ตอนที่ 447.4 ลมหิมะสอดผสาน

เฉินผิงอันปัดมือ “หลังจากนี้ข้าจะเดินด้วยท่าหมัดขั้นพื้นฐาน ง่ายมาก ก็แค่ทุกหกก้าวจะออกหมัดหนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเรียนรู้ตามข้าได้ เจ้าจะเรียนวิชาหมัดก็ได้ แต่ต้องรับปากข้าว่าจะไม่ทำให้ตุ๊กตาหิมะตัวน้อยบนหีบไม้ไผ่ร่วงลงมา ข้าจะสอนเจ้าสามรอบ จากนั้นตลอดทางที่เดินไปนี้ เจ้าว่างหรือไม่ว่างก็ลองเดินด้วยท่าหมัดนี้ ข้าไม่บังคับเจ้า และเจ้าก็ไม่ต้องฝืนใจ คิดซะว่าเป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้แก้เบื่อก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็แสดงท่าเดินนิ่งให้เจิงเย่ดูสามรอบ เจิงเย่รวบรวมสมาธิจ้องมองฝีเท้า รวมไปถึงการออกหมัดในช่วงท้ายสุดของเฉินผิงอันเขม็ง

เฉินผิงอันล้วนเห็นอยู่ในสายตา และบอกให้เจิงเย่ลองเดินดูเอง

มั่นคงทั้งสี่ด้านแปดทิศ เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในตรอกหนีผิงของปีนั้นแล้ว ดูเหมือนจะเดินได้ดีกว่ามาก

แต่เฉินผิงอันกลับถอนหายใจอยู่ในใจ มองหมัดไม่รู้ถึงความหมาย สามปีก็ไม่เข้าขั้น

ไหวพริบในการเรียนหมัดของเจิงเย่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเด็กชายร่างกายผอมแห้งในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนยืนอยู่ตรงหน้าตนได้ติด

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันบอกไว้ เขาก็แค่หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เจิงเย่ทำเท่านั้น เขาจะได้ไม่ต้องคอยเอาแต่จับตามองตนไปตลอดทาง ถึงอย่างไรยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยิบออกมาได้บ่อยๆ อีกอย่างเฉินผิงอันก็กลัวสตรีวัตถุหยินที่นับวันก็ยิ่งสดใสร่าเริง พูดจาไร้ยำเกรงพวกนั้นจริงๆ หากพวกนางแค่หยอกเย้าเจิงเย่เล่นก็ช่างเถิด แต่นี่แต่ละคนแอบพนันกันว่าจะเล่นหูเล่นตายั่วยวนเฉินผิงอันด้วยวิธีใด พวกนางทำอย่างนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องน่าอายให้ตนจะเรียกว่าอะไร? ข้าเฉินผิงอันเคยเห็นความชั่วร้ายในยุทธภพและเห็นคลื่นลมมรสุมมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?

ถึงอย่างไรเจิงเย่ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกเกาะเหมาเยว่ทุ่มเงินเลี้ยงดูปลูกฝัง เรือนกายจึงแข็งแกร่งกำยำ ดังนั้นแม้จะเรียนวิชาเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอก ขอแค่เฉินผิงอันไม่พูดเปิดโปง เจิงเย่ก็รู้สึกว่าตัวเองพอใจอย่างมาก ถึงอย่างไรตุ๊กตาหิมะตัวน้อยที่วางไว้บนหีบไม้ไผ่ด้านหลังก็ไม่เอียงตกลงมา

หลังจากเฉินผิงอันเดินท่าหมัดครบสามครั้งแล้วก็ไม่เดินนิ่งต่ออีก แต่คอยหยิบเอาแผนที่ออกมากางดู

คืนนั้นคนทั้งสองเตรียมจะค้างแรมกันในผืนป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง ขอแค่ไม่มีหิมะตกลงมา อันที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

เฉินผิงอันหยิบยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกออกมาหนึ่งแผ่น สตรีวัตถุหยินที่พักอยู่ด้านในมีนามว่าซูซินไจ

ตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต เป็นคนของแคว้นสือหาว บิดาเป็นคนประเภทรักลูกชายชังลูกสาว ตอนเยาว์วัยถูกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตของตระกูลเซียนแคว้นสือหาวท่านหนึ่งหมายตาในฐานกระดูกจึงพาไปที่ภูเขาหวงหลี และเริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการ ฝึกตนอยู่บนภูเขาหลายสิบปี ไม่เคยลงจากภูเขากลับคืนสู่บ้านเกิด ซูซินไจจึงไม่เหลือความรู้สึกผูกพันกับคนในตระกูลมานานแล้ว บิดาเคยไปเยือนตีนเขาภูเขาหวงหลีด้วยตัวเอง ขอร้องว่าอยากพบหน้าบุตรสาวสักครั้ง แต่ซูซินไจก็ยังคงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก บุรุษที่หวังให้บุตรสาวช่วยเหลือบุตรชายด้านการสอบเคอจวี่จึงได้แต่กลับไปมือเปล่า สบถด่าด้วยคำพูดหยาบคายไปตลอดทาง ยากที่จะจินตนาการได้ว่านั่นเป็นคำพูดของบิดาแท้ๆ ซูซินไจที่แอบติดตามเขามาด้านหลังอย่างลับๆ ล้วนได้ยินทั้งหมด นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง ซูซินไจที่เดิมทีคิดจะช่วยเหลือทางบ้านสักครั้งแล้วจากนั้นค่อยตัดขาดเรื่องทางโลกอย่างจริงจังจึงย้อนกลับสำนักไปทั้งอย่างนั้น

ครั้งสุดท้ายที่ซูซินไจลงเขามาหาประสบการณ์ นางกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงอีกสองคนถูกบรรพจารย์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของเกาะซู่หลินทะเลสาบซูเจี่ยนลักพาตัวไป สุดท้ายตายอนาถอยู่ในปากของเจียวหลงตัวนั้น ส่วนสตรีร่วมสำนักอีกสองคนนั้นได้ตายไปด้วยน้ำมือของบรรพจารย์เกาะซู่หลินคนเก่านานแล้ว

ซูซินไจปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของสตรีที่ถูกวาดอยู่บนแผ่นยันต์หนังจิ้งจอก นางคลี่ยิ้มงดงาม สายตาเป็นประกายบ่งบอกความรู้สึก

นางคือหนึ่งในสตรีวัตถุหยินสิบสองตนที่มีนิสัยเปิดกว้างร่าเริงมากที่สุด แผนร้ายที่ใช้เย้าหยอกเจิงเย่หลายอย่างก็ล้วนเป็นความคิดของนาง

หากไม่เป็นเพราะอีกไม่นานก็จะเข้าขอบเขตของภูเขาหวงหลีแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่กล้าเชิญนางออกมาจริงๆ

เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาหวงหลี เฉินผิงอันพอจะรู้มาคร่าวๆ แล้ว และก็เล่าให้ซูซินไจฟังมาตั้งแต่แรก

อาจารย์ผู้มีพระคุณที่นางคิดถึงอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ทว่าทุกวันนี้ภูเขาหวงหลีก็ยังถือว่ามั่นคง ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลเซียนลำดับสองของแคว้นสือหาว ไม่สูงไม่ต่ำ ในสถานการณ์วุ่นวายกลับสามารถหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ง่ายยิ่งกว่า พวกสำนักระดับสามหรือสำนักปลายแถวล้วนถูกตระกูลเซียนในบริเวณใกล้เคียงฮุบกลืนไปนานแล้ว กองกำลังชั้นยอดระดับหนึ่งก็เหมือนไม้ใหญ่เรียกลม ยุ่งวุ่นวายจนหัวหูไหม้ ควรจะสื่อสารกับราชสำนักแคว้นสือหาวหรือคบค้าสมาคมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างไร หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยก็อาจเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว

บนภูเขาหวงหลีมีผู้ฝึกตนสามสิบกว่าคน ล้วนถือเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างถูกต้องเหมาะสม บวกกับพวกสาวใช้และนักการที่มาพึ่งพิง ตอนนี้ก็มีคนอยู่ประมาณสองร้อยกว่าคน

ความปรารถนาสุดท้ายของซูซินไจคือหวังว่าจะสามารถกลับมาที่ภูเขาหวงหลี มาจุดธูปสามดอกกราบไหว้หน้าหลุมศพอาจารย์และบรรพจารย์ แล้วก็ไม่มีความต้องการอื่นใดอีก แม้แต่ความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ในตำหนักพญายมราชคุกล่าง หรือในหอเรือนที่เลียนแบบหอแก้วก็ยังไม่มี

หลังจากซูซินไจปรากฏตัว นางก็ไม่ได้เอ่ยสัพยอกเจิงเย่หรือนักบัญชีท่านนั้นอย่างที่หาได้ยาก

เจิงเย่รู้สึกประหลาดใจ แต่เฉินผิงอันกลับไม่

ยิ่งใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัว

เจิงเย่ได้พบซูซินไจแล้วก็รู้สึกดีใจ

จิตใจของเด็กหนุ่มใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง

เฉินผิงอันรู้ดีว่าซูซินไจก็รู้เหมือนกัน แต่นางแค่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น เด็กสาวจะหวั่นไหวหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในเรื่องรักแรกพบมากกว่าสตรีที่อายุมากกว่า

บุรุษเห็นสาวงามแล้วประทับใจ สตรีเห็นบุรุษหล่อเหลาแล้วหวั่นไหว ล้วนเป็นหลักการที่สะเทือนอย่างไรก็ไม่ปริแตก ไม่มีค่าให้ต้องตกตะลึง

น่าสงสารก็แต่เจิงเย่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ที่หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนต้องเผชิญแล้วอาจจะดีกว่า แต่กลับไม่ดีกว่าสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันเห็นว่าซูซินไจขมวดคิ้วมุ่นก็เปลี่ยนใจ บอกกับเจิงเย่ว่านอกจากฝึกตนแล้วให้นอนหลับสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็จะเดินทางกันต่อในตอนกลางคืน

นานๆ ทีเจิงเย่จะได้ทำอะไรเพื่อซูซินไจบ้าง แน่นอนว่าเขาย่อมตบอกสะเทือนฟ้าให้การรับรอง เฉินผิงอันถึงกับยกมือกุมขมับ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งหัดบินผ่านกอบุปผานี่นะ

แต่เฉินผิงอันก็ยังมอบโอกาสให้เจิงเย่ เขาเดินห่างออกไป ปล่อยให้ซูซินไจช่วย ‘ปกป้องมรรคา’ ให้กับเจิงเย่ที่กำลังฝึกตนอยู่ข้างกองไฟ

เฉินผิงอันแอบทิ้งกระบี่บินสองเล่มไว้ที่นั่น จากนั้นก็เดินไปบนทางสายเล็กของสันเขาที่หิมะทับถมไม่หนาแน่นมากนัก บางครั้งยังร่วงกราวลงมาเป็นสายเพียงลำพัง

หันหน้าไปมองก็พบว่าซูซินไจยกชายกระโปรงวิ่งเร็วๆ เข้ามาหา ทั้งยังจงใจเหยียบหิมะให้เกิดเสียงดังตามมาด้านหลังเป็นระลอก นี่ไม่ใช่เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต แต่เป็นเพราะอยู่ในร่างของสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกซึ่งถือเป็นต้นไม้เขย่าเงินของสกุลสวี่นครลมเย็น การทำเรื่องเหล่านี้จึงไม่ได้ยากเย็นอะไร

ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

ผู้ฝึกตนเดินทีละก้าวขึ้นที่สูง เมื่อทอดสายตามองไป ถึงอย่างไรก็ย่อมได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามมากกว่าตรงตีนเขา

ซูซินไจวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินเล่นเคียงไหล่ไปกับเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเฉินเป็นพ่อสื่อไม่เก่งจริงๆ มองไม่ออกหรือว่าข้าไม่หวั่นไหวกับเจ้าเด็กโง่เจิงเย่นั่นเลยแม้แต่น้อย?”

เฉินผิงอันยิ้มฝืดฝืน “ไม่หวั่นไหวก็ไม่หวั่นไหว ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าต้องทำอะไรสักหน่อย แต่เจ้าก็ไม่ควรจงใจทำร้ายจิตใจเขา วันหน้าแม่นางซูก็แยกตัวไปสบายแล้ว แต่ข้ายังต้องอยู่กับเจ้าเด็กโง่นั่นอีกหลายปีนะ”

ซูซินไจแสร้งทำเป็นตกตะลึง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เทพเซียนอย่างท่านเฉินยังจะสนใจความรู้สึกของเด็กโง่คนหนึ่งด้วยหรือ? ไม่เชื่อฟังก็ซ้อมเขาซะสิ ตีจนกว่าเขาจะว่าง่าย ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนเราล้วนทำเช่นนี้ ใครก็ไม่จำเรื่องที่ดี จำได้แต่ตอนโดนตี”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ “ข้าล่ะเบื่อคุยกับเจ้าจริงๆ”

จู่ๆ ซูซินไจก็จะเอามือมาคล้องแขนเฉินผิงอัน ผลคือเฉินผิงอันกระโดดหลบอย่างว่องไว ถลึงตาใส่นาง “จำได้แต่ตอนโดนตีใช่ไหม?”

ซูซินไจปิดปากหัวเราะคิกคัก ก้มตัวลงหยิบหิมะมาปั้นเป็นก้อน ถามชวนคุยว่า “เตาใบเล็กที่ท่านเฉินพกติดตัวใบนั้นล่ะ ข้าสามารถช่วยก่อไฟให้ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าเปลืองถ่านเลย ตอนอยู่บนเกาะชิงเสียไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องนี้ ใช้หมดแล้วเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเติมให้เอง แต่อยู่ที่นี่ หากใช้หมดก็ต้องควักเงินไปหาซื้อจากตลาดมาเอง มืออุ่น แต่ใจเจ็บปวด”

แม้ว่าตลอดทางมานี้ซูซินไจจะได้ปรากฏตัวอยู่หลายครั้ง และรู้ถึงความขี้งกของนักบัญชีท่านนี้ดี แต่พอได้ฟังประโยคนี้ก็ยังรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี

เดิมทีนางถามคำถามนั้นก็เพราะหวังจะได้ยินคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว

ซูซินไจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวพลางหัวเราะคิกคัก “พอไปถึงภูเขาหวงหลี ท่านเฉินจะต้องซื้อขนมหมาฮวา (แป้งทอดกรอบที่บิดเป็นเกลียว) ที่กรอบอร่อยของถนนกุ้ยฮวาในเมืองเล็กตีนเขามาให้ได้ การเดินทางครั้งนี้ถึงจะไม่ถือว่าเสียเที่ยว ทางที่ดีที่สุดซื้อกลับไปถุงใหญ่ๆ เลย”

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าออกเงินให้ข้าหรือไง?”

ซูซินไจกลอกตามองบน “โอ้โห ท่านเฉินใหญ่ ท่านเทพเซียนเฉินของข้า ท่านอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้ ยังจะสนใจเงินแค่ไม่กี่ตำลึงอีกหรือไง?”

เฉินผิงอันยิ้ม “แค่มองก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ไม่รู้จักใช้ชีวิต ยังจะกล้าดูแคลนเจิงเย่ที่ซื่อสัตย์จริงใจอีกรึ?”

ซูซินไจขุ่นเคืองสุดขีด พลันขว้างลูกหิมะออกมา แต่เฉินผิงอันที่เรือนกายเริ่มผ่ายผอมกลับหลบเลี่ยงไปได้อย่างสบายๆ ซูซินไจยังจะก้มไปหยิบหิมะมาปั้นอีก เฉินผิงอันจึงรีบกล่าวว่า “หยุดเลยๆ ข้าไม่ต้องการให้เจิงเย่เข้าใจพวกเราสองคนผิด”

ซูซินไจหยุดมือจริงๆ นางเอ่ยสัพยอกว่า “ท่านเฉินยึดมั่นในรัก หรือว่ามีใจอยากเป็นโจร แต่ไม่กล้าทำตัวเป็นโจรกันแน่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนนอกฟัง”

ซูซินไจมองดวงตาคู่นั้นของบุรุษหนุ่มแล้วทำหน้าทะเล้นใส่ “โอ้ๆๆ ที่แท้ท่านเฉินที่ทึ่มเหมือนท่อนไม้ก็มีแม่นางที่ชื่นชอบอยู่แล้วจริงๆ ด้วย เฮ้อ เดิมพันแพ้อีกแล้ว”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

สุดท้ายเฉินผิงอันบอกให้ซูซินไจกลับไปหาเจิงเย่ บอกว่าเขาจะไปเดินเล่นอีกสักหน่อย

ซูซินไจจึงยิ้มสัพยอกว่าอายุน้อยๆ ก็ทำตัวเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ซะแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าทำร้ายหญิงสาวไปกี่มากน้อยถึงมีจิตใจที่ละเอียดรอบคอบได้เช่นนี้

เฉินผิงอันคิดแค่ว่านี่เป็นคำชม จึงไม่ถือสานางอีก

ซูซินไจกลับไปหาเจิงเย่ นั่งลงข้างกองไฟ

เฉินผิงอันหายไปนานก็ยังไม่ยอมกลับมา

เจิงเย่ฝึกตนเสร็จแล้วก็มองซูซินไจที่นั่งอยู่ข้างกาย แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างโง่งม

พอเฉินผิงอันกลับมาแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ

เนื่องจากขยับเข้าใกล้อาณาเขตของตระกูลเซียน เฉินผิงอันจึงไม่เอาสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกที่เหลืออีกเก้าแผ่นออกมา ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ ศาลบุ๋นบู๊หรือศาลเทพอภิบาลเมืองก็ล้วนทำเช่นนี้

อันที่จริงมีแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนแค่แผ่นเดียวก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้พวกนี้แล้ว นอกจากนี้เนื่องจากแคว้นสือหาวอยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เรื่องประหลาดและคนแปลกๆ น่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆ จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขาแล้ว ทว่าเฉินผิงอันยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ ซูซินไจกับวัตถุหยินที่เหลืออีกเก้าตนจึงได้แต่บ่นไม่กี่คำเท่านั้น และอันที่จริงก็เรียกว่าบ่นไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่างอแงกับผู้อาวุโสในตระกูลมากกว่า

ยามสนธยาของวันหนึ่ง หนึ่งผีสองคนก็มาถึงเมืองเล็กตรงตีนเขาภูเขาหวงหลี ก่อนจะขึ้นเขา แม้เฉินผิงอันจะไม่เต็มใจเสียเงิน แต่ก็ยังซื้อขนมหมาฮวาที่ถนนกุ้ยฮวามาถุงหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นขนมหมาฮวามีไส้ที่แพงที่สุด แล้วแบ่งให้ซูซินไจกับเจิงเย่ ขนมนี้หอมกรอบอร่อยจริงๆ กินไปได้ไม่กี่คำ เฉินผิงอันก็ถึงกับย้อนกลับไปซื้อมาอีกสองถุงใหญ่ ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแอบเก็บพวกมันไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เห็นใบหน้าแต้มยิ้มของซูซินไจ เฉินผิงอันก็ได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ผู้ฝึกตนสองคนที่เฝ้าประตูภูเขาของภูเขาหวงหลีคือลูกศิษย์ห้าขอบเขตล่างที่พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ดีนัก หนึ่งคนแก่ หนึ่งคนหนุ่ม

เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอาแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นออกมา แล้วบอกจุดประสงค์การมาเยือนคร่าวๆ คนทั้งสองก็ตกใจจนหน้าเผือดสี ถึงขั้นไม่คิดจะไปแจ้งข่าวก่อนก็นำทางพาพวกเฉินผิงอันสามคนขึ้นเขาไปโดยตรง

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset