ตอนที่ 446.2 เตาอุ่นร้อน ใจคนเยียบเย็น

หลังจากหลิวจื้อเม่าไปจากท่าเรือแล้ว เฉินผิงอันก็กลับมาที่ห้อง ปลดเจี้ยนเซียนไปแขวนไว้บนผนัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออก สวมแค่ชุดผ้าฝ้ายตัวหนาป้องกันความหนาว ใส่ถ่านไม้ลงไปในเตาใบเล็ก จุดฟืนก่อไฟหาความอบอุ่นแล้วสาวเท้าก้าวเดินอยู่ในห้อง

เจิงเย่วิ่งมาเคาะประตูห้องสอบถาม เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ถามถึงความคืบหน้าในการฝึกตนของเจิงเย่อย่างละเอียด พูดคุยกันจบ เฉินผิงอันก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย คาดว่าประมาณปลายปี เจิงเย่น่าจะสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นที่พักพิงของวัตถุหยินและจิตวิญญาณมาเดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นได้ ถึงเวลานั้นเจิงเย่ก็จะสามารถอาศัยวิชาลับชั้นสูงและฐานกระดูกที่พิเศษของตนมาขัดเกลาและพัฒนาตบะ ไม่แน่ว่าความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตจะเร็วอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิชานอกรีตที่ช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโตของเกาะเหมาเยว่แล้ว ยังเร็วกว่าหนึ่งระดับด้วยซ้ำ สามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก้าวข้ามธรณีประตูขนาดใหญ่บานแรกของห้าขอบเขตกลางได้เร็วกว่าเดิม

เห็นท่าทีอิดออดคล้ายไม่อยากจากไปของเจิงเย่

เฉินผิงอันก็ถามว่า “อยากถามข้าว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เพิ่งจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับหลิวเหล่าเฉิงไปหยกๆ ตอนนี้กลับมาเที่ยวชมทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกันเหมือนสหายที่สนิทสนมกันมานานเสียแล้ว?”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างลำบากใจเล็กน้อย

ต่อให้เขาจะจดจำได้ขึ้นใจว่า เมื่อมาอยู่บนเกาะชิงเสียต้องมองให้มาก คิดให้มาก พูดให้น้อย แต่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นี้รู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมาก จึงอดใจไม่ไหวจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะซับซ้อน แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาพูดคุยกันเป็นเรื่องขบขันได้”

เจิงเย่รีบลุกขึ้นทันที “ท่านเฉิน ข้าจะกลับไปฝึกตนแล้ว”

เฉินผิงอันพูดกับเขาว่า “รอวันใดที่สามารถพูดได้แล้ว ถึงวันนั้นจะเลี้ยงเหล้าเจ้าแล้วเล่าให้เจ้าฟังไปด้วย”

เจิงเย่ปิดประตูลงเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองลอดผ่านร่องเล็กก่อนที่ประตูจะปิดสนิทพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านเฉิน คำไหนคำนั้นนะ!”

……

หลังจากนั้นเกาะมากมายบนทะเลสาบซูเจี่ยนที่หิมะยังไม่ทันละลายจนหมดก็ต้องเจอกับหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ตกหนักอีกครั้ง

ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ

ปีนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีหิมะใหญ่ที่หลายสิบปียากจะพานพบตกลงมาสองครั้งติดแล้ว

แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่ยินดี เพราะนี่หมายความว่าปราณวิญญาณที่เดิมทีก็เต็มเปี่ยมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะได้รับการเติมเต็มเข้ามาอีก นี่เรียกว่าสวรรค์ประทานข้าวให้กิน

หลายวันที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกตนแทบทุกคนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงนักบัญชีของเกาะชิงเสียคนนั้นอย่างดุเดือด แม้แต่เมืองใหญ่รอบทะเลสาบทั้งสี่แห่งอย่างนครบ่อน้ำ นครอวิ๋นโหลวก็ยังไม่เว้น

อวี๋กุ้ยเป็นฝ่ายมาเยือนประตูภูเขาเกาะชิงเสียด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เขามานั่งอยู่ในห้องของเฉินผิงอันพักหนึ่ง แล้วถือโอกาสทำการค้าเล็กๆ ขายวัตถุวิเศษชั้นสูงที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งให้เฉินผิงอันในราคาถูก ประสิทธิผลของมันคล้ายคลึงกับตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ ชิ้นนั้น คือหอเรือนที่สร้างเลียนแบบ ‘หอแก้ว’ ของนครจักรพรรดิขาวในแผ่นดินกลาง แม้ว่า ‘ห้องหับ’ ที่ภูตผีวัตถุหยินสามารถพักอาศัยได้จะมีไม่มาก แค่สิบสองห้อง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบตำหนักพญายมราชที่เช่ามาจากห้องลับของเกาะชิงเสียได้ติด แต่คุณภาพของห้องพักกลับดีกว่ามาก ต่อให้คิดจะเอาขุนพลผีที่ผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนตั้งใจอบรมปลูกฝังอยู่ในธงเรียกวิญญาณมาอยู่ที่นี่ ก็ยังสามารถมาหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่นได้อย่างเหลือเฟือ

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ของชิ้นนี้เป็นของดีเยี่ยม ก็แค่เขาไม่มีเงินเท่านั้น จึงได้แต่ติดเงินเกาะตะขอจันทร์เอาไว้ก่อน อวี๋กุ้ยได้ยินก็เบิกบานใจทันที บอกว่าท่านเฉินไม่มีคุณธรรมเสียเลย ราคาถูกปานนี้ยังจะเชื่อไว้ก่อน ทำได้ลงคอจริงๆ หรือ? เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่าทำได้สิ ทำได้ กับเจ้าเกาะอวี๋ยังต้องเกรงอกเกรงใจไปไย อวี๋กุ้ยยิ่งอารมณ์ดี แต่มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย เขาจึงพาเฉินผิงอันไปหาจางเย่ผู้ดูแลหลักของคลังลับ เขียนใบรองรับหนี้สินในนามของเกาะชิงเสีย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่วางใจ ยังขอให้ผู้เฒ่าจางช่วยจับตามองเฉินผิงอันด้วย ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเขาอวี๋กุ้ยกับคลังลับอาจต้องกลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากกัน

จางเย่พยักหน้ารับตอบรับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ให้เฉินผิงอันยืมเงินไปจ่ายค่าหอแก้วหลังเล็กนั่น เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ติดหนี้เกาะชิงเสียไว้ก้อนใหญ่อยู่แล้ว แต่จางเย่ก็รับปากเขียนใบรับรองหนี้สินให้ อวี๋กุ้ยถึงได้พึงพอใจ และยังถือโอกาสเชื้อเชิญผู้เฒ่าจางไปเป็นแขกที่เกาะตะขอจันทร์ของตน จางเย่ก็ตกปากรับคำอีกเหมือนกัน ทั้งยังนัดหมายเวลากับอวี๋กุ้ยเรียบร้อยอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย

สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันคล้ายเป็นคนนอก

เจ้าเกาะไผ่ม่วงก็โดยสารเรือข้ามฟากอาวุธวิเศษลำหนึ่งมาเยือนด้วยความชื่นมื่น นำไม้ไผ่ม่วงรุ่นบรรพบุรุษของเกาะมาให้ท่านเฉินสามลำใหญ่ มอบให้เปล่าๆ แต่อารมณ์ดียิ่งกว่าเก็บเงินเสียอีก พอมาถึงห้องของเฉินผิงอันก็ดื่มแค่น้ำร้อนที่ไม่มีใบชาสักใบถ้วยเดียวแล้วกลับทันที เฉินผิงอันเดินมาส่งจนถึงท่าเรือ กุมหมัดอำลา

และยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่ตอนแรกเฉินผิงอันต้องกินน้ำแกงประตูปิด หรือไม่ไปเยือนแล้วเจ้าเกาะไม่ปรากฎตัวที่ต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนเกาะชิงเสียราวกับนัดหมายกันมาอย่างไรอย่างนั้น

พอหิมะใหญ่หยุดตก

เที่ยงวันของวันนี้หลิวจื้อเม่าก็มาเยือนที่เรือนหลังนี้ ทว่าเพียงแค่เคาะประตู ไม่ได้เข้าไปข้างใน

เฉินผิงอันเดินหิ้วเตาออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

คนทั้งสองเดินเล่นไปด้วยกัน

หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ต้องการให้ข้าออกหน้าช่วยปฏิเสธคนเหล่านั้นหรือไม่? แค่หาข้ออ้างง่ายๆ ก็ได้แล้ว บอกว่าเกาะชิงเสียจะปิดภูเขา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าสามารถหาความสุขจากความทุกข์ แล้วก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้ อันที่จริงไปมาหาสู่กับเจ้าเกาะเหล่านี้ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอีกไม่น้อย แต่ก็เหนื่อยมากจริงๆ การทักทายปราศรัย พูดจาตามมารยาทกับคนอื่น เป็นเรื่องที่ข้าไม่ถนัดที่สุดมาโดยตลอด ก็ถือซะว่าเป็นการตรวจสอบหาช่องโหว่ และฝึกฝนวิชาการอยู่ร่วมกับคนอื่นก็แล้วกัน”

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงล้วนต้องมีวันที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้ วันหน้าเมื่อเจ้ามีภูเขาเป็นของตัวเอง ต้องคอยดูแลทุกเรื่องทุกทาง จะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่งกว่านี้ ทำตัวให้ชินไว้แต่เนิ่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องดี”

คนทั้งสองเดินออกมาจากเรือนหน้าประตูภูเขาได้พักใหญ่ หลิวจื้อเม่าหันกลับไปมองก็กลั้นยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน อาหญิงท่านนั้นของเจ้าออกจากจวนชุนถิงมาหาเจ้าแล้ว หากจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกจากเรือนมาพบเจ้าหลังจากที่เจ้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง พวกเราจะเดินกลับกันไปดีไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดินไปข้างหน้าอีกหน่อย”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าใจแข็งเช่นคนฝึกตนอย่างพวกเรา อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้แล้ว”

เฉินผิงอันถือเตาใบเล็ก ยิ้มกล่าวว่า “พยายามให้เป็นการพบเจอที่ดีและจากลาที่ดีเถอะ ต่อให้ความสัมพันธ์ควันธูปจางหายไปจนสิ้นแล้ว ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ดี”

หลิวจื้อเม่าเอ่ย “กิจในบ้านบางอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในเรือนของตรอกทรุดโทรม อยู่ในจวนใหญ่โตโอ่อ่า หรืออยู่บนภูเขาใหญ่อย่างเกาะชิงเสียของพวกเรา คิดจะทำให้ดี ก็ยากที่จะเป็นคนดีได้ เฉินผิงอัน ข้าขอแนะนำเจ้าด้วยประโยคที่ไม่น่าฟังสักประโยค บางทีต่อให้ผ่านไปอีกหลายปีหรือสิบปี สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นก็ไม่มีทางเข้าใจความหวังดีของเจ้าในเวลานี้ นางมีแต่จะจดจำความไม่ดีของเจ้า ไม่ว่าเวลานั้นนางจะมีชีวิตที่ดีหรือร้ายก็ล้วนเหมือนกัน ไม่แน่ว่าหากนางมีชีวิตที่แย่ กลับยังจะพอจดจำความดีของเจ้าได้ไม่มากก็น้อย แต่ยิ่งมีชีวิตที่ดีเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเคียดแค้นเจ้ามากเท่านั้น”

เฉินผิงอันสีหน้าเฉยชา “แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดัง “ก็จริงนะ”

หลิวจื้อเม่าพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “เจ้าลองเดาดูสิว่ามารดากู้ช่านออกจากบ้านมาครั้งนี้ ได้พาสาวใช้คนสองคนติดตามมาด้วยหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่ารีบเอ่ยเสริมทันทีว่า “ข้าไม่ได้คิดจะยุแยงตะแคงรั่วแน่นอน”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าพาสาวใช้เดินมาได้ครึ่งทางแล้วรู้สึกไม่เหมาะสม ก็เลยสั่งให้พวกนางกลับไปที่จวนชุนถิง? ท่านอาหญิงคนนี้ของข้าฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิงก็คงไม่มีทางเลี้ยงดูกู้ช่านให้เติบใหญ่ได้ แต่ว่า…ไม่มีแต่ว่า ตอนอยู่ตรอกหนีผิง นางทำได้ดีที่สุดแล้ว”

หลิวจื้อเม่าจุ๊ปาก “ร้ายกาจ!”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าเดาถูกจริงๆ หรือนี่?”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “ตอนที่เดินออกจากประตูใหญ่ของจวนชุนถิงยังพาสาวใช้สองคนที่ท่าทางว่าง่ายที่สุดมาด้วย แต่เดินมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ นางก็คิดจนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ท่าทางเวลาที่คนน่าสงสารไปขอร้องคนอื่นสมควรมี จึงบอกให้พวกสาวใช้กลับไป ถือโอกาสเอาเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกราคาแพงตัวนั้นของนางกลับไปด้วย ดังนั้นหากพวกเรายังเดินต่อไป ตอนที่กลับไปถึง นางที่อยู่นอกประตูต้องหนาวจนปากเขียวตัวสั่นแน่นอน ถึงเวลานั้นพอเข้าไปในห้อง ยามพูดจาก็คงไม่คล่องแคล่วนัก เป็นอย่างไร พวกเราจะย้อนกลับไปทันที ไม่ให้โอกาสนางได้ทำตัวน่าสงสารจริงๆ ดีหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “กลับเถอะ”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะ “อันที่จริงเจ้าใจแข็งยิ่งกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถึงอย่างไรข้าก็รู้ทุกอย่าง ไยยังต้องให้นางเผชิญกับความยากลำบาก ต้องเจ็บแค้นใจมากกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายที่สุดแล้ว”

หลิวจื้อเม่าถาม “จะกลับไปพร้อมกันเหมือนที่ไปจวนชุนถิงคราวนั้นหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าว “คราวนี้ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่ได้หน้าใหญ่ถึงขนาดสามารถให้เจ้าเกาะหลิวต้องร่วมเดินทางด้วยครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ถวายงานเกาะชิงเสียไม่สมควรทำเช่นนี้”

หลิวจื้อเม่าไม่ได้ยืนกราน เพียงทะยานร่างวูบหายไป “วางใจเถอะ ข้าจะไม่แอบฟังบทสนทนาของพวกเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่านางจะพูดอะไร”

เฉินผิงอันกลับไปที่เรือนหลังนั้น สตรีแต่งงานแล้วหนาวจนตัวแข็งทื่อเหมือนนกกระทา สองมือกอดไหล่ เมื่อนางเห็นเฉินผิงอันที่เดินมาแต่ไกลก็ลังเลเล็กน้อยแล้วรีบปล่อยมือออกทันที

นางที่เป็นสตรีธรรมดาคนหนึ่งยังมองเห็นเฉินผิงอันแล้ว

เฉินผิงอันย่อมมองเห็นนางเร็วยิ่งกว่าเสียอีก

แล้วก็จริงดังคาด

พอเฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ประตูภูเขาก็สาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าหา ยื่นเตาอุ่นมือส่งไปให้สตรีแต่งงานแล้ว เปิดประตูพลางกล่าวว่า “ท่านอาหญิงมาได้อย่างไร? ทำไมไม่ให้คนมาแจ้ง ข้าจะได้ไปที่จวนชุนถิงเอง”

สตรีแต่งงานแล้วเข้ามาในห้อง นั่งลงข้างโต๊ะ สองมือวางไว้บนเตาอุ่นมือ ฝืนยิ้มเบิกบาน “ผิงอัน หนีชิวน้อยตายแล้ว อาจะยังกล้าพูดอะไรมากอีก เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรหนีชิวน้อยก็อยู่กับพวกเราสองแม่ลูกมานานหลายปี ไม่มีมันแล้ว อย่าว่าแต่จวนชุนถิงเลย แม้แต่กระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่งบนเกาะชิงเสียก็อาจจะไม่มีคนรอดชีวิตอยู่ได้อีก ดังนั้นช่วยคืนศพของหนีชิวน้อยให้พวกเรานำไปฝังศพได้หรือไม่? หากคำขอร้องนี้มากเกินไป อาก็คงไม่พูดอะไรมากอีก ยิ่งไม่ตำหนิเจ้า ก็เหมือนตลอดหลายปีมานี้ที่กู้ช่านพร่ำพูดมาตลอดว่า ใต้หล้านี้นอกจากข้าที่เป็นมารดาแล้ว อันที่จริงก็มีแต่เจ้าที่เป็นห่วงเขาจากใจจริง หลายปีที่อยู่ในตรอกหนีผิง ก็แค่ข้าวถ้วยเดียวเท่านั้น แต่เจ้ากลับช่วยเหลือพวกเราสองแม่ลูกมากมาย ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเราสองแม่ลูกมองเห็น หรือมองไม่เห็น เจ้าก็ล้วนทำทั้งหมด…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ปิดหน้าร่ำไห้ พูดเสียงสะอื้น “ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ล้วนเป็นโชคชะตา อาไม่โทษเจ้าจริงๆ จริงๆ นะ…”

เฉินผิงอันรับฟังอย่างอดทน รอจนสตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่พูดอะไรอีก

เขาจึงเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ย้ายเอากระถางใบใหญ่มาวางไว้ใต้โต๊ะ จากนั้นก็เดินไปเปิดถุงใบใหญ่เก็บถ่านไม้ซึ่งวางไว้ตรงมุมห้องออก นำฟืนมาเติมในกระถาง หลังจากใช้ที่จุดไฟซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษจุดฟืนแล้วก็นั่งยองอยู่บนพื้น ผลักกระถางมาไว้ใต้โต๊ะที่คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน ขยับไว้ใกล้ๆ ขาทั้งสองของสตรีแต่งงานแล้ว เพื่อที่นางจะได้อบอุ่น

ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เฉินผิงอันก็นั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ไม่ได้เอ่ยอะไร

สตรีแต่งงานแล้วรีบเช็ดน้ำตา นางยกเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาเหยียบบนขอบกระถางไฟเบาๆ พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวชวนเวทนา “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดิมทีหนีชิวน้อยก็มาจากน้ำ ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการทำศพเหมือนพวกเรา ไม่จำเป็นต้องฝังลงดินเสมอไป”

สายตาของเฉินผิงอันเลื่อนลอย

เขายังพอจะจำได้เลือนๆ ว่า

ปีนั้นมีครั้งหนึ่งในตรอกเล็ก ตนคอยปกป้องนาง หลังจากนางทะเลาะตบตีกับพวกสตรีปากยื่นปากยาวทั้งหลายแล้ว คนทั้งสองก็นั่งกันอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบ้าน นางเพียงแค่หลั่งน้ำตาเงียบๆ สองมือกำชายเสื้อที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนไว้แน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ หลังจากเห็นลูกชายที่ซุกซนของตนเดินอาดๆ เข้ามาในตรอกแล้วก็รีบหันหลังไปเช็ดน้ำตา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ใช้นิ้วมือสางผมที่ยุ่งเหยิง

ต่อให้เป็นเวลานี้เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกว่าอาหญิงคนนั้นในตอนนั้น ก็คือมารดาที่ดีที่สุดของกู้ช่าน

นางเอ่ยถามเสียงเบา “ผิงอัน ได้ยินว่าครั้งนี้เจ้าไปพบบรรพจารย์หลิวที่เกาะกงหลิ่ว อันตรายหรือไม่?”

สองมือที่กำเป็นหมัดแน่นของเฉินผิงอันวางอยู่บนหัวเข่าเบาๆ

เขาไม่มีอารมณ์เศร้าสร้อยทุกข์ตรมอะไรอีกแล้ว เหลือเพียงความเหนื่อยหน่ายใจเท่านั้น

ผู้ที่เห็นปลาในเหวลึกย่อมไม่เป็นมงคล

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก คลายหมัดออก ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง “ท่านอาหญิง คนในครอบครัวเดียวกันที่แท้จริง อันที่จริงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะมันอยู่ในนี้หมดแล้ว ปีนั้นที่ท่านอาเปิดประตูมอบข้าวให้ข้าหนึ่งถ้วย ข้ามองเห็นแล้ว ปีนั้นท่านอาทะเลาะกับคนอื่นเสร็จแล้วนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน หันมาส่งสายตาให้ข้า ต้องการให้ข้าเก็บเป็นความลับไม่บอกกู้ช่าน ไม่ให้เขารู้ว่ามารดาของตัวเองได้รับความทุกข์ยาก ด้วยกังวลว่าเขาจะหวาดกลัว ข้าก็มองเห็นแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

มือที่อยู่ใต้โต๊ะของนางกำที่จับเตาใบเล็กเอาไว้แน่น

เฉินผิงอันอยากบอกกับนางอย่างยิ่งว่า

‘ท่านอาหญิง ท่านคงยังไม่รู้ว่า ปีนั้นตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง ข้าก็รู้แล้วว่าเพื่อหนีชิวน้อยตัวนั้น ท่านอาหญิงจึงอยากให้ข้าตาย หวังให้หลิวจื้อเม่าสังหารข้าให้ได้’

‘ท่านอาหญิง ท่านคงไม่รู้เช่นเดียวกันว่า คืนนั้นที่ท่านเชิญหลิวจื้อเม่าไปยังจวนชุนถิง ถามถึงรากฐานของข้า อันที่จริงหลิวจื้อเม่าไม่ได้ดื่มชาถ้วยนั้น แต่นำน้ำในถ้วยกลับมา เพราะแท้จริงแล้วเขาใช้เวทลับน้ำเก็บเสียงของบนภูเขามาเก็บน้ำในถ้วยชาไป จากนั้นก็ใส่ลงในถ้วย วางลงบนโต๊ะใบนี้ เพียงแต่ถูกข้าสลายคลื่นเสียงในบทสนทนาของพวกเจ้าทั้งสองทิ้งไปก็เท่านั้น’

‘ท่านอาหญิงก็คงไม่รู้อีกว่า ปลดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก บอกให้สาวใช้กลับจวน หรือแม้แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ตอนยืนอยู่หน้าประตูที่พอเห็นข้าก็ปล่อยมือทันที กลอุบายทั้งหมด รวมไปถึงความนัยในถ้อยคำที่เอ่ยในห้องแห่งนี้ ข้าล้วนรู้กระจ่างชัด รู้ชัดเจนหมดทุกอย่าง’

แต่คำพูดเหล่านี้ เฉินผิงอันกลับกลืนลงท้องไปหมดทุกคำ สุดท้ายเขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ท่านอาหญิง ทะเลสาบซูเจี่ยนในวันหน้าอาจไม่เหมือนกับวันนี้ ถึงเวลานั้นท่านอาหญิงกับกู้ช่านก็ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ต่อให้วันนั้นไม่อาจรักษากิจการเอาไว้ได้ หรือวันใดมีนักฆ่าที่กลับมาแก้แค้นปรากฏตัว ต้องให้กู้ช่านคอยสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงอย่างแท้จริง ข้ายังหวังว่าท่านอาหญิงจะพยายามอยู่แค่ในจวนชุนถิงไม่ออกไปไหน”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับเบาๆ

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset