ตอนที่ 449.3 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง

เวลานี้

เฉินผิงอันพลันกระทุ้งสีข้างม้าเพิ่มความเร็วทะยานไปเบื้องหน้า ออกจากถนนทางหลวงที่พื้นดินกลายเป็นโคลนเละเฉอะแฉะ อ้อมเส้นทางมุ่งเข้าไปในเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

ควบม้าขึ้นเนินที่เส้นทางเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำไม่ราบเรียบ

แล้วเฉินผิงอันก็ดึงบังเหียนหยุดม้าบนยอดเนิน

เจิงเย่อยากจะควบม้าตามไป แต่กลับถูกหม่าตู่อี๋รั้งเอาไว้

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเลื่อนลอย

ตรงเอวมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และดาบกระบี่สลับกัน ทั้งยังสามารถควบม้าอยู่ท่ามกลางลมหิมะในยุทธภพ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว

เขากลับตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง

หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หยุดม้าอยู่ตรงตีนเนินนานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าเฉินผิงอันจะหันหัวม้ากลับ

หม่าตู่อี๋ที่ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ให้เจิงเย่ตามอีกฝ่ายไปเริ่มรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย กลับกลายเป็นเจิงเย่ที่ใจเย็น ไม่ร้อนรนกระวนกระวาย

หม่าตู่อี๋ทนเห็นเจิงเย่ที่อยู่ในสภาพของ ‘คนโง่ก็มีโชคของคนโง่’ และ ‘อยู่ท่ามกลางโชคแต่ไม่รู้ว่ามีโชค’ ไม่ได้มากที่สุด จึงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉิวว่า “เจ้าคนใจจืดใจดำ กินอิ่มนอนหลับแล้วก็ไม่กลัดกลุ้มกังวลกับเรื่องใดอีก”

เจิงเย่เป็นแค่เด็กหนุ่มทึ่มทื่อที่ขี้ขลาดและพูดไม่เก่ง จึงไม่กล้าเถียงคืน และประเด็นสำคัญก็คือตัวเขาเองไม่รู้สึกว่าแม่นางหม่าพูดผิด

ในขณะที่หม่าตู่อี๋กำลังจะพูดต่อ

เฉินผิงอันกลับขี่ม้าลงเนินมา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของหม่าตู่อี๋และเจิงเย่แล้ว ดูเหมือนว่าสีหน้าของท่านเฉินจะแตกต่างไปจากเดิม

ไม่เหมือนคนที่มีเรื่องกลัดกลุ้มเต็มหัวใจอีก กลับคล้ายคนที่พยับเมฆจางหายไปสิ้น จึงอารมณ์ดีไม่น้อยด้วย?

หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หันมามองหน้ากันเอง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เดินทางกันต่อเถิด”

……

ม้าทั้งสามตัววิ่งไปบนเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดขึ้นเหนือ

ระหว่างทางมีหิมะทับถมลึกหนา หิมะละลายช้ามาก ภูเขาแม่น้ำแทบมองไม่เห็นสีเขียว แต่ในที่สุดก็พอจะมีแสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงมาบ้าง

ตลอดทางมานี้เจิงเย่ได้พบได้เห็นอะไรมามากมาย ได้เห็นทหารลาดตระเวนชายแดนต้าหลีในตำนานที่พกธนูพกดาบสวมเสื้อเกราะตัวเก่า บนใบหน้าของทหารม้าแต่ละคนไม่มีความลำพองใจ บนร่างไม่มีปราณสังหารดุร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว กลับเหมือนน้ำแข็งที่ค่อยๆ จมหายลงไปในแม่น้ำอย่างเงียบเชียบเสียมากกว่า ทหารลาดตระเวนต้าหลีเพียงแค่มองประเมินพวกเขาสามคนเงียบๆ แล้วก็ทะยานผ่านไป ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ใจหายใจคว่ำเหมือนดี (ถุงน้ำดีอวัยวะที่ในภาษาจีนเปรียบเปรยถึงความกล้า) ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ รอจนกระทั่งทหารลาดตระเวนห่างไปไกลหลายสิบลี้แล้ว เขาถึงได้หายใจเป็นปกติ

และยังได้เห็นขบวนรถยาวเหยียดของคนรวยที่จับกลุ่มกันเดินทางหนีลงใต้อย่างรีบร้อน นับตั้งแต่ผู้ติดตามไปจนถึงสารถี รวมไปถึงใบหน้าที่บางครั้งแอบเลิกผ้าม่านขึ้นมาแอบมองม้าสามตัวที่อยู่ข้างทาง ทุกคนล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่นเป็นกังวล

เจิงเย่เห็นท่านเฉินหยุดม้าไว้ที่ข้างทาง รอจนกระทั่งขบวนรถจากไปไกลแล้วถึงได้เดินทางกันต่ออีกครั้ง จากนั้นก็เห็นหีบใบเล็กใบหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น ไร้เจ้าของให้การดูแล เฉินผิงอันพลิกกายลงจากหลังม้า เมื่อเปิดหีบออกดูก็เห็นว่าข้างในบรรจุตำราโบราณ ลองหยิบมาเปิดดูเล่มหนึ่งก็เห็นว่าเป็นตำราฉบับพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัว ยุคสมัยต่างกัน ตัวอักษรที่ใช้ต่างกัน บัณฑิตคนละคนกัน เฉินผิงอันอุ้มหีบขึ้นมา หันหน้ากลับไปมอง ครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้เอาหีบตำราที่ถูกทอดทิ้งใบนี้กลับไปคืน แต่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อชั่วคราว แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง

หม่าตู่อี๋เอ่ยสัพยอกอย่างไม่มีอะไรทำ “โอ้โห นึกไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้าจะยึดครองของคนอื่นมาเป็นของของตัวเองแบบนี้ด้วย?”

เจิงเย่ใจกล้าพูดทวงความเป็นธรรมแทนเฉินผิงอันอย่างที่หาได้อยาก “ของที่คนอื่นไม่ต้องการ อีกทั้งยังเป็นตำรา หรือจะปล่อยให้ถูกเหยียบย่ำอยู่ในดินโคลนอย่างนี้?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “พวกเขากำลังอยู่ในช่วงหนีเอาชีวิตรอด ต่อให้เจ้าถ่วงเวลาในการเดินทางพวกเขาแค่ครู่เดียวก็ยังอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้”

เจิงเย่ชำเลืองตามองหม่าตู่อี๋

หม่าตู่อี๋เหลือกตามองสูง

หลังจากนั้นสตรีวัตถุหยินที่สิงร่างอยู่ในยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกแผ่นหนึ่งก็ปรากฏตัว ในเมืองขนาดเล็กที่ยังไม่โดนภัยจากสงคราม นางใช้ภาษาถิ่นที่สำเนียงค่อนข้างจะแปลกหูสอบถามไปตลอดทาง ในที่สุดก็เจอจวนประตูสูงแห่งหนึ่ง จากนั้นคนทั้งสี่ก็หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรม คืนนั้นเฉินผิงอันเก็บกระดาษยันต์ไปก่อน ส่วนตัวเองแอบแฝงตัวเข้าไปในจวนอย่างเงียบเชียบ ครั้งจึงหยิบยันต์ออกมา บอกให้นางปรากฏตัว ในที่สุดนางก็ได้พบกับบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาที่ปีนั้นออกจากบ้านเกิดเดินทางไปสอบที่เมืองหลวง ตอนนี้บัณฑิตคือชายชราอายุเกือบร้อยปีแล้ว เขากำลังโอบอุ้มทายาทวัยเยาว์ที่กำลังนอนกรนเบาๆ พลางผลัดกันชนจอกกับสหายในวงการขุนนาง ใบหน้าอาบเอิบไปด้วยรอยยิ้ม เหล่าสหายพากันร้องอวยพรแสดงความยินดีที่คนผู้นี้ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้รู้จักกับเสี้ยวเหว่ย (ชื่อตำแหน่งทหารที่สำคัญในสมัยโบราณ ตำแหน่งเหมือนหัวหน้ากองทหาร) คนหนึ่งของต้าหลี ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นคนสำคัญอันดับที่สามของเมืองแห่งนี้ เหล่าสหายต่างก็พูดหยอกล้อว่าหลังจากร่ำรวยมีเกียรติแล้วก็ยังไม่ลืมพวกพ้อง บัณฑิตวัยชราที่ยังไม่ได้สวมชุดขุนนางตัวใหม่หัวเราะร่าเสียงดัง

สตรีวัตถุหยินหนังจิ้งจอกสีหน้าหม่นมองคล้ายจำบัณฑิตที่ในอดีตเคยเติบโตมาด้วยกันไม่ได้แล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่หนุ่มแล้วกระมัง

หลังออกมาจากจวน วัตถุหยินสาวงามหนังจิ้งจอกเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงัดกับท่านเฉิน

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เด็กคนนั้นค่อนข้างเหมือนพ่อของเขา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

สตรีอืมรับหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา “เหมือนจริงๆ ด้วย!”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากเมืองเล็กที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ม้าสามตัวมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อ

พวกเขาจำเป็นต้องหยุดม้าในอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่งเพื่อซื้อของใช้จุกจิก ตอนที่เฉินผิงอันผ่านโรงรับจำนำแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่ เขาเดินผ่านไปแล้วก็เกิดลังเลขึ้นมา สุดท้ายก็หมุนตัวกลับ เดินเข้าไปในร้าน

ในร้านมีผู้เฒ่าอยู่สองคน เด็กหนุ่มสองคน พวกเขาต่างก็เป็นลูกจ้างร้าน แต่ละคนกำลังง่วนทำงานของตัวเอง

เฉินผิงอันควักทองก้อนประทับตราทางการของแคว้นสือหาวออกมาก้อนหนึ่ง นำมาแลกเป็นเงินเงินขาวและเหรียญทองแดงของทางการกองหนึ่ง

อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนในร้านต่างก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรก ปล่อยให้ลูกศิษย์หนุ่มของตัวเองทำงานกันไป อาจารย์เป็นผู้นำพาเข้าสำนัก การเรียนรู้อยู่ที่ตนเอง ในกลุ่มชาวบ้าน การเลี้ยงบุตรชายก็ย่อมหวังให้บุตรช่วยดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ แน่นอนว่าต้องยิ่งหวังให้ได้ลูกศิษย์ที่มีความสามารถ มือเท้าคล่องแคล่ว สามารถช่วยงานได้ เด็กหนุ่มสองคนที่อายุพอๆ กัน คนหนึ่งพูดไม่เก่งพอๆ กับเจิงเย่ ส่วนอีกคนนั้นดูฉลาดเฉลียว เฉินผิงอันเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูมา เด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวก็มองประเมินแขกผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าสองรอบ

เฉินผิงอันควักทองก้อนส่งไปให้ แล้วก็ได้เงินขาวของทางการและเงินเหรียญทองแดงที่ราคาสูงขึ้นตามราคาตลาดของแคว้นสือหาวในทุกวันนี้มา ตอนที่พูดคุยกันเขาใช้ภาษาทางการของราชวงศ์จูอิ๋งก่อน เด็กหนุ่มสองคนมีท่าทางมึนงง เฉินผิงอันจึงพูดด้วยภาษาทางการของแคว้นสือหาวที่ไม่คล่องนัก การแลกเปลี่ยนถึงได้เป็นไปอย่างราบรื่น และเฉินผิงอันก็ออกมาจากร้าน

ในร้าน หลังจากที่คนหนุ่มชุดผ้าฝ้ายผู้นั้นจากไป

เด็กหนุ่มนิสัยซื่อตรงยังจมจ่อมอยู่กับความปิติยินดีที่หาเงินเข้าร้านได้ แต่แล้วก็ถูกเพื่อนรักที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเตะไปหนึ่งที เมื่อมองไปตามสายตาของฝ่ายหลัง เด็กหนุ่มทึ่มทื่อถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของพวกเขาสองคนที่เวลาปกติจะต้องถกเถียงกันตลอดเวลากำลังนึกปรึกษากันอย่างจริงจังอย่างที่หาได้ยาก

เฉินผิงอันกลับมาถึงข้างกายหม่าตู่อี๋และเจิงเย่แล้ว หม่าตู่อี๋ก็ยิ้มถามว่า “ในอำเภอเล็กๆ และร้านก็ใหญ่เพียงเท่านี้กลับมีผู้ฝึกลมปราณถึงสองคนเชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะกำลังเลือกลูกศิษย์ ต่างคนต่างถูกใจเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”

หม่าตู่อี๋เบ้ปากพูด “ผู้ฝึกตนเฒ่าที่อย่างมากสุดก็มีขอบเขตถ้ำสถิต จะหาต้นกล้าที่ดีได้สักแค่ไหนกันเชียว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดประเภทนี้ น่าจะเป็นข้าที่พูดมากกว่ากระมัง?”

หม่าตู่อี๋แค่นเสียงเย็นหนึ่งที

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ผู้เฒ่าทั้งสองคน คนหนึ่งน่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร อีกคนหนึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าทั้งสองคนสัมผัสถึงเจ้าได้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้นจึงเก็บซ่อนลมปราณอย่างรวดเร็ว จงใจให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงไม่แสร้งทำเป็นคนแก่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเสียเลย ก็น่าจะเป็นเพราะรู้สึกว่าสถานที่เล็กๆ ห่างไกลที่ปราณวิญญาณเบาบางแห่งนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตสองคนก็มากพอจะสร้างความยำเกรงให้กับมังกรข้ามแม่น้ำอย่างพวกเราสองคนแล้ว อีกทั้งยังไม่แสดงความตกตะลึงมากเกินกว่าเหตุ นี่จึงแสดงว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนมีประสบการณ์โชกโชนในยุทธภพแล้ว”

ดวงตาหม่าตู่อี๋เป็นประกาย เอ่ยว่า “ท่านเฉิน ถ้าหากพวกเขาคิดว่าเราจะมาหาเรื่องพวกเขาล่ะ? ยกตัวอย่างเช่นคิดว่าพวกเราจะมาโค่นขาเก้าอี้พวกเขา? ท่านเฉิน ข้าว่าเจ้าไม่ควรจะเดินเข้าไปในร้านเลย ไม่เหมาะสมยิ่งนัก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดังนั้นเมื่อคนต่างถิ่นอย่างพวกเราซื้อของที่ต้องการเสร็จแล้วก็ต้องออกเดินทางกันต่อทันที อีกอย่างหนึ่ง บอกไว้ก่อนว่าตอนที่พวกเราออกจากประตูเมืองของอำเภอ จำไว้ว่าใครก็ห้ามทำท่าเหลียวซ้ายแลขวา แค่ก้มหน้าก้มตาเดินทางต่อไปก็พอ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาสงสัยอะไรส่งเดช”

หม่าตู่อี๋รู้สึกกังขาเล็กน้อย เพราะนางยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันต้องเข้าไปในร้านนั้น นี่ไม่ใช่ลักษณะการกระทำที่ปกติของนักบัญชีท่านนี้เลย

เฉินผิงอันบอกให้เจิงเย่ไปซื้อของในร้านหนึ่งเพียงลำพัง ส่วนเขากับหม่าตู่อี๋จูงม้าไปหยุดรอนอกเส้นทาง เขาเอ่ยอธิบายเบาๆ ว่า “หากผู้เฒ่าสองคนไม่ได้มาเพื่อรับลูกศิษย์เข้าสำนักล่ะ? ไม่เพียงแต่ไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอะไร กลับกันอาจยังเป็นพวกผู้ฝึกตนอิสระนอกรีตด้วย? ดังนั้นข้าเข้าไปในร้าน ไปดูพวกเขาให้แน่ใจ และพวกเขาก็ดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนผีนอกรีตที่มีจิตคิดร้ายอะไร ส่วนมากกว่านั้น ข้าทั้งมองไม่ออก แล้วก็ทั้งไม่สนใจด้วย”

หม่าตู่อี๋ถอนหายใจ นัยน์ตาแฝงร้อยยิ้ม แต่ปากกลับบ่นว่า “ท่านเฉิน วันๆ เอาแต่คิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ตัวเจ้าเองไม่เหนื่อยหน่ายบ้างหรือ ขนาดข้าแค่ฟังยังรำคาญเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดเรื่องพวกนี้ไม่น่าเบื่อ แต่พอคิดว่าแต่ละวันเจ้าทำตัวหน้าไม่อายไม่ยอมกลับเข้ากระดาษยันต์ไปสักที จะต้องคอยมางัดข้อกับข้าอยู่ทุกวัน แล้วพอคิดคำนวณเงินเกล็ดหิมะที่ต้องจ่ายไป ข้าก็เบื่อแล้ว”

หม่าตู่อี๋อับอายจนพานเป็นความโกรธ “น่ารำคาญจริงๆ!”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

รอจนกระทั่งเจิงเย่ซื้อของจุกจิกมาครบแล้ว เฉินผิงอันถึงเล่าเรื่องน่าสนใจเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง บอกว่าในร้านแห่งนั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ตบะสูงกว่าเลือกเด็กหนุ่มท่าทางทึ่มทื่อ ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรกลับเลือกเด็กหนุ่มที่ดูฉลาด

ทว่าเรื่องเล็กๆ ในสายตาคนนอกเช่นนี้

บางทีสำหรับเด็กหนุ่มสองคนที่ยังไม่รู้ประสาแล้ว รอจนพวกเขาได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนอย่างแท้จริงก็ถึงจะเข้าใจว่า ที่แท้นั่นเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า

ก็เหมือนกับหลังจากที่ม้าทั้งสามแยกทางกับสวี่เม่าตอนนั้น

มีเด็กหนุ่มคนตัดไม้คนหนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญสะดุดล้มโดยไม่ทันระวัง ผลพอขุดดินออกดู ภาพที่ปรากฏใต้กองหิมะกลับทำให้เด็กหนุ่มตกใจเกือบตาย

บางทีนั่นอาจเป็นเจตนารมสวรรค์ที่มองไม่เห็น เด็กหนุ่มที่มีชีวิตยากลำบากจนเกือบทนต่อไปไม่ไหวกัดฟันปลุกความกล้า ขุดพื้นหิมะแถบนั้นไปให้ถึงที่สุด

ตอนที่จากไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ บนร่างของเด็กหนุ่มก็มีแผ่นหยกที่สามารถแผ่ความอบอุ่นได้มาเพิ่มอีกแผ่นหนึ่ง

แผ่นหยกที่หันจิ้งซิ่นชื่นชอบจึงเอามาถือเล่นในมือแผ่นนั้น ด้านหนึ่งสลักตัวอักษรโบราณสามคำว่า ‘ภูเขาเมฆาเรือง’ อีกด้านหนึ่งสลักบทกวีอันเป็นคาถาท่อนหนึ่งของภูเขาเมฆาเรือง

บนมหามรรคา โชคและภัยยากจะคาดเดา หนึ่งดื่มหนึ่งจิก แตกต่างกันดุจเมฆกับโคลน

หลังจากนั้นพวกเฉินผิงอันสามคนก็เดินทางกันต่อ ยามสนธยาของหลายวันถัดมา บนเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันพลันพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินออกจากถนนไปประมาณสิบกว่าก้าว ในพื้นหิมะที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแห่งหนึ่ง เขาโบกชายแขนเสื้อสลายกองหิมะที่ทับถมกันออกไป เผยให้เห็นภาพที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ในพื้นหิมะ ไม่เพียงแต่เศษแขนขากระจัดกระจายเป็นท่อนเป็นชิ้น อวัยวะภายในยังถูกแหวกอกควักออกมาจนเกลี้ยง สภาพการตายน่าอนาถอย่างถึงที่สุด อีกทั้งน่าจะเพิ่งตายได้ไม่นาน มากสุดก็เมื่อหนึ่งวันก่อน หนำซ้ำแถบพื้นที่นี้ที่ควรมีปราณดุร้ายอึมครึมอาบย้อมกลับไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย

นี่ต้องเป็นการกระทำของผู้ฝึกตนที่มีเวทลับเฉพาะ

หม่าตู่อี๋ไม่อาจทนมองดูได้ เจิงเย่ก็ยิ่งวิ่งไปอาเจียนแห้งอยู่อีกทาง

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset