเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวข่มกลั้นความเศร้าและกังวลในใจ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนครอวิ๋นโหลวให้อีกฝ่ายฟัง หญิงชราพยักหน้ารับ เอ่ยแค่ว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่คนครอบครัวนั้นกำลังได้ทีขี่แพะไล่ หรือไม่ก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อศัตรูอย่างเกาะชิงเสียไปแล้ว
หญิงสาวขอร้องหญิงชราว่าต้องไปที่นครอวิ๋นโหลวสักครั้งให้จงได้ ต่อให้ต้องตาย ต่อให้นางไม่ได้พบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางก็ต้องไปที่นครอวิ๋นโหลว
หญิงชราทอดถอนใจ บอกว่าชีวิตอันสงบสุขมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว นางกวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็เป็นดั่งนกที่สยายปีกโผบินสู่ท้องนภา มุ่งตรงไปยังที่พักของผู้ฝึกตนที่จับตามองพวกนางมานานมากแล้ว เปิดศึกนองเลือดกันไปครั้งหนึ่ง กลับมาพร้อมกับบาดแผลที่อันตรายถึงชีวิตหลายจุด บอกกับสตรีผู้นั้นว่านางจัดการภัยร้ายที่ซ่อนแฝงอยู่รอบสถานที่แห่งนี้จนหมดแล้ว ยายคงไปที่นครอวิ๋นโหลวไม่ไหวแน่นอน ขอให้สตรีระวังตัวให้มาก และยังมอบยาให้นางหนึ่งเม็ด บอกนางว่าหากอับจนหนทางจริงๆ เมื่อกัดยาเม็ดนี้ก็จะปลิดชีพตัวเองได้ทันที
สตรีที่ได้สัมผัสกับคำว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนได้อย่างแท้จริงฝืนยิ้ม เช็ดน้ำตาทิ้ง เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ออกจากเขตการปกครองแห่งนี้ไปเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังนครอวิ๋นโหลวแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรรอนางอยู่บ้าง
สตรีเช่ารถม้าหนึ่งคัน หลังจากที่นางขับรถม้าออกจากประตูใหญ่ของเมืองไปแล้ว
นางไม่รู้เลยว่า ทางฝั่งของเรือนหลังเล็กจะมีบุรุษวัยกลางคนสะพายกระบี่คนหนึ่งตีพวกคนที่เหลืออยู่ของนครอวิ๋นโหลวให้สลบ จากนั้นก็ไปยังเรือนที่หญิงชราไอเป็นเลือดกำลังต้มยา หญิงชราเห็นบุรุษปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบก็เกิดความคิดนึกอยากตายขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าบุรุษสะพายกระบี่ที่หน้าตาธรรมดา ลักษณะคล้ายจอมยุทธในยุทธภพผู้นั้นจะโยนยาเม็ดหนึ่งให้นาง แล้วเขาก็นั่งลงตรงมุมกำแพง ช่วยต้มยาให้กับนาง สายตามองเปลวไฟพลางถามถึงประวัติความเป็นมาของผู้ฝึกตนที่ตายอย่างเฉียบพลันผู้นั้น หญิงชรามองประเมินยาสีเขียวเข้มที่มีกลิ่นหอมลอยมาปะทะจมูกเม็ดนั้นพลางเลือกตอบคำถามบางคำถาม บอกว่าผู้ฝึกตนคนนั้นคือผู้ฝึกตนนอกรีตของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาปรารถนาในความงดงามของคุณหนูตนมานานมากแล้ว ฝีมือไม่เลว เชี่ยวชาญการอำพรางตน เป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจากไปนานมากแล้ว ช่วงไม่นานมานี้ผู้ฝึกตนนอกรีตคนนี้ถึงได้เผยพิรุธให้เห็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากเกาะอวิ๋นอวี่หรือไม่ก็เกาะหลิวจิน น่าจะคิดลักพาตัวคุณหนูนำไปมอบให้ผู้ฝึกตนใหญ่ในสำนักเพื่อแสดงความนอบน้อม เดิมทีนางคิดจะรอให้เจ้านายกลับมาแล้วค่อยแก้ไขปัญหา ไหนเลยจะคิดว่านายท่านที่มีวิชาอภินิหารเทียมฟ้าจะเจอกับหายนะอยู่ที่นครอวิ๋นโหลวแล้ว
ยิ่งคุยกันนานหญิงชราก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ที่แท้ระหว่างที่บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นต้มยา เขายังควักกระดาษและพู่กันออกมาจดในสิ่งที่ตัวเองพบเห็นและได้ยินไปด้วย
บุรุษวัยกลางคนช่วยต้มยาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป เขาชี้ไปยังศพที่ยังไม่ทันได้เก็บแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าคนผู้นี้สมควรตายหรือไม่?”
หญิงชราลังเลอยู่เล็กน้อยก็เลือกที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากเขาไม่ตาย คุณหนูของข้าก็จะต้องเจอกับหายนะ เมื่อไปถึงนครอวิ๋นโหลวแห่งนั้น นางก็มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย ไม่แน่ว่าในบรรดาคนมากมายที่ทำให้คุณหนูอยู่ไม่สู้ตาย ก็อาจจะมีคนผู้นี้รวมอยู่ด้วย”
บุรุษวัยกลางคนไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงออกไปจากเรือนหลังนั้น
กลางดึกของหลายวันต่อมา มีเรือนกายสะโอดสะองเรือนกายหนึ่งพลิกกายข้ามผ่านหัวกำแพงของนครอวิ๋นโหลวเข้ามา แม้ว่าปีนั้นจะมาพักอยู่ที่จวนแห่งนี้แค่ไม่กี่วัน แต่ความจำของนางก็ดีเยี่ยม มีฝีมือเท่าเทียมกับแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม แต่กลับสามารถมาเยือนที่แห่งนี้ได้ราวกับว่ามันเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าตอนนี้ผู้ถวายงานสามคนของจวนต่างก็กำลังเร่งรุดเดินทางกลับมายังนครอวิ๋นโหลวด้วย
เพียงแต่ว่าเมื่อนางพลิ้วกายลงในเรือนแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ตลอดทั้งเรือนกลับสว่างไสว โคมไฟหลายดวงถูกจุดและชูขึ้นสูง
สตรีที่แฝงตัวเข้ามาในจวนยามค่ำคืนผู้นี้ถูกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหก ผู้ถวายงานที่ถูกจ้างมาชั่วคราวด้วยเงินก้อนใหญ่จงใจใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งยันไว้ตรงหัวใจนาง ไม่ใช่ที่หว่างคิ้วหรือลำคอ จากนั้นก็ใช้กระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักวางพาดบนไหล่ของสตรีที่ปิดบังใบหน้า สองนิ้วประกบเข้าด้วยกันแล้วโบกเบาๆ ก็ฉีกกระชากผ้าคลุมหน้าที่บดบังโฉมหน้าของสตรีได้อย่างง่ายดาย ผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่ใบหน้าเหมือนคนแก่อายุหกสิบปีตกตะลึงอย่างยิ่ง เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เลวๆ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่กลับมีผิวพรรณได้งดงามถึงเพียงนี้ นับว่างดงามตั้งแต่กำเนิดจริงๆ ได้ยินว่าแม่นางเจ้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งด้วย คิดดูแล้วหากสั่งสอนให้ดี ความสามารถบนเตียงย่อมต้องยิ่งทำให้คนคาดหวังรอคอยได้แน่นอน”
ผู้ฝึกกระบี่หันหน้าไปยิ้มพูดกับเจ้าประมุข “ในเมื่อไม่ได้โกหก ตามข้อตกลง เงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง พวกเจ้าก็ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายแล้ว”
สตรีผู้นั้นกล่าวแค่ว่านางต้องการพบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจะจัดการกับนางอย่างไรก็ตามแต่ใจพวกเขา
ผู้ฝึกกระบี่เก็บกระบี่สอดเข้าฝัก พยักหน้ารับ แต่กลับลงมืออย่างรวดเร็ว สองนิ้วเคาะลงบนลำคอของหญิงสาว จากนั้นดีดเบาๆ อีกสองสามทีก็สามารถแงะเอายาเม็ดหนึ่งออกมาจากปากนางได้ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีใบหน้าแก่ชราถือเม็ดยาไว้ในมือ เอามาดมแล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะโยนยาเม็ดนั้นลงพื้น ใช้ปลายเท้าบดขยี้มันจนแหลก “สตรีที่งดงามปานบุปผาปานหยกเช่นนี้ จะปล่อยให้ตายได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าเงินเทพเซียนครึ่งหนึ่งที่ข้าใช้ซื้อชีวิตของเจ้า แลกเป็นเงินขาวได้เท่าไหร่? สองแสนตำลึงเงิน!”
สตรีที่ไม่รู้ว่าเหตุใดร่างทั้งร่างถึงได้ชาและอ่อนแรง คิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายยังกลายเป็นเพียงความเพ้อฝัน ได้แต่ปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นจับไหล่กระชากเดินไปทางห้องแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เขาถีบประตูเปิดออก ให้นางได้เห็นบุรุษที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกโพลง
สตรีสะอื้นไห้
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกกล่าวอย่างลำพองใจ “หลังจากที่พ่อลูกได้พบหน้ากันแล้ว ก็ควร…”
และเวลานี้เอง ร่างของผู้ฝึกกระบี่พลันแข็งค้าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นเพิ่งจะออกจากช่องโพรงลมปราณก็ส่งเสียงร้องครวญขึ้นมาทันที ที่แท้มันก็พุ่งเข้าชนกับปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่ง
ไม่เพียงแต่ปลายกระบี่คืบหนึ่งจะปริแตก กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ยังถูกคนผู้หนึ่งใช้สองนิ้วคีบเอาไว้
ผู้ฝึกกระบี่หันตัวกลับไปอย่างแข็งทื่อ รีบกุมหมัดกล่าวว่า “ผู้น้อยคือตู้เซ่อหู่แห่งนครอวิ๋นโหลว คารวะผู้อาวุโสเซียนกระบี่แห่งเกาะชิงเสีย!”
ที่แท้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตหกมีคนหนุ่มที่ใบหน้าซีดขาว สะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้ามายืนอยู่
คนผู้นั้นคลายนิ้ว ยื่นเงินร้อนน้อยสองเหรียญส่งให้ผู้ฝึกกระบี่คนนี้
ตู้เซ่อหู่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกรับเงินร้อนน้อยสองเหรียญมาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก ไม่พูดไม่จาก็เดินดิ่งออกไปจากจวนแห่งนี้ทันที
ปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตปริแตก เงินร้อนน้อยสี่เหรียญที่ได้มาเป็นค่าตอบแทนในคราวนี้จะชดเชยได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเงินเทพเซียนที่ใช้ซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตหรือจะมีค่ามากพอเท่ากับชีวิตของตน?
น่าเสียดายก็แต่สตรีที่ผิวพรรณขาวนวลเปล่งปลั่งดุจเทพวารีผู้นั้นที่ตนไม่อาจโชคดีได้ลิ้มรสแล้ว
ค่ำคืนนี้ รถม้าคันหนึ่งขับออกจากประตูเมืองของนครอวิ๋นโหลวมุ่งตรงไปยังแคว้นสือหาว จนกระทั่งฟ้าสางและออกห่างจากนครอวิ๋นโหลวมาไกลมากแล้ว เฉินผิงอันถึงหยุดรถม้า กระโดดลงมา เตรียมจะกลับไปยังท่าเรือนอกนครอวิ๋นโหลวแห่งนั้น หวังว่าเรือที่ผูกไว้ตรงริมชายฝั่งจะไม่ถูกคนขโมยไป ไม่อย่างนั้นคงจะยุ่งยากอยู่สักเล็กน้อย
สตรีผู้นั้นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น เดินมานั่งบนตำแหน่งของสารถี บิดาของนางนอนหลับสนิทอยู่ในห้องโดยสารด้านหลัง ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว เพียงแต่ชั่วชีวิตนี้ยากที่จะหวนกลับมาสู่ห้าขอบเขตกลางได้อีก นางมองไปยังแผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้น กลั้นน้ำตาเอาไว้ พูดเสียงหนักแน่น “สักวันหนึ่ง ข้าจะตามไปแก้แค้นเจ้า!”
ทว่าคนหนุ่มไม่สนใจนางแม้แต่น้อย จะมองนางสักครั้งก็ไม่มี นี่ทำให้สตรียิ่งเศร้าสร้อยและแค้นเคือง
แต่ทันใดนั้นสันหลังของนางก็พลันเย็นวาบ
เพราะคนผู้นั้นหยุดเดินและหันกลับมา
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ข้าอาจต้องอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างน้อยสองสามปี หากสำหรับเจ้าแล้วเป็นเวลาที่น้อยเกินไป ไม่มั่นใจว่าจะแก้แค้นได้สำเร็จ ในอนาคตก็ไปหาข้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีได้”
หญิงสาวตะลึงพรึงเพริด
เฉินผิงอันเอ่ยกับนางว่า “เจ้าพาเพื่อนไปเยอะๆ หน่อยก็ได้ พวกเขาจะได้ช่วยเก็บศพให้เจ้า เพราะถึงเวลานั้นข้าจะฆ่าเจ้าแค่คนเดียว”
สตรีเหม่อมองคนผู้นั้นที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล
ในห้องโดยสาร บิดาของนางคล้ายจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงที่ดังโหวกเหวก เขาไอโขลกๆ พลางกล่าวว่า “อย่าได้คิดจะไปแก้แค้นเขาอีกเลย”
นางเช็ดน้ำตาให้แห้ง หันหน้ามาถาม “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้มีเขาอยู่ด้วย ข้าไม่สะดวกจะถามท่าน พวกเรากับเขาผูกความแค้นกันได้อย่างไร?”
ในห้องโดยสารรถม้า บุรุษไร้คำตอบให้แก่บุตรสาว
อ้อมผ่านนครอวิ๋นโหลวมาที่ท่าเรือแห่งนั้น เรือข้ามฟากลำนั้นไม่เพียงแต่ยังอยู่ ยังมีผู้ฝึกตนสองคนของนครอวิ๋นโหลวที่เขาไม่รู้จักมาช่วยเฝ้าให้ด้วย คงเป็นเพราะต้องการป้องกันพวกโจรโง่ตาไร้แววที่ละโมบในทรัพย์สินจนไม่สนใจชีวิต และกลัวว่าจะทำให้ผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียคนนั้นพาลโกรธมาถึงนครอวิ๋นโหลวของพวกเขากระมัง
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณผู้ฝึกตนทั้งสองแล้วพายเรือจากมา
ยิ่งออกห่างมาไกล ความคิดของเฉินผิงอันก็ยิ่งล่องลอย พอคืนสติ เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งออมาวาดวงกลมวงหนึ่งท่ามกลางความว่างเปล่า
มุ่งหน้าไปยังเกาะชิงเสีย เส้นทางน้ำยาวไกล
เฉินผิงอันยังไม่คิดจะไปเยือนเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ใกล้เคียง ผลกลับกลายเป็นว่าล่องเรือมาได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับเรือหอเรือนขนาดใหญ่ยักษ์ที่มารับตัวเขา เฉินผิงอันพลิ้วกายขึ้นไปบนหัวเรือ กู้ช่านกับหนีชิวน้อยยืนเคียงบ่ากัน กู้ช่านเกาหัวพูดว่า “เฉินผิงอัน ทำไมไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าถึงได้ผอมลงอีกแล้วล่ะ?”
เฉินผิงอันถาม “ทางเกาะกงหลิ่วเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
กู้ช่านเหลือกตามองบน สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “น่าเบื่อจะตาย แต่ละคนตบโต๊ะถลึงตา ทะเลาะกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่นี่ก็ไม่แปลก การคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพหลายครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยน ครั้งที่ใช้เวลานานที่สุดก็ยังลากยาวไปตั้งเกินครึ่งปี ขาดก็แค่ยังไม่ได้สร้างกระท่อมหรือไม่ก็ปูเสื่อนอนในโถงประชุมบนเกาะก็เท่านั้น ครั้งที่ใช้เวลาสั้นที่สุดก็แค่ประมาณหนึ่งเดือน เพราะทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ทำให้คนผู้หนึ่งรำคาญใจ ไอ้หมอนั่นเลยสังหารเจ้าเกาะยี่สิบกว่าคนในตอนนั้นไปรวดเดียว วันเดียวกันนั้นก็มีเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ขึ้นครองตำแหน่ง คือชู้รักของคนผู้นั้น ซึ่งก็คือผู้ฝึกตนเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ใช้ตัวตนของสตรีนั่งบนบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
กู้ช่านถามอย่างประหลาดใจ “ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปบนฝั่งครั้งนี้มีเรื่องสนุกๆ ไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “เห็นเบาะแสเส้นหนึ่ง”
กู้ช่านกับหนีชิวน้อยหันมามองหน้ากัน
กู้ช่านคิดว่าไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการยิ้มกล่าวว่า “เกาะชิงเสียได้รับข่าวจากกระบี่บินเล่มหนึ่งแล้ว มาจากภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ใกล้กับบ้านเกิดของพวกเรา ข้าออกคำสั่งให้เก็บกระบี่บินเล่มนั้นไว้ในเรือนกระบี่เหมือนมันเป็นบรรพบุรุษแล้ว จะไม่มีใครกล้าเปิดจดหมายลับออกอ่านโดยพลการเด็ดขาด”
เฉินผิงอันหันมามองกู้ช่าน พยักหน้ารับ เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ เอ่ยเตือนว่า “ทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่ว ยิ่งคลื่นลมสงบมากเท่าไหร่ เจ้ากับหนีชิวน้อยก็ยิ่งต้องระวังให้มากเท่านั้น ข้าเดาเอาว่าต้าหลีกับราชวงศ์จูอิ๋งจะงัดข้อกันอย่างลับๆ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หากเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าร่วมด้วย ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรถอยมาก้าวหนึ่ง อย่ารีบร้อนลงมือ หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียจะได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพหรือไม่ ไม่ใช่แค่ว่าเจ้ากับหนีชิวน้อยกินเซียนดินโอสถทองไปคนสองคนแล้วจะตัดสินใจได้อีกแล้ว”
กู้ช่านอืมรับ “จำเอาไว้แล้ว! ข้ารู้หนักเบา ใครที่ฆ่าได้ กลุ่มอิทธิพลไหนที่ไปแหยมด้วยไม่ได้ อย่างมากข้าก็แค่ต้องคิดก่อนแล้วค่อยลงมือ”
หนีชิวน้อยลูบหน้าท้อง อันที่จริงมันเริ่มหิวนิดๆ แล้ว
เฉินผิงอันเก็บสายตากลับมาทอดมองทัศนียภาพของทะเลสาบอันกว้างไกลต่ออีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะยังมีโอกาสหันกลับไปเห็น ยิ้มกว้างงดงามประหนึ่งหยกอีกหรือไม่ (ยิ้มกว้างงดงามประหนึ่งหยก ภาษาจีนคือเหม่ยอวี้ช่านหราน มีอักษรที่เป็นคำเดียวกับชื่อของกู้ช่าน ประโยคนี้จึงน่าจะเปรียบเปรยว่า เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะได้เห็นกู้ช่านเปลี่ยนมาเป็นคนดี กลับมาเป็นน้องชายคนเดิมของตนได้อีกหรือไม่)
—–