บทที่ 674 จดทะเบียนก่อน
ที่บ้านเตรียมกินข้าวเย็นกันแล้ว
กังจือเพิ่งกลับจากการออกไปตั้งแผงขายของ ทั้งที่เดือนธันวาคมอากาศกำลังหนาว เขาก็ยังออกไปตั้งร้าน นั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นคนอดทนกับความลำบากได้
“เตานี่ใช้ปิ้งมันเทศเหรอ?” โจวข่ายกลับมาถึงบ้านก็เห็นเตาที่กังจือไว้ใช้ขายของจึงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
กังจือยิ้ม “พี่ข่ายอยากชิมดูไหมครับ?”
ฤดูหนาวปีนี้เขาไม่ได้ขายเสื้อผ้าต่อ แต่เปลี่ยนมาขายมันเทศปิ้งขายซาลาเปา
เขานำซาลาเปาจากน้าและน้าเขยของเขามาขาย ส่วนมันเทศนั้นเขาหามาเอง ตั้งร้านเพียงวันเดียวก็ขายได้เกินความคาดหมาย ยอดขายดีใช้ได้ทีเดียว
คนทำงานสำนักงานต่อให้ควบม้าไล่ตามก็ยังไม่ทันกับจำนวนเงินที่เขาหาได้
โจวข่ายลองชิมมันเทศปิ้งที่เหลือจากการขายไปหัวหนึ่งก็พบว่ามันอร่อยใช้ได้ เขาพูดขึ้น “ฉันได้ยินเจ้าสามบอกว่านายซื้อหน้าร้านแล้ว”
กังจือยิ้มกว้าง “แค่ร้านเล็ก ๆ เท่านั้นครับ”
บัดนี้มีคนเช่าไปแล้ว รายได้จากค่าเช่าแต่ละเดือนถือว่าไม่เลวเลย
“ด้านหู่จือเป็นยังไงบ้าง?” โจวข่ายถาม
“พี่ผมสบายมาก เปิดร้านขายเสื้อผ้า รายได้เยอะกว่าผมแน่นอน” กังจือกล่าว
“ทำไมไม่เปิดร้านเองล่ะ?” โจวข่ายรับส้มที่เวิงเหม่ยเจี่ยแกะให้ กินไปพูดไป
“ร้านไม่ได้ใหญ่มาก ที่นู่นไม่เหมาะจะขายเสื้อผ้าด้วย อย่างอื่นผมก็ทำไม่เป็น ก็เลยปล่อยเช่าน่ะ แล้วตั้งร้านหาบเร่แบบนี้ก็ไม่เลวด้วย” กังจือเอ่ย
“มันหนาวเกินไปน่ะสิ” โจวข่ายกล่าว
“ใส่เสื้อผ้าให้อุ่นเข้าไว้ก็ไม่เป็นไรแล้วครับ” กังจือคลี่ยิ้ม
“เงินมันหาง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า?” เจ้าสามเอ่ย
“ใช่แล้ว โดยเฉพาะคนอย่างพวกเรา ไม่มีรายได้มั่นคง ถ้าไม่ยอมเหนื่อยหน่อยคงไม่มีเงินจะกินข้าว” กังจือพูด
“เงินที่นายหาได้ในหนึ่งเดือนเท่ากับเบี้ยเลี้ยงทั้งปีของฉัน เลิกโอดครวญว่าจนได้แล้ว” โจวข่ายโบกมือ
เบี้ยเลี้ยงของเขาก็ไม่น้อย ทำมาถึงตอนนี้ตำแหน่งเขาได้ 400 หยวน ในบรรดาคนรับเงินเดือนถือว่าอยู่ระดับบน ๆ แล้ว
แต่ถ้าเทียบกับคนทำมาค้าขาย ย่อมเทียบไม่ได้แน่นอน
“พี่ข่ายก็ว่าไป ผมจนจริง ๆ นะ พี่อย่าคิดว่าผมรวยนักสิ!” กังจือกล่าว
“ฉันไม่สน แต่ซองแต่งงานนายต้องใส่เยอะ ๆ” โจวข่ายขอซองเงินซึ่งหน้า
เวิงเหม่ยเจี่ยช่วยยกกับข้าวมาที่โต๊ะพลางเอ่ยยิ้ม ๆ “ยังมีคนแบบคุณด้วยเหรอคะเนี่ย ได้เวลากินข้าวแล้ว” จากนั้นก็เรียกให้หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มากินข้าว
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมจนบัดนี้แล้วยังเรียกคุณอาเรียกคุณอาสะใภ้อยู่เลยล่ะ? เรียกคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว” โจวกุยหลายกล่าว
“รีบทำไมกัน? ฉันจะหนีไปไหนได้หรือไง?” เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มพลางมองบนใส่เขา
แล้วโจวข่ายก็ถามถึงเจ้ารองโจวเฉวี่ยน “เดี๋ยวนี้เจ้ารองยุ่งขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ยุ่งสิ ฟังจากที่เขาพูดแล้วปีหน้าจะยุ่งกว่านี้อีก ต้องถูกส่งตัวไปที่อื่นด้วย” หลินชิงเหอบอก
“อีกเดี๋ยวโทรหาบ้านเหอด้วย” โจวชิงไป๋บอก เจ้าใหญ่กลับมาแล้วและกำลังจะแต่งงาน เจ้ารองต้องกลับมา
หลินชิงเหอรับคำ
ทั้งบ้านนั่งลงกินข้าวด้วยกัน กินไปพลางคุยกันไปพลาง ครึกครื้นสุด ๆ
กินข้าวเย็นเสร็จโจวข่ายถึงส่งเวิงเหม่ยเจี่ยกลับไป ซึ่งโจวกุยหลายถึงกับแซว “พี่ใหญ่ คืนนี้ไม่ต้องกลับมาก็ได้นะ อยู่ที่นู่นแทนไหม?”
“ได้ งั้นเดี๋ยวผมค่อยกลับพรุ่งนี้เช้านะครับ” โจวข่ายบอกพ่อแม่ของเขา
เขาขับรถส่งเวิงเหม่ยเจี่ยกลับบ้าน โจวกุยหลายยิ้มกว้าง “ดูท่าทางรีบร้อนของพี่ใหญ่ผมสิ แทบอยากจะแต่งงานซะเดี๋ยวนี้”
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มีแววตายิ้มแย้ม
พวกเขารอเจ้าใหญ่แต่งงานมานานแค่ไหนแล้วนะ? หมั้นตอนอายุ 21 ตอนอายุ 22 ก็ถึงวัยอันควรแล้ว เลยคิดจะแต่งงานกัน
แต่ตอนอายุ 22 เวิงกั๋วต้งแต่งงาน อายุ 23 เวิงกั๋วเหลียงแต่งงาน ถึงได้ลากยาวจนกระทั่งปีนี้ ถ้าปีนี้ยังไม่ได้แต่งอีกต้องรอยันปีหน้า ๆ ตอนอายุ 26 แล้ว
เพราะ 25 เป็นเบญจเพส ห้ามแต่งงาน
แต่ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม บัดนี้ได้แต่งงานตอนอายุ 24 ก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ไม่ช้าเกินไปไม่เร็วเกินไป
คืนนั้นโจวข่ายพักอยู่ที่บ้านพ่อตาเขาจริง ๆ ที่นั่นยังมีห้องว่างอยู่ อย่างไรเสียเวิงกั๋วต้งก็ย้ายออกไปแล้ว
คุณแม่เวิงชอบลูกเขยคนนี้มาก สมัยนั้นที่หล่อนหมายตาเขาก็เฝ้ารอให้เขามาเป็นลูกเขยตัวเองตลอด อีกไม่กี่วันก็ได้เปลี่ยนมาเรียกหล่อนว่าแม่แล้ว
โอ๊ย แค่คิดก็ชื่นใจ
“อย่างอื่นแม่ไม่มีอะไรจะให้ ได้แต่เตรียมแหวนทองให้พวกเธอคนละวง” คุณแม่เวิงยิ้มพลางหยิบแหวนทองออกมา ของผู้ชายหนึ่งวง ของผู้หญิงหนึ่งวง
นอกจากนั้นมีสร้อยทองให้ลูกสาวอีกสองเส้น เส้นหนึ่งหนักกว่าเส้นหนึ่งเบากว่า แต่เป็นที่ชัดแจ้งว่ามีน้ำหนักพอสมควร
“นี่คงใช้เงินไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ คุณป้ากล้าใช้เงินจริง ๆ” โจวข่ายเอ่ยยิ้ม ๆ
“พวกนี้ไม่ถือว่าเยอะ แต่ไม่ว่าจะเป็นสินสอดหรืออะไรอย่างอื่นป้าไม่เก็บไว้เองหรอก พวกเธอสองสามีภรรยาเก็บไว้ได้เลย” คุณแม่เวิงกล่าว
พวกนี้เป็นเครื่องประดับทองที่เอาออกมาแสดงต่อหน้าโจวข่าย จากนั้นหล่อนก็เรียกลูกสาวเข้าห้องเพื่อเอาสมบัติให้เก็บไว้ส่วนตัว
หล่อนให้บัญชีเงินฝาก 5,000 หยวนเพื่อให้ลูกสาวเก็บไว้ใช้ส่วนตัว และให้ลูกเก็บไว้ก้นหีบ
“แม่ ให้หนูมาทำไมเยอะแยะ สมัยพี่สาวหนูให้แค่สองร้อยเอง” เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ย
“เทียบกันได้ยังไงเล่า” คุณแม่เวิงกล่าว หล่อนมีลูกสาวคนโตอีกคน เป็นคนโตสุดที่แต่งงานออกไปนานแล้ว “สมัยนั้นสองร้อยหยวนถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เดี๋ยวนี้ค่าสินค้าต่าง ๆ พุ่งกระฉูดขนาดนี้ บ้านเราฐานะยังดีขนาดนี้ ลูกนี่เกิดมาเจอยุคสมัยดี ๆ จริง ๆ”
เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกหนูจะรวยด้วยการแต่งงานอยู่แล้ว”
เงินเดือนของหล่อนและโจวข่ายไม่ต่ำ แน่นอนว่าของหล่อนสูงไม่เท่าของโจวข่าย เงินเดือนพื้นฐานโจวข่าย 400 หยวน แต่ถ้ามีภารกิจอะไรจะได้รางวัลด้วย ส่วนใหญ่แล้วตกเดือนละ 500-600 หยวน
เงินเดือนของหล่อนมีแค่ร้อยกว่าหยวน แต่รายจ่ายของทั้งคู่มีไม่มาก เดือน ๆ นึงใช้จ่ายสูงสุดแค่ 50-60 หยวน ที่เหลือออมไว้หมด
ตั้งแต่โจวข่ายกับหล่อนชัดเจนในความสัมพันธ์แล้วหล่อนก็เป็นคนดูแลเรื่องเงิน ทั้งสองคนจึงถือว่ามีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง
ตอนนี้แม่หล่อนให้มาอีกห้าพัน นี่ไม่น้อยเลยจริง ๆ
“เรื่องนั้นก็ใช่น่ะสิ แม่เดาว่าแม่สามีลูกคงเตรียมของใหญ่ไว้ให้พวกลูกแล้วล่ะ” คุณแม่เวิงเอ่ยยิ้ม ๆ
คุณแม่เวิงไม่มีอะไรจะตำหนิเกี่ยวกับคนที่กำลังจะดองกันอย่างหลินชิงเหอ ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับลูกสาวคนโตและแม่สามีนั้นธรรมดาสุด ๆ แต่หลินชิงเหอผู้เป็นแม่สามีของลูกสาวคนเล็กนั้น ขนาดเพื่อนรักยังไม่สนิทกันเท่านี้เลย
เวิงเหม่ยเจี่ยหัวเราะ แต่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มาก
ทว่าวันรุ่งขึ้น สินสอดก็มาถึง
หนึ่งหมื่นหนึ่ง มีความหมายว่าหนึ่งในหมื่น นอกเหนือจากนั้นยังมีทองสามเงินหนึ่ง
หลังจากโจวข่ายเอาของพวกนี้มาให้แล้วก็พาเวิงเหม่ยเจี่ยไปจดทะเบียนสมรสก่อน เพราะเจ้าหน้าที่ใกล้ได้หยุดงานแล้ว
จดทะเบียนสมรสก่อน แล้วค่อยจัดพิธีแต่งงาน
ด้วยเหตุจากการเอาทะเบียนสมรสไปให้หลินชิงเหอดู หลินชิงเหอจึงให้สมุดเงินฝากมาอีกเล่ม ในบัญชีนี้มีเงินอยู่ 101,000 หยวน
หนึ่งแสนเอาไว้จัดการเรื่องที่บ้าน หนึ่งพันให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ ส่วนถ้าหนึ่งพันหยวนไม่พอซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็ควักเงินตัวเองเพิ่มแล้วกัน
แต่พอเงินจำนวนนี้อยู่ในมือของเวิงเหม่ยเจี่ย หล่อนเองก็มึนเหมือนกัน
……………………………………………………………………