ตอนที่ 448.2 บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที แล้วชี้คนหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางกองทหารเบื้องหน้าให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดู “พวกเจ้าอาจจะไม่ทันได้สังเกต หรือไม่มีโอกาสที่จะได้เห็น ในรายงานเกาะปุยหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้า ข้าเคยเห็นหน้าของคนผู้นี้มาก่อนสองครั้ง ดังนั้นจึงรู้ว่าเขาชื่อหันจิ้งซิ่น คือน้องชายต่างมารดาขององค์ชายหันจิ้งหลิง มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของแคว้นสือหาวอย่างมาก ยิ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ที่ฮองเฮาแคว้นสือหาวรักและตามใจมากที่สุด”

เฉินผิงอันถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน “และข้าเองก็เคยคบค้าสมาคมกับองค์ชายที่มีสถานะเท่าเทียมกับกับหันจิ้งหลิง หันจิ้งซิ่น ซึ่งพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน แต่อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งของใบถงทวีปที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าเฉวียน แต่เมื่อเทียบกับสองพี่น้องคู่นี้แล้ว คู่พี่น้องที่ใบถงทวีปเหมือนจะฉลาดกว่ามาก ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ตาม จะดีหรือเลว อย่างน้อยก็ยังรู้จักใช้แผนการเล่นงานคนอื่น แต่ลูกชายคนสุดท้องของฮ่องเต้แคว้นสือหาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ดูเหมือนจะชอบใช้วิธีปะทะกันซึ่งๆ หน้ามากกว่า”

สีหน้าของหม่าตู่อี๋เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีใครรู้สถานะที่แท้จริงของเจ้า และไม่มีทางเดือดร้อนไปถึงครอบครัวเจ้า”

หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างเดือดดาล “เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้ามาบอกข้าด้วยหรือ? ข้ากังวลว่าเจ้าจะอวดเก่ง แล้วต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เปล่าๆ ต่างหาก ถึงเวลานั้น…จะยังเดือดร้อนให้ข้าถูกองค์ชายบ้าตัณหาผู้นี้ลักพาตัวไปด้วย!”

เฉินผิงอันย่อมรู้อยู่แล้วว่าหม่าตู่อี๋เป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจากใจจริง ส่วนประโยคครึ่งหลังของนางนั้น บางทีอาจเป็นเพราะสตรีหน้าบางก็เลยจงใจเปลี่ยนความหวังดีมาเป็นถ้อยคำแย่ๆ แทน

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้นาง “ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เคยบอกให้พวกเจ้าหันหลังหนีไป ใช่ไหม?”

ตอนนี้ในหัวสมองของเจิงเย่เต็มไปด้วยแม่นางซู คิดว่าหากเหตุการณ์สมมติที่ท่านเฉินพูดถึงปรากฏขึ้นจริง ตนควรจะรับมืออย่างไร หัวสมองของเขาเหลวเป็นแป้งเปียกไปแล้ว จึงไม่เข้าใจความนัยในคำพูดนี้ของท่านเฉิน

ทว่าหม่าตู่อี๋กลับเป็นสตรีฉลาดเฉลียวที่มีจิตใจรอบคอบละเอียดอ่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ทั้งที่อายุยังน้อย หากไม่เป็นเพราะเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นที่เผชิญหน้ากับเจียวหลงตัวนั้น ไม่รู้ว่านางเสียสติหรืออย่างไร ถึงได้ยืนกรานไม่ถอยหนี ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้นางก็มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ตำแหน่งสูงถึงการได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของทะเลสาบซูเจี่ยนไปแล้ว ถึงเวลานั้นแค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรพจารย์ในสำนักและผู้ฝึกตนของเกาะใหญ่แห่งต่างๆ เมื่อได้ครอบครองเกาะแห่งหนึ่ง อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือว่าได้ ‘ก่อสำนักตั้งพรรค’ แล้ว

แม้ว่าหม่าตู่อี๋จะฟังความหมายของเฉินผิงอันออก แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านเฉินจะงัดข้อกับองค์ชายผู้นี้ให้ถึงที่สุดจริงหรือ?”

จากนั้นนางก็รีบร้อนอธิบายว่า “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ช่วยพูดแทนทหารม้ากองนั้น เพียงแต่ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเราไม่ค่อยสนับสนุนในหลักใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา หากไม่ลงมือก็คือลงมือแล้วต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก ถ้าเกิดความขัดแย้งกับหันจิ้งซิ่นผู้นี้ขึ้นมา แล้วหลังจากนี้พวกเรายังต้องไปเยือนใจกลางแคว้นสือหาว รวมไปถึงมณฑลอีกหลายแห่งของทางทิศเหนือ จะมีปัญหาหรือไม่? จะถ่วงรั้งงานใหญ่ของท่านเฉินหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองหาวิธีก็แล้วกัน การฆ่าคนไม่เคยใช่เป้าหมายของข้า แต่หันจิ้งซิ่นผู้นี้ หลังจากที่เขาออกจากเมืองหลวงก็คล้ายจะฆ่าคนเพื่อความบันเทิงมาโดยตลอด แถมยังเสพติดการฆ่าคนไปแล้ว ในกลุ่มผู้ติดตามของเขายังมีคนแขวนศีรษะของคนที่ฆ่ามาได้ไว้ข้างอานม้า ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะใช่กองลาดตระเวนของต้าหลี นี่หมายความว่าเขาไม่ได้จะเอาไปเป็นหลักฐานเพื่อขอคุณความชอบทางการทหาร แต่เป็นการฆ่าคนเพื่อระบายความแค้น”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นวาดเส้นเส้นหนึ่งกลางอากาศอย่างเรียบง่าย

คราวนี้ไม่เพียงแต่เจิงเย่เท่านั้นที่ไม่เข้าใจ แม้แต่หม่าตู่อี๋ที่บนไหล่ทั้งสองข้างมีหิมะเกาะเต็มก็ยังมึนงงไปด้วย

เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง ก่อนหันไปพูดกับหม่าตู่อี๋ว่า “ลืมไปว่าสามารถเก็บเจ้าไว้ในชายแขนเสื้อได้”

หม่าตู่อี๋ปิดปากหัวเราะคิกคัก

ทางฝั่งของหันจิ้งซิ่น พอเห็นท่วงท่ามีเสน่ห์ของผีสาวที่งดงามตนนั้น ในใจก็พลันเดือดพล่าน รู้สึกว่าการที่ต้องมายืนตากหิมะใหญ่เท่าขนห่านคืนนี้ไม่ได้เสียเปล่า

เขายิ้มถาม “สังหารผู้ฝึกตนที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาแค่ไม่กี่คน จะสร้างปัญหาให้ท่านเจิงหรือไม่?”

มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “สังหารผู้ฝึกตนไม่เป็นปัญหา หิมะใหญ่ครั้งนี้สามารถช่วยอำพรางได้มาก แค่ทำลายศพและหลักฐานอย่างระมัดระวังหน่อยก็ได้แล้ว ปัญหาอยู่ที่กองทหารที่ห่างไปไกลหลายสิบลี้นั่น ตอนนั้นองค์ชายไม่ได้จงใจอำพรางศพ ย่อมง่ายที่จะทำให้คนมีใจสืบสาวเบาะแสมาจนเกิดความสงสัยในตัวองค์ชายได้ เมื่อสองอย่างนี้มารวมกัน และถ้าคนบนหลังม้าสามตัวนี้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักใหญ่ที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์หรือเป็นผู้ฝึกตนอิสระของเกาะใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจริงๆ คนที่เดือดร้อนจะมีแค่องค์ชายเท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้องค์ชายมีสามทางเลือก”

“ข้อแรก ในเมื่อพวกเราตั้งขบวนรบใหญ่แล้วก็ลองเลียนแบบอีกฝ่าย ยอมถอยหนึ่งก้าว ให้คนไปบอกสถานะขององค์ชายให้ผู้ฝึกตนหนุ่มที่มองดูเหมือนเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมาและยังไม่หายดีรู้อย่างชัดเจน บอกว่าต้องการทำการค้ากับเขาด้วยการจ่ายเงินซื้อผีสาวงามตนนั้น ใช้อำนาจข่มขู่ ใช้เงินซื้อของ เป็นวิธีการที่มั่นคงที่สุด ข้อสอง ทั้งสองฝ่ายเดินสวนไหล่กันไป ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างมากสุดองค์ชายก็แค่ขาดโชคด้านสาวงามไปครั้งหนึ่ง ข้อที่สาม องค์ชายออกคำสั่ง พวกเรากระโจนเข้าสังหารอีกฝ่ายโดยตรง แค่จำไว้ว่าหลังจบเรื่องต้องกลับไปจัดการกับซากศพของกองทหารกองนั้นให้สิ้นซาก หลีกเลี่ยงไม่ให้เหลือเบาะแสให้คนคาดเดาได้ ผู้ฝึกตนบนภูเขา ขอแค่เกิดใจสงสัยขึ้นมาเมื่อไหร่ โดยทั่วไปแล้วก็คร้านจะใช้เหตุผลกันแล้ว”

หันจิ้งซิ่นพยักหน้ารับ เรื่องพวกนี้เขาเองก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง เพียงแต่ว่าในบรรดาผู้ติดตามข้างกายไม่ควรมีแต่พวกที่สู้เก่งฆ่าเก่ง ยังต้องมีกุนซือที่ช่วยให้เจ้านายขยับปากน้อยลงด้วย ท่านเจิงผู้นี้คือคนรู้ใจของเสด็จแม่ และครั้งนี้ที่เขาออกจากวังหลวง เสด็จแม่ก็ให้พาอีกฝ่ายมาด้วย ซึ่งตลอดทางก็ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้เขาได้มากจริงๆ หันจิ้งซิ่นพูดปลงอนิจจังจากใจจริง “ท่านเจิงไม่เป็นลูกศิษย์สำนักจ้งเหิงก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก วันหน้าหากข้ามีโอกาสได้เป็นฮ่องเต้จะต้องแต่งตั้งให้ท่านอาจารย์เป็นราชครูแน่นอน เจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นผายลมสุนัขที่เสด็จแม่ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างมานั่นก็เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่ต้มตุ๋นคนเก่งเท่านั้น แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้ความในเรื่องการจัดการธุระบ้านเมือง แต่กลับไม่ได้ตาบอด เขาก็แค่คร้านจะเปิดโปงเท่านั้น ถือซะว่าเลี้ยงนักแสดงงิ้วไว้คนหนึ่ง ก็แค่ค่าจ้างเปลี่ยนจากเงินขาวไปเป็นเงินเทพเซียนบนภูเขาเท่านั้น เสด็จพ่อแอบมาพูดกับข้าลับหลังว่า ปีหนึ่งจ่ายแค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญ ยังชื่นชมเสด็จแม่ข้าว่าเชี่ยวชาญการดูแลบ้านเรือนจริงๆ ลองดูราชครูของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายพวกนั้นสิ หากปีหนึ่งคลังของแคว้นไม่ควักเงินฝนธัญพืชหลายๆ เหรียญมาจ่ายให้ ป่านนี้ก็คงก่อกบฏกันไปนานแล้ว”

ชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งใจร้อนจนอดทนไม่ไหวแล้ว เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แค่คนเลี้ยงผี ฆ่าเสียก็สิ้นเรื่อง ส่วนผีสาวหนังจิ้งจอกที่ค่อนข้างจะมีมูลค่าตนนั้นก็เก็บไว้ให้องค์ชายอบรมสั่งสอนนางดีๆ เรื่องนี้ง่ายจะตายไป ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเราก็ปอกลอกเอาเสื้อเกราะสิบกว่าตัวบนร่างของทหารลาดตระเวนคนเถื่อนต้าหลีมาได้ องค์ชายมีคุณธรรม ตัดใจเก็บเสื้อเกราะสองตัวที่มีมูลค่ามากที่สุดเอาไว้ ไม่ได้ขายให้กับแม่ทัพใหญ่ขี้ขลาดอย่างจานจิ้นผู้นั้นทั้งหมด แต่มอบให้ข้าหนึ่งตัว มอบให้นักกวีผู้ถือหอกหนึ่งตัว ถึงอย่างไรข้าก็เก็บเอาไว้ตลอดเวลา อีกเดี๋ยวฆ่าบุรุษสองคนนั้นก็จะได้ให้องค์ชายเอาหัวของพวกเขาไปรับความดีความชอบที่เมืองหลวงพอดี ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็นแล้วต้องปิติยินดีอย่างแน่นอน นั่นเป็นเสื้อเกราะพิเศษของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนเถื่อนต้าหลีเชียวนะ ไม่ว่าจะเอาไปโยนไว้ใต้เท้าของพวกตาแก่ขุนนางบุ๋นคนไหนในราชสำนัก เกรงว่าก็คงไม่มีใครยกได้ไหว ข้าได้ยินมาว่าพวกตาแก่ที่เหลือเนื้อหุ้มกระดูกไม่กี่จินพวกนั้น เวลาอยู่บนเตียง แต่ละคนช่างโอ้อวดวิชายุทธกันเก่งนัก”

บุรุษหนุ่มส่ายหน้า “คำพูดเหล่านี้อย่าเอาไปพูดในเมืองหลวงเด็ดขาดเชียว”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย หันจิ้งซิ่นก็เอ่ยเยาะเย้ยตนเองว่า “แต่คาดว่าทุกวันนี้คงไม่ต้องกังวลถึงปัญหานั้นแล้ว ต่อให้กระชากหูพวกเขามาฟังคำด่า พวกเขาก็คงไม่มีอารมณ์จะร้องเรียนข้าแล้วกระมัง แต่ละคนคงง่วนอยู่กับการหาทางหนีทีไล่ แคว้นสือหาวจะแซ่หันหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว ขอแค่ได้เป็นขุนนางต่อไปก็ยังสามารถนำพาความสุขมาสู่ปวงประชาได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

เขาชำเลืองตามองไปทางทิศใต้ “ยังคงเป็นพี่ชายเสียนอ๋องของข้าที่โชคดี เดิมทีก็คิดจะหลบซ่อนเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไหนเลยจะคิดได้ว่า หลบไปหลบมาก็ใกล้จะได้เป็นฮ่องเต้คนใหม่แล้ว ต่อให้ได้นั่งบัลลังก์มังกรตัวใหม่แค่ไม่กี่วัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน จะไม่ให้ข้าอิจฉาได้อย่างไร”

ชายฉกรรจ์ร่างผอมบางยืนอยู่บนหลังม้า “องค์ชาย ท่านคุยกับพวกท่านเจิงไปก่อน แต่ช่วยบอกข้าทีเถิดว่าจะฆ่าบุรุษสองคนนั้นหรือไม่ ท่านวางใจได้ ผีสาวตนนั้น ข้ารับรองว่าจะไม่ทำให้นางเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม!”

หันจิ้งซิ่นยิ้มกล่าว “ไปเถอะๆ และยังมีเสื้อเกราะพิเศษของเลขาธิการฝ่ายบู๊ต้าหลีชิ้นนั้นที่จะไม่ให้เจ้าเอาออกมาใช้อย่างเสียเปล่า เดี๋ยวกลับไปจะคิดรวมคุณความชอบสองอย่างนี้ด้วยกัน”

ชายฉกรรจ์ผอมบางเช็ดปาก หัวเราะหึหึ “ติดตามองค์ชายช่างดีจริงๆ มีเนื้อให้กิน”

ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวที่สุด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันปวดหัวได้มากที่สุด ในยุทธภพของแคว้นสือหาวนี้ ชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งยังหาคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาต่อสู้ได้อย่างสาแก่ใจไม่เจอจริงๆ เขาถึงได้เข้าร่วมกับกองทัพ แรกเริ่มนั้นเขาติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาท เพียงแต่รัชทายาทหนอนหนังสือผู้นั้นเป็นคนตาไม่มีแวว มอบตำแหน่งในกองทัพที่ไม่มีอำนาจแท้จริงให้แก่เขา ไม่เคยให้ผลประโยชน์อะไรที่จับต้องได้ เขาก็เลยหนีมาอยู่ในกองทัพของหันจิ้งซิ่น คิดจะจับปลาในน้ำขุ่น ช่วงชิงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มาให้ตัวเอง โดยเฉพาะคำกล่าวของศัตรูคนนับหมื่นในสนามรบอย่างท่านเจิงที่ถูกใจเขาอย่างยิ่ง

คำกล่าวที่บอกว่า ในยุทธภพ ต่อให้ฆ่าล้างโคตรไปแล้ว แต่นั่นเพิ่งจะถือว่าฆ่าไปได้แค่กี่คนเอง?

บนสนามรบ เมื่อคนหลายพันหลายหมื่นกรูเข้าห้ำหั่นกัน ก็ฆ่าให้เต็มคราบ ฆ่าจนเข้าใจผิดคิดว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังสังหารได้!

หลังจากปรมาจารย์วิถีวรยุทธร่างเล็กเตี้ยแต่แกร่งกล้าดีดปลายเท้าทะยานตัวออกไป

หันจิ้งซิ่นก็หันไปพูดกับบุรุษที่ถือหอกยาวว่า “ยังต้องขอให้แม่ทัพสวี่ช่วยคุมท้ายขบวนให้หูหานด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาล้มเหลวในช่วงสุดท้าย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา พวกเราระวังไว้ก่อนเป็นดี”

แม่ทัพบู๊ร่างกำยำที่ไม่ได้สวมเสื้อเกราะพยักหน้ารับเบาๆ กระทุ้งสีข้างม้าเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า

หลังออกจากเมืองหลวงมา แม่ทัพบู๊ร่างแข็งแกร่งกำยำที่มีชาติกำเนิดมาจากชายแดนผู้นี้ก็ไม่ได้พกเกราะเหล็กมาด้วย เอามาแค่หอกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้น

สำหรับการกระทำของหันจิ้งซิ่น เขาไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกิดความรังเกียจ แม้นิสัยของหันจิ้งซิ่นจะวิปริต ลุ่มหลงในกาม ชอบฆ่าคนพร่ำเพื่อ แต่สมองของเขาไม่แย่ หันกลับไปมององค์รัชทายาทที่มีกลิ่นอายตำราเต็มตัวผู้นั้นที่เป็นคนดี การที่เขาได้เป็นฮ่องเต้ในยุคสันติสุข สำหรับชาวบ้านแคว้นสือหาวแล้วถือเป็นเรื่องดี แต่หากเจอกับกลียุคเมื่อไหร่ ก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้ และทุกวันนี้ก็เป็นช่วงที่โลกวุ่นวายพอดี แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่เกิดความอลหม่านไปหลายแคว้น แต่ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปต่างก็กำลังวุ่นวาย ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาจึงต้องทำตัวเป็นนกที่เลือกไม้พักพิง ต่อให้ไม้ต้นนี้จะบิดเบี้ยวมานานแล้วก็ตาม

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset