บทที่ 67 วันสิ้นปี
หลินชิงเหอยักคิ้ว “ถ้าเกิดเธอได้แม่สามีไม่ดีขึ้นมา เธอจะไม่ต้องเจียดเงินของตัวเองออกไปให้เหรอ?”
โจวเสี่ยวเม่ยนิ่งไปในทันที
“เธอหวังจะเพิ่มสถานะของตัวเองด้วยการแต่งงานกับคนในเมืองมาตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยในสายตาของพวกคนเมืองก็จะมองแล้วว่าเธอแต่งงานเพื่อยกระดับฐานะของตัวเอง เมื่อไหร่ที่เธอมีสถานะทางสังคมเพิ่มขึ้น เธอก็จะถูกคาดหวังว่าต้องมีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ รับใช้พ่อแม่สามีอย่างดี และมีน้ำใจต่อญาติพี่น้องของสามี ถ้าเธอเป็นคนไร้มารยาทและงี่เง่าล่ะก็…เธอเข้าใจใช่ไหมว่าพี่หมายความว่ายังไง?” หลินชิงเหออธิบาย
โจวเสี่ยวเม่ยขบฟันกรอด “พวกเขากล้าเหรอ!”
“ยัยโง่เอ๊ย” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงขรึม “ถึงตอนนั้นที่เธอแต่งงานเข้าไป เธอมีเหตุผลแย้งเรื่องนี้ไหมล่ะ? ตอนนี้สามารถฟ้องหย่าได้แล้วก็จริง แต่เธอจะรับผลกระทบที่ตามมาหลังการหย่าร้างได้ไหมล่ะ?”
โจวเสี่ยวเม่ยฟังแล้วก็โพล่งขึ้นมา “งั้นฉันจะขอเลิกกับเขาให้เร็วที่สุดหลังกลับไปแล้วกันค่ะ!”
“คิดให้ดี ๆ ตอนกลับไปแล้วนะ เธอต้องถามใจตัวเองให้มากกว่านี้ พี่แค่วิเคราะห์ความเป็นไปได้ให้เธอฟังเท่านั้น แต่การตัดสินใจมันขึ้นอยู่กับตัวเธอเองว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ แต่ในความคิดพี่นะ เธอยังหาได้ดีกว่านี้” หลินชิงเหอบอก
“พื้นหลังครอบครัวของฉันเป็นแบบนี้แล้ว ฉันจะหาได้ดีกว่านี้ได้อย่างไรล่ะคะ” โจวเสี่ยวเม่ยคร่ำครวญ
“พื้นหลังครอบครัวเธอเป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่? ทุกวันนี้ยาจกได้ดิบได้ดีเป็นเศรษฐีมีอยู่ถมไป ใครจะกล้าแตะต้องเธอตอนไปไหนมาไหนล่ะ?” หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม “เธอมีพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตากับหน้าที่การงาน แถมตอนนี้ก็กำลังสาวสะพรั่ง ทำไมต้องตาถั่วเลือกใช้ชีวิตกับครอบครัวสามีแบบนั้นด้วยล่ะ?”
โจวเสี่ยวเม่ยได้ยินคำปลอบใจแล้วก็รู้สึกมีขวัญกำลังใจขึ้นมามากกว่าเดิม
“เล่าให้พี่ฟังเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่ตามจีบเธอหน่อยสิ” หลินชิงเหอรินน้ำอุ่นขึ้นดื่ม เธอรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาหน่อยแล้วจากการพูดเยอะเกินไป
“เขาให้ปิ่นฉันมาอันหนึ่ง” โจวเสี่ยวเม่ยสารภาพ
“แล้วไงต่อ?” หลินชิงเหอพยักหน้าเป็นเชิงให้หล่อนพูดต่อไป
โจวเสี่ยวเม่ยมองเธอแล้วก็เอ่ยตอบ “แล้วก็เท่านี้”
หลินชิงเหอจ้องมองหล่อน “พวกเธอจีบกันแบบนี้สินะ เขาให้ปิ่นเธออันหนึ่ง? แล้วเธอก็ยอมตกลงปลงใจกับเขาเหรอ?”
น้ำเสียงของเธอฟังดูตกใจอย่างมาก
โจวเสี่ยวเม่ยยังคงทำหน้านิ่งตายราวกับมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร “เขาให้ปิ่นฉันอันหนึ่งแล้วก็มีแค่นี้แหละค่ะ”
“สวรรค์เถอะ” หลินชิงเหอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ก่อนหน้านี้โจวเสี่ยวเม่ยก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ดูตกใจอย่างมากของพี่สะใภ้สี่ หล่อนก็สะดุดใจและอุทานออกมา “แต่เขายังไม่ได้พาฉันไปดูหนังนะคะ!”
“เขาให้ปิ่นอันละไม่กี่เหมาตอนจีบเธอเพื่อวางแผนจะแต่งงานกับหญิงสาวเงินเดือนสูงอย่างเธอให้มารับใช้เขากับครอบครัวเขาทั้งบ้านสินะ ช่างฉลาดจริง ๆ” หลินชิงเหอแค่นเสียง จากนั้นก็เอ่ยต่อ “เธอไม่ต้องคิดอะไรมากกว่านี้แล้วล่ะ จัดการเขี่ยเขาทิ้งไปได้เลย ทำไมต้องรอถึงปีใหม่ด้วย?”
ถึงยุคนี้คนจะยากจน แต่วิถีชีวิตของพวกเขาช่างบริสุทธิ์และเรียบง่าย เรียบง่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ!
คนทั้งคู่ต่างเป็นพนักงานโรงงาน แค่ให้ปิ่นอันหนึ่งตอนจีบกันก็ตกลงจะแต่งงานแล้วงั้นเหรอ? ตลก! เขาทำแค่นี้ก็แต่งเมียได้แล้วเหรอ แล้วหล่อนจะมีชีวิตดีได้อย่างไรหลังจากแต่งเข้าบ้านสามีไปแล้ว?
“ตอนนั้นพี่ก็แต่งงานกับพี่ชายสี่ไม่ใช่เหรอคะ เหมือนจะแต่งเพราะคลุมถุงชนด้วย” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ย
“เธอจะเทียบกับพี่ได้ยังไง? ตอนนี้พี่แยกมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ถ้าเธอแต่งงานไปแล้วเธอทำได้อย่างพี่ไหมล่ะ?” หลินชิงเหอบอก “ ถึงตอนนั้นเธอต้องอยู่ในบ้านสามี แล้วเธอก็จะพบแต่ความวุ่นวายทุกวันคอยดูสิ…พอเถอะ พี่ไม่คุยกับเธอแล้ว ถ้าเธออยากแต่งกับเขานักก็แต่งไปเลย อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนล่ะ ที่พี่พูดก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราสองคนในหลายปีที่ผ่านมา อนาคตเป็นของเธอ เธอต้องตัดสินใจเอง”
โจวเสี่ยวเม่ยลุกขึ้น ก่อนจะจากกันหล่อนก็เอ่ยเตือน “อย่าบอกแม่เรื่องนี้นะคะ”
“ทำไมพี่ต้องบอกแม่เรื่องนี้ด้วยล่ะ? รีบ ๆ กลับไปเลย เห็นความคิดเป็นเด็กไม่รู้จักโตของเธอแล้วพี่กลุ้มใจนัก” หลินชิงเหอโบกมือ
โจวเสี่ยวเม่ยอดไม่ได้ที่จะร้องแหว “ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้คะเนี่ยหา!”
“พี่เป็นคนยังไงเหรอ?” หลินชิงเหอแค่นเสียง “ถ้าเธออยากมีชีวิตที่ดีก็จงเชื่อฟังพี่ซะ พี่ไม่ได้โม้ ในบ้านนี้ถ้าพี่พูดอย่างหนึ่ง จะไม่มีใครกล้าพูดอีกอย่างหนึ่ง เธออยากมีชีวิตที่ดีก็จงหัดเรียนรู้อะไรมั่ง อย่างเช่นผู้ชายที่เธอกำลังคบอยู่ ถ้าเป็นพี่นะเขี่ยทิ้งไปนานแล้ว เขาอยากแต่งงานกับเธอแต่ให้ปิ่นมาแค่อันเดียว เท่ากับว่าเขาเห็นเธอเป็นแค่กะหล่ำปลีราคาถูกหัวหนึ่งเท่านั้นแหละ!”
โจวเสี่ยวเม่ยรู้ว่าพี่สะใภ้สี่คิดอยากให้หล่อนได้ดี แต่ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุด รอจนกว่าหล่อนจะได้กลับไปทำงานเถอะ แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ให้คนรักฟังเอง
หลังได้ยินคำเตือนจากพี่สะใภ้สี่แบบนี้ หล่อนเองก็รู้สึกหมดความสนใจในตัวชายหนุ่มที่มาจีบลงบ้างแล้ว
หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะมาบ่นเรื่องนี้ให้โจวชิงไป๋ฟังหลังจากน้องสามีกลับไปแล้ว “ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ค่ะ เรื่องให้แค่ปิ่นอันเดียวหวังจะแต่งเมียให้มารับใช้ในบ้านเนี่ย ปิ่นของเขาทำมาจากทองหรือยังไงกัน?”
โจวชิงไป๋ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวพวกนี้มากนัก แต่เขารู้สึกได้ว่าภรรยาของตนปฏิบัติต่อน้องสาวของเขาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะช่วยตรวจสอบคนรักให้หล่อนทำไม?
“ท้ายที่สุดแล้วผู้ชายคนนั้นก็คิดว่าตัวเองเหนือกว่าในเรื่องที่ว่าตัวเองเป็นคนในเมืองอยู่ดีล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะกล้าทำอะไรแบบนี้กับเสี่ยวเม่ยงั้นเหรอ? คำว่าคนเมืองกรุงมันแค่ฟังดูโก้หรูเท่านั้นแหละ เอาเข้าจริงทุกคนก็ต้องอยู่อย่างแออัดในบ้านหลังเดียว พอใครคนหนึ่งตดก็เหม็นคลุ้งไปทั้งบ้าน มันมีอะไรให้น่าภูมิใจงั้นเหรอ?” หลินชิงเหอยังคงเอ่ยเยาะ
“ที่แน่ ๆ ก็คือมันไม่กว้างขวางเท่ากับบ้านในชนบทเท่านั้นแหละ” โจวชิงไป๋เสริม
ความจริงแล้วสถานการณ์ในชนบทก็ไม่ต่างกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างบ้านอีกหลัง กว่าจะสร้างได้ต้องใช้เงินที่เก็บสะสมไว้ถึงครึ่งชีวิตเลยทีเดียว
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบจุดยืนของเขาและทำให้เขายังคงเห็นด้วยกับคำบ่นของภรรยา
“ไม่ใช่แค่สภาพความเป็นอยู่จะไม่ดี แต่คนพวกนั้นก็ไม่สามารถกินอยู่เหมือนกับเราได้ด้วย พวกเขาต้องใช้คูปองซื้อของทุกอย่าง แล้วราคาของในตลาดมืดมันก็แพงมาก ไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่องเหมือนในชนบทที่เราอยู่หรอก” หลินชิงเหอพูดต่อ
หลังจากบ่นให้โจวชิงไป๋ฟังจนรู้สึกสาแก่ใจ หญิงสาวก็ห่อเกี๊ยวจนเสร็จเกือบทั้งหมด
“ปีนี้คุณไม่กลับบ้านจริง ๆ เหรอ?” โจวชิงไป๋มองภรรยา
“ไม่ล่ะค่ะ ในภายหน้าฉันไม่กลับไปแน่นอน ยกเว้นน้องชายสามคนเดียวแล้วคนอื่น ๆ ฉันตัดขาดหมดค่ะ” หลินชิงเหอยังคงยืนยันอย่างไม่แยแส
เธอไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นว่านิสัยคนตระกูลหลินเป็นอย่างไร เธอก็ไม่ยอมทนเป็นนางทาสสานสัมพันธ์กับพวกเขาอีกต่อไป เชิญคนพวกนั้นไสหัวไปไกล ๆ จากเธอได้เลย
โจวชิงไป๋รู้นิสัยของเธอดี บางทีเธออาจล้อเล่น หลังจากที่เธอหายโกรธได้สักพักมันก็คงไม่มีอะไรแล้ว
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เพราะหลินชิงเหอยังไม่หายโกรธ เธอแค่ไม่อยากมีพันธะผูกพันกับบรรดาคนเนรคุณตระกูลหลินพวกนั้น เธอเลยเลือกที่จะไม่ไปเยี่ยมด้วยตัวเอง
ต่อให้คนอื่นจะว่าอย่างไรมันก็ไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อโจวชิงไป๋อยู่ที่บ้าน คำนินทาว่าร้ายพวกนั้นก็ไม่มีความหมาย ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเธอจะเอาแต่ใจบ้างไม่ได้หรือยังไง?
พอถึงวันสิ้นปี หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พาเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นที่บ้านตระกูลโจว
พวกเขาไม่ได้มาช่วยทำอาหาร หลินชิงเหอจึงให้โจวชิงไป๋นำอาหารจานหลักไปสองจาน จานหนึ่งเป็นลูกชิ้นหมูทรงเครื่อง อีกจานหนึ่งเป็นไข่หนังเสือ*
*ไข่ลูกเขย
อาหารทั้งสองจานมีรสชาติดีเยี่ยม มันช่วยเติมสีสันให้กับอาหารมื้อเย็นในวันสิ้นปีของบ้านตระกูลโจวได้อย่างมากเลยทีเดียว
อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย แม้แต่ผู้ใหญ่ในบ้านก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาว
“อาหารพวกนี้พี่สะใภ้สี่ทำเหรอคะ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พี่มีฝีมือทำอาหารถึงขนาดนี้?” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยชมไม่หยุดปากขณะกินลูกชิ้นหมู
“พี่ไม่ได้ทำเองหรอก มีพี่ชายสี่เธอมาช่วยทำด้วย” หลินชิงเหอบอกก่อนหันไปทางท่านพ่อกับท่านแม่โจว “คุณพ่อคุณแม่ลองทานดูสิคะ มันอร่อยมากเลย”
ท่านพ่อกับท่านแม่โจวเอ่ยตกลง เมื่อเห็นว่าลูกหลานมารวมตัวกันพร้อมหน้าแล้ว สองสามีภรรยาชราก็อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่หลินชิงเหอ ‘สะใภ้จอมดื้อด้าน’ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อ่านตอนนี้แล้วก็เห็นด้วยกับชิงเหอนะคะ พ่อแม่สามีนี่คือด่านปราบเซียนของชีวิตคู่เลยค่ะ ถ้าเจอไม่ดีคือชีวิตระทมไปอีกนาน
หลินชิงเหอ เธอเอาอีกแล้วนะ…ฉันต้องลองทำไข่ลูกเขยมาแข่งกับเธอแล้วใช่ไหม?
ไหหม่า (海馬)