ตอนที่ 436.1 ชื่อในเรื่องราว

หร่วนซิ่วเก็บ ‘กำไลข้อมือ’ กลับลงไปอีกครั้ง ร่างจริงของมังกรเพลิงที่มองดูเหมือนเล็กจ้อยน่ารักขดล้อมอยู่บนข้อมือของนางแล้วส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ศึกบนยอดเขาพุดตาน ลำพังเพียงแค่เซียนดินโอสถทองก็มีถึงสองคน และนี่ยังเพิ่งจะกินเด็กหนุ่มที่มีโชคชะตาบู๊ช่วงโชติเข้าไปอีกคน จึงทำให้มันอิ่มมากจริงๆ

หร่วนซิ่วถามคำถามข้อหนึ่งที่อาจารย์ซ่งตั้งรับไม่ทัน “ข้าสามารถเอาหินพุดตานส่วนหนึ่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ไหม ข้าอยากจะเปิดร้านขายตราประทับและหินฮวงจุ้ยร้านหนึ่งในตรอกของเมืองเล็ก”

หลางจงซ่งแห่งกรมพิธีการท่านนี้เป็นผู้มีความคิดที่เฉียบคมว่องไวจนขึ้นชื่อในราชสำนักต้าหลี เคยมีเรื่องเล่าลืออันดีงามในราชสำนักบอกว่า เขาเคย ‘ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ตอบคำถามสามสิบเจ็ดคำถาม’ กับฮ่องเต้ แต่เวลานี้ก็ยังตามความคิดของแม่นางหร่วนไม่ทันสักเท่าไหร่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “ขอแค่วัตถุจื่อชื่อของแม่นางหร่วนใหญ่พอ ต่อให้เอาไปหมดภูเขาพุดตานก็ยังไม่เป็นปัญหา”

หร่วนซิ่วที่พอได้คำตอบแล้วก็หันไปบอกให้ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวทำการ ‘เจาะภูเขา’ ทันที ในขณะที่ศิษย์น้องชายหญิงทั้งสองกำลังขุดดินทำงานหนัก หร่วนซิ่วหันมาพูดกับผู้เฒ่าว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าซ่งโปรดวางใจ จะไม่ทำให้ท่านเดินทางมาเสียเที่ยวแน่นอน นครลวี่ถงของทะเลสาบซูเจี่ยนที่พวกเราผ่านทางมา และยังมีระหว่างทางที่เดินทางกลับต้าหลี หากยังย้อนกลับไปทางเดิม ข้าจะช่วยหาคนที่เหมาะสมในการฝึกตนให้กับท่านสามคน รวมกันแล้วก็…สวีเสี่ยวเฉียว เขาชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”

สวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ห่างไปไกลเอ่ยตอบเบาๆ “หันจิ้ง”

หร่วนซิ่วพยักหน้า “ใช่ ก็จะไม่แย่ว่าหันจิ้งผู้นี้แน่นอน คนหนึ่งคือหลานของผู้เฒ่าขายธูปหอมที่วัดเทพแห่งผืนดินของนครลวี่ถงที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด อีกคนหนึ่งก็คือเด็กหญิงที่ข้ามอบน้ำตาลปั้นให้นางตรงแผงขายน้ำตาลปั้นที่วัดกานลู่แคว้นสือหาว ก็คือเด็กหญิงที่แก้มสองข้างแดงก่ำน่ารักคนนั้นนั่นแหละ คนสุดท้ายคือเด็กชายในท้องถิ่นคนหนึ่งที่ข้าเจอตอนซื้อขนมลูกพลับห่อใหญ่ตรงท่าเรือตระกูลเซียนที่ชื่อว่าท่านเรือเหนี่ยนจื่อ ตอนนั้นเขายังแข่งกับข้าว่าใครกะเพาะใหญ่กว่ากัน สุดท้ายกลายเป็นเขาที่กินขนมจนปวดฟัน ร้องไห้วิ่งกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน”

หน่วยจานกานสามคนของต้าหลีรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ นี่ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ใช่ไหม?

คิดไม่ถึงว่าซ่งหลางจงจะพยักหน้าตอบรับ “รอให้ท่านต่งและแม่นางสวีขุดภูเขาพุดตานเสร็จแล้ว พวกเราจะย้อนกลับไปที่วัดเทพแห่งผืนดินของนครลวี่ถง เพื่อตามหาตัวเด็กที่ชื่อว่าถงซานผู้นั้นกันก่อน”

หน่วยจานกานมั่นใจในทันที ในเมื่อแม้แต่ซ่งหลางจงก็ยังจดจำชื่อแซ่ของเด็กคนนั้นได้ นี่ก็แสดงว่าเขาต้องเป็นหยกงามในการฝึกตนที่มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน

หร่วนซิ่วเงยหน้ามองไปทางเกาะกงหลิ่ว เมื่อนางทำท่าเช่นนี้ มังกรเพลิงบนข้อมือที่เดิมทีคิดจะ ‘จำศีลหน้าหนาว’ ก็ลืมตาขึ้นมองไปทางด้านนั้นพร้อมกับนาง

ทายาทมังกรที่แท้จริงในยุคบรรพกาลอันห่างไกลบางตัว เกิดมาก็ชอบสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกัน ในประวัติศาสตร์ของแคว้นสู่โบราณ สิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายอำมหิตเช่นนี้มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่เซียนกระบี่ซึ่งออกเดินทางไกลหาประสบการณ์เลือกสังหาร

สวีเสี่ยวเฉียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ อาจารย์สั่งความพวกเราไว้ว่า นอกจากงานหลวงแล้ว เมื่อศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนห้าม…”

สวีเสี่ยวเฉียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองต่งกู่ที่สวมชุดคลุมสีดำแวบหนึ่ง

การเปิดทางภูเขาของภูเขาพุดตานในครั้งนี้ เป็นเพราะศิษย์พี่รองร่วมสำนักผู้นี้ที่เผยร่างจริง ฝืนทำลายปราการของค่ายกล ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่เขี้ยวซี่หนึ่งจะหักไป ยังสูญเสียตบะไปอย่างน้อยสี่สิบถึงห้าสิบปี

ต่งกู่ตีหน้าเคร่ง เอ่ยคำพูดที่เหลืออีกสองคำที่สวีเสี่ยวเฉียวไม่ค่อยกล้าพูดเสริมขึ้นมา “ทำตัวเหลวไหล”

หร่วนซิ่วกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือค้างไว้ก่อน”

ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวพยักหน้าพร้อมกัน อาจารย์ซ่งก็พยักหน้าตามไปด้วย

หร่วนซิ่วเห็นการกระทำที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนของพวกเขาแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทำอะไร เป็นไก่จิกข้าวเปลือกงั้นหรือ?”

พอนางยิ้ม เด็กหนุ่มหน่วยจานกานที่หวั่นไหวกับหร่วนซิ่วมานานแล้วผู้นั้นก็ยิ่งจิตใจเลื่อนลอย มองนางอย่างเคลิบเคลิ้ม

……

ในนครน้ำบ่อ ถนนวานรร่ำไห้ที่ขายอาวุธตระกูลเซียนโดยเฉพาะเส้นนั้นมีผู้เฒ่าที่สวมชุดตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนน ใบหน้าของเขาธรรมดา บุคลิกท่าทางก็สามัญทั่วไป เหมือนกับคนแก่ในตระกูลพอมีอันจะกินทั่วไป สองนิ้วของเขาลูบถูเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา เดินพลางดูไปพลาง เข้าออกอยู่หลายร้าน เพียงแต่ไม่ซื้อของ ยังดีที่บนถนนวานรร่ำไห้แห่งนี้มีเรื่องราวและคนประหลาดอยู่มากมาย จึงไม่มีใครสนใจผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนนี้เท่าใดนัก

ผู้เฒ่าเดินมาถึงร้านหนึ่ง เถ้าแก่ร้านที่ช่วงนี้ค่อนข้างจะอารมณ์ดีกำลังจิบเหล้าคำเล็กๆ มีกับแกล้มวางอยู่สองจาน คือถั่วลิสงโรยเกลือและเส้นปลาเงินที่มีเฉพาะในทะเลสาบซูเจี่ยน พอเห็นผู้เฒ่าที่สวมชุดตัวยาว เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ไม่แม้แต่จะเหลือบเปลือกตาขึ้นมอง

ผู้เฒ่ามีท่าทางคล้ายเสียดายเล็กน้อย ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เถ้าแก่ กระบี่ที่เลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นขายไปแล้วหรือ? โอ้ ภาพสตรีงดงามก็ขายไปแล้วด้วย? เจอคนโง่ที่โดนหลอกง่ายหรือไร?”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่เฝ้าร้านซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษผู้นี้มีนิสัยประหลาด เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ทำการค้าเป็นอยู่แล้ว หากเป็นเจ้าของร้านทั่วไป เจอกับลูกค้าที่พูดจาไม่เป็นเช่นนี้ ป่านนี้คงมองค้อนใส่หรือไม่ก็ไล่คนไปนานแล้ว ทว่าเถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น กลับกันยังเกิดอารมณ์นึกสนุก ยิ้มกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ ลูกค้าคนเดียวกันนั่นแหละ เป็นคนต่างถิ่น ดูของเก่ง ไม่ถือว่าเป็นคนโง่ที่โดนหลอกง่ายอะไรหรอก ก็แค่ทองพันชั่งยากจะซื้อความชื่นชอบก็เท่านั้น”

ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “ไม่เลวๆ ฝีมือทำการค้าห่างจากปู่ของเจ้าไกลโข ทว่ากลับโชคดีกว่าเขามากนัก ขนาดของอย่างนั้นยังขายออกไปได้ ข้ายังนึกว่าพวกมันต้องอยู่กินฝุ่นไปอีกร้อยกว่าปีเสียอีก”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าปรายตามองคนแปลกหน้าผู้นั้น “พูดจาวางโตไม่เบา เป็นเซียนซือเจ้าเกาะคนใดของทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นรึ? เฮอะ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเกาะที่พอจะมีความสามารถสักหน่อย ตอนนี้ล้วนไปอยู่บนเกาะกงหลิ่วหมดแล้ว ไหนเลยจะมีเวลามาวางท่าแสร้งเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าอยู่ในร้านข้า”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “คนหลายร้อยไปกินดื่มขี้เยี่ยวอยู่บนเกาะกงหลิ่ว ที่นั่นจะไม่กลายเป็นหลุมขี้ไปเลยหรือไง”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน “เทพเซียนที่บินไปบินมาพวกนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ สักหน่อย เกาะกงหลิ่วกลายเป็นห้องส้วมไม่ได้หรอก อีกอย่างสถานที่ที่ไม่ต่างจากสุสานผีไร้ญาติอย่างเกาะกงหลิ่วแห่งนี้ รอให้งานประชุมจบลงเมื่อไหร่ มันจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ใครเล่าจะสนใจ”

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “แต่ข้ากลับสนใจ”

เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ่งรู้สึกว่าน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ จึงกวักมือเรียกอีกฝ่าย “พี่ชาย มาดื่มด้วยกันสักจอกไหม?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “รสชาติไม่ได้ดีกว่าน้ำซาวข้าวสักเท่าไหร่ ไม่ดื่มหรอก”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าด่าขำๆ “ความหวังดีเห็นเป็นประสงค์ร้าย ไม่ดื่มก็ช่างเถิด แต่นิสัยเสียๆ ของเจ้ากลับถูกใจข้านัก ของในร้าน เชิญดูได้ตามสบาย หากถูกใจชิ้นไหนจะลดให้เจ้าเก้าส่วน”

ผู้เฒ่าโบกมือแล้วเดินออกมาจากร้าน

เขาเดินเที่ยวเล่นจนทั่วถนนวานรร่ำไห้ ไม่ได้กลับมาทะเลสาบซูเจี่ยนนานเกินไปแล้ว คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิม ไม่ได้เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยอีกแล้ว ผู้เฒ่าเดินออกจากถนนวานรร่ำไห้ มุ่งหน้ามายังตรอกแห่งหนึ่งที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายของนครน้ำบ่อ เดินมาถึงสุดปลายตรอก เขาก็ควักกุญแจออกมาไขประตูเรือน ด้านในคล้ายเป็นโลกอีกใบหนึ่ง

ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย แต่ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องมีคนมาทำหน้าที่เก็บกวาด อีกทั้งยังตั้งใจและทุ่มเทอย่างยิ่ง ดังนั้นในเรือนที่เงียบสงัดซึ่งมีระเบียงทางเดินล้อมวนเวียนอยู่หลายชั้นแห่งนี้จึงไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว

ผู้เฒ่าเดินมาที่ศาลาหลังหนึ่ง ผลักหน้าต่างเปิดออกแล้วตั้งใจรับฟังเสียงน้ำพุกระทบหิน เสียงสายน้ำไหลดังริกๆ

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ผู้เฒ่าร่างอ้วนท้วนที่ไร้สัญชาติไร้นามในนครน้ำบ่อก็มาหยุดอยู่นอกศาลา ค้อมเอวเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยหวังกวานเฟิงแห่งตรอกปู้ตี้คารวะท่านบรรพบุรุษหลิว”

ผู้เฒ่าหันตัวกลับมา ส่งยิ้มให้ “คือหลานของหลานเผ่าหวังสุ่ยแคว้นสือหาวกระมัง? เข้ามานั่งสิ ในอดีตสกุลหวังของพวกเจ้าเคยมีบุญคุณต่อข้า อดีตเจ้าประมุขหลายรุ่นสายสกุลหวังนครน้ำบ่อที่ย้ายออกมาจากแคว้นสือหาวอย่างพวกเจ้ารู้นิสัยของข้าดียิ่งกว่าคนหนุ่มสาวของทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้เสียอีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้”

ในศาลาไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมากมายนัก มีเพียงเบาะรองนั่งสีขาวที่วางไว้บนพื้นไม่กี่ใบ หวังกวานเฟิงที่อันที่จริงเมื่อเทียบกับสกุลฟ่านเจ้านครน้ำบ่อแล้วยังถือว่ามีเงินมากกว่านั่งลงบนเบาะใบหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่ได้ทำตัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพียงเพราะผู้เฒ่ามีสีหน้าเป็นมิตรให้เห็น

ผู้เฒ่าแซ่หลิวถามสถานการณ์ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาของทะเลสาบซูเจี่ยนจากเขา หวังกวานเฟิงก็ไล่ตอบไปทีละคำถาม

หลังจากผู้เฒ่าแซ่หลิวรับฟังสถานการณ์ล่าสุดของเกาะกงหลิ่วจบก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าอยู่ไกลไปถึงตรอกหางผึ้งก็ยังได้ยินชื่อเสียงและบารมีอันเลื่องลือของคู่อาจารย์และศิษย์อย่างหลิวจื้อเม่ากับกู้ช่านแห่งเกาะชิงเสีย”

หวังกวานเฟิงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังอยู่รอบหนึ่งก็ตอบว่า “ตอนนี้สกุลซ่งต้าหลีและราชวงศ์จูอิ๋งกำลังเอาทะเลสาบซูเจี่ยนมาเป็นสถานที่งัดข้อกัน พวกเราลงเดิมพันไว้ที่เกาะชิงเสีย ราชวงศ์จูอิ๋งก็น่าจะเลือกเกาะพันธมิตรทั้งสามอย่างเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ บุคคลสำคัญคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จูอิ๋ง มีความเกี่ยวข้องกับเกาะหวงหลี เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบว่าคนผู้นี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด แต่ฝ่ายในของราชวงศ์จูอิ๋งคิดจะดึงกู้ช่านมาเป็นพวกหรือคิดจะฆ่าเขา น่าจะยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ ไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นการลอบฆ่าครั้งก่อนในนครน้ำบ่อ กองกำลังบางกลุ่มของราชวงศ์จูอิ๋งจึงพลาดท่าครั้งใหญ่ ตัวหลิวจื้อเม่าเองยังคงเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต กลับเป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ข้างกายกู้ช่านตัวนั้นที่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว พลังการต่อสู้น่าตื่นตะลึง แม้แต่หลิวจื้อเม่าเองก็ยังกริ่งเกรง ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจเกิดสถานการณ์ที่หางใหญ่เกินไปจนส่ายไม่ไหว (หมายถึงกองกำลังภายใต้การปกครองมีศักยภาพสูงจนกองกำลังเบื้องบนมิอาจควบคุมได้) สุดท้ายหลิวกู้สองคนต้องแบ่งทะเลสาบซูเจี่ยนกัน แต่ว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อท่านบรรพบุรุษนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ”

ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “มารน้อยที่ชื่อว่ากู้ช่านผู้นั้น บอกว่าตัวเองคือผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างนั้นรึ?”

หวังกวานเฟิงขบคิดความนัยที่อยู่นอกเหนือจากคำพูดนี้ออก จึงถามอย่างระมัดระวัง “ท่านบรรพบุรุษต้องการให้พวกเราหันไปลงเดิมพันข้างราชวงศ์จูอิ๋งแทน?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “มันคนละเรื่องกัน การที่หลิวจื้อเม่ามีหน้ามีตาได้อย่างทุกวันนี้ ครึ่งหนึ่งก็เพราะอาศัยกู้ช่านและเจียวหลงก่อกำเนิดตัวนั้น ให้เขาได้นั่งบนตำแหน่งของเจ้าแห่งยุทธภพทะเลสาบซูเจี่ยนสักสองสามวันก่อน ถึงเวลานั้นเมื่อกู้ช่านตายไป หลิวจื้อเม่าก็เหมือนสวะไร้ค่าไปเกินครึ่งตัวแล้ว กำแพงล้มคนช่วยกันผลัก เมื่อสองร้อยปีก่อนทะเลสาบซูเจี่ยนแซ่อะไร อีกสองร้อยปีให้หลังก็ยังคงจะเป็นแซ่นั้น”

แล้วผู้เฒ่าก็หัวเราะ “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนไม่กลัวความตายอีกแล้ว? เด็กตัวเท่าก้นก็กล้าโอ้อวดบารมีขนาดนี้แล้วรึ?”

หวังกวานเฟิงอธิบาย “ไม่แน่เสนอไปว่าราชวงศ์จูอิ๋งจะไม่มีความคิดอยากผูกมัดใจของกู้ช่านให้มางัดข้อกับหลิวจื้อเม่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้กู้ช่านทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียนี้ แต่ความเร็วในการเติบโตของเจียวหลงตัวนั้นที่ไม่ถึงสามปีก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินก่อกำเนิด ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกมึนงงมากจริงๆ”

เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาประเภทที่ชอบตำหนิข้ารับใช้ด้วยถ้อยคำรุนแรง เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “นี่จะโทษพวกเจ้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าท่องเที่ยวอยู่กับสหายสองคนแล้วได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ขอบเขตและสายตาสูงกว้างไกลอย่างพวกเขาก็ยังมีความคิดเหมือนกับเจ้าหวังกวานเฟิง ต่างก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน”

“ลงเดิมพันข้างหลิวจื้อเม่านั้นไม่มีปัญหา หากไม่กลัวว่าข้าจะหลอกเอาเงินของสกุลหวัง พวกเจ้าก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลลงเดิมพันไปได้เลย”

สุดท้ายผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เพียงแต่ว่ากู้ช่านผู้นั้น ถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนสังหารเขาด้วยตัวเอง พวกเจ้าแค่ต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด รอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรที่มากเกินความจำเป็น แค่รอเก็บเงินก็พอ”

หวังกวานเฟิงกลืนน้ำลาย

ผู้เฒ่าสีหน้าเฉยชา “ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีชีวิตของใครที่มีค่ามากกว่า ไม่มีใครที่สามารถฆ่าตั้งแต่หัวจรดหาง อย่างน้อยที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ที่ข้า ก็ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้”

หวังกวานเฟิงหมอบกราบลงกับพื้น

อันที่จริงทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าคนเฒ่าคนแก่ของทะเลสาบซูเจี่ยนไม่พูดถึง คนหนุ่มคนสาวจึงไม่รู้ก็เท่านั้น

……

ช่วงที่ผ่านมานี้หญิงชราคนเฝ้าประตูของจวนผู้ฝึกตนผีเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย เพราะทุกวันนางจะต้องเฝ้ารอให้นักบัญชีหนุ่มผู้นั้นมาเยี่ยมเยือน

ต่อให้ทุกครั้งที่ท่านเฉินมาเยี่ยมจะไปมาอย่างรีบร้อน แล้วก็ไม่ได้หยุดเท้าอยู่ที่หน้าประตูนานนัก เพียงแค่เอ่ยทักทายนางแล้วก็จากไป แทบจะไม่ชวนนางคุยเล่นแม้เพียงครึ่งคำ แต่กระนั้นหญิงชราที่มีนามว่าหงซู นางที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ จะเป็นผีก็ไม่เชิงกลับยังคงรู้สึกดีใจ

วันนี้หลังจากที่นักบัญชีจากไป นางยืนมองแผ่นหลังของคนผู้นั้นที่ค่อยๆ ห่างไปไกลอยู่ตรงหน้าประตู เป็นเหตุให้นายท่านของตัวเองมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายแล้ว แต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว รอจนนางสะดุ้งโหยงเพราะคืนสติ ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “ทำไม ยังหวังว่าจะได้เป็นนกกระจอกบินเหนือยอดไม้? ถูกคนอย่างเฉินผิงอันหมายตารับเป็นสาวใช้งั้นรึ?”

นางรีบหันไปยอบตัวให้ผู้ฝึกตนผี กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “นายท่านล้อเล่นแล้ว บ่าวหรือจะกล้ามีความคิดที่สมควรถูกฟ้าผ่าเช่นนั้น”

ผู้ฝึกตนผีโยนถุงเงินเทพเซียนใบเล็กใบหนึ่งมาให้นาง “ช่วงนี้เฉินผิงอันจะยังมาเป็นแขกที่จวนบ่อยๆ ใช้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญทุกวันก็มากพอจะทำให้เจ้ากลับคืนมามีรูปร่างเหมือนตอนก่อนตายได้ จากนั้นก็จะคงสภาพไปได้อีกประมาณสิบวัน เวลาที่เฉินผิงอันมาเยือนจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าจวนจูเสียนของข้าเป็นวังอเวจี แม้แต่คนเฝ้าประตูที่เป็นคนเป็นๆ สักคนก็ยังจ้างมาไม่ได้”

นางใช้สองมือประคองถือเงินเทพเซียนถุงนั้น จากนั้นก็โค้งกายขอบคุณ

แน่นอนว่านางไม่มีทางเกิดความคิดอะไรกับนักบัญชีที่ยังหนุ่มแน่นและอ่อนโยนคนนั้นจริงๆ สตรีบนโลกใบนี้ ไม่ว่าตัวเองจะงดงามหรืออัปลักษณ์ เมื่อได้พบกับบุรุษ ต่อให้เขาจะดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องชอบ แล้วก็ไม่ใช่ว่าต่อให้เขาเลวร้ายแค่ไหนก็จะต้องชอบไม่ลงเสมอไป ผู้เฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงให้กับชายหญิงบนโลก คิดดูแล้วคงจะเป็นผู้เฒ่าที่นิสัยเหมือนเด็กคนหนึ่งกระมัง

หงซูที่มีผมสีนิลเต็มศีรษะแต่ใบหน้ากลับแก่ชรา นางได้แต่เฝ้าอยู่หน้าประตูของจวนใหญ่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อไร้รสชาติจริงๆ กว่าจะได้พบเจอกับคนหนุ่มคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นางย่อมทะนุถนอมเห็นค่า

ผู้ฝึกตนผีที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใคร วันนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาทอดสายตามองทัศนียภาพของทะเลสาบอันกว้างใหญ่นอกเกาะชิงเสียด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

ก่อนหน้านี้หลิวจื้อเม่าลงมือกับเจ้าเกาะผู้เฒ่าแห่งเกาะเทียนหมู่อย่างจริงจัง ทำให้น้ำสมองของฝ่ายหลังเกือบจะได้กลายมาเป็นโจ๊กขาวอาหารมื้อดึกของเกาะกงหลิ่วในคืนนั้น แม้ว่าภายนอกจะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ฝั่งพันธมิตรของเกาะชิงเสีย แต่คนที่สายตาดีล้วนรู้ว่าโศกนาฎกรรมบนภูเขาพุดตาน ไม่ว่าจะใช่หลิวจื้อเม่าที่ลงมืออย่างอำมหิตอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เส้นทางการเดินสู่ยอดเขาที่มีบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพรออยู่ของหลิวจื้อเม่าครั้งนี้ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคไม่น้อย และได้สูญเสียการปกป้องจากเจ้าเกาะเล็กๆ จำนวนไม่น้อยไปแล้วโดยที่มองไม่เห็น

เพราะทะเลสาบซูเจี่ยนมีกฎเหล็กอยู่สองข้อที่ต่อให้ผ่านมานานแค่ไหนก็ไม่เคยเสื่อมลง หนึ่งคือช่วยญาติไม่ช่วยผดุงคุณธรรม อีกหนึ่งคือช่วยคนอ่อนแอไม่ช่วยคนแข็งแกร่ง

ดังนั้นหลายวันมานี้บรรยากาศบนเกาะชิงเสียจึงค่อนข้างจะตึงเครียด งานเลี้ยงฉลองบนเกาะใหญ่ทั้งสิบสองเกาะก็ลดน้อยลงไปมาก

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset