บทที่ 69 เข้าเมืองพร้อมพ่อและแม่
หลินชิงเหอไม่ได้อยู่ที่บ้านตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ เธอพาเจ้าสามไปเยี่ยมบ้านตระกูลโจว จากนั้นก็สนทนากับสะใภ้ใหญ่ สะใภ้สาม และโจวเสี่ยวเม่ย เว้นสะใภ้รองที่เธอไม่ได้พูดคุยอะไรด้วย
แม้สะใภ้สามจะยังอยู่ในช่วงพักรักษาตัวหลังคลอด แต่ร่างกายของหล่อนก็ฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว แถมวันนี้ยังเป็นวันปีใหม่ หล่อนเลยมีความสุขที่ได้พูดคุย
หลินชิงเหอพูดคุยกับคนทั้งสามได้เกือบชั่วโมงแล้วก็จากไปเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนพวกหล่อน
วันนี้สะใภ้รองไม่อยู่บ้าน เนื่องจากหล่อนออกไปเที่ยวสนทนากับผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน
หลินชิงเหอพาเจ้าสามกลับมาที่บ้านโดยมีโจวเสี่ยวเม่ยเดินตามมาด้วย เมื่อพวกเธอกลับมาถึงบ้านก็เห็นโจวชิงไป๋กำลังเลี้ยงหมู
โจวชิงไป๋ยังคงทำหน้าที่เหล่านี้อยู่เป็นหลัก โดยมีหลินชิงเหอช่วยเหลือบ้างเป็นครั้งคราว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะโยนหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดให้เธอทำ
“พี่สะใภ้สี่เปลี่ยนไปมากนะคะ ตอนนี้พี่ทนเลี้ยงหมูอยู่ที่บ้านได้ด้วย” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เข้ามาเร็ว” หลินชิงเหอปรายตามอง ก่อนจะพาน้องสามีเข้าไปในบ้าน
โจวเสี่ยวเม่ยยิ้มกริ่ม “พี่คิดว่าฉันควรหาคนแบบไหนมาเป็นสามีคะ?”
“คนที่พ่อแม่ไม่อยู่และมีรถมีบ้านเป็นของตัวเอง” หลินชิงเหอตอบเรียบ ๆ
โจวเสี่ยวเม่ยระเบิดหัวเราะคิกคัก “พี่สะใภ้สี่ ฉันว่าสิ่งที่พี่พูดมาฟังดูน่าสนใจดีนะคะ”
“ทำไมล่ะ? มันไม่เข้าท่างั้นเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ย
“ใช่น่ะสิคะ คนแบบนี้หาได้ไม่ง่ายเลย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครให้ขอความช่วยเหลือด้วย” โจวเสี่ยวเม่ยชี้แจง
“เธอต้องการความช่วยเหลือแบบไหนล่ะ? เธอมีพี่ชายตั้งมากมายในครอบครัวฝั่งแม่ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็แค่ร้องเรียก ใครล่ะจะไม่ช่วยเหลือเธอ?” หลินชิงเหอกล่าว
โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ยังไม่มีโอกาสเจอคนแบบนี้อยู่ดีค่ะ”
“ถ้าไม่เจอก็ทำแค่ยอมแพ้และหาคนสำรอง แต่เธอต้องเขี่ยผู้ชายคนนั้นออกไปก่อนนะ ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว” หลินชิงเหอแนะนำ
“ฉันจะเขี่ยเขาทิ้งทันทีที่หมดเทศกาลขึ้นปีใหม่แล้วกันค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตกลง
“หาคนที่พึ่งพาได้ เหมือนอย่างพี่ชายสี่ของเธอ เขาต้องมีความรับผิดชอบ บ่าของเขาต้องแบกรับอะไรต่าง ๆ ได้ เขาต้องปกป้องลูกเมียที่บ้านได้ และต้องรูปร่างหน้าตาดีด้วย” หลินชิงเหอร่ายคุณสมบัติให้ฟัง
โจวเสี่ยวเม่ยถึงกับอุทานอย่างตกใจ “ไม่ใช่ว่าพี่เคยพูดว่าพี่ชายสี่ของฉันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้หรอกเหรอคะ? พี่นึกเปลี่ยนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?”
หล่อนไม่เห็นเลยจริง ๆ ว่าพี่ชายสี่จะมีข้อดีอะไรมากมาย พี่ชายสี่ในสายตาหล่อนคือผู้ชายหยาบกระด้างคนหนึ่ง
“หัวใจหญิงสาวเหมือนมหาสมุทรล้ำลึกยากหยั่งถึง ชั่วขณะหนึ่งมีลมแต่อีกชั่วขณะหนึ่งกลับมีฝน ไม่ได้มีแค่พี่เท่านั้นนะ แม้แต่เธอก็ยังรู้” หลินชิงเหอบอก
แน่นอนว่าโจวเสี่ยวเม่ยรู้เรื่องนี้ แต่อยางไรพี่สะใภ้สี่ก็เปลี่ยนใจเร็วเหลือเกินอยู่ดี
“พี่เคยใช้เวลาอยู่กับเขาน้อยมาก ทุกครั้งเขาไม่เคยอยู่บ้านได้นานกว่า 3 วันเลย แล้วพี่จะเห็นนิสัยของเขาได้อย่างไร? แต่ตอนนี้พี่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเขามากขึ้นแล้ว ก็เลยคิดว่าเขาเป็นคนดีจริง ๆ อย่างน้อยเขาก็สามารถเชิดหน้าชูตาครอบครัวของพี่ได้ในฐานะหัวหน้าครอบครัว” หลินชิงเหอสาธยาย
แม้จนถึงตอนนี้เขาจะยังไม่อนุมัติการขายต่อเนื้อหมูของเธอและยังเถรตรงเกินไป แต่เขาก็ไม่มีเรื่องให้เธอต้องบ่นในเรื่องอื่นเลย
พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ชายคนนี้คือคนหล่อ มีเงินทองมากมาย ร่างกายแข็งแรงกำยำแถมด้วยอาวุธขนาดใหญ่
แค่ก…ถึงเธอจะไม่เคยเห็นอย่างสุดท้ายด้วยตาของตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้โง่ จากการนอนกอดกันบนเตียงทุกคืน ทำไมเธอจะไม่รู้สึกถึงขนาดอันมโหฬารของเขาล่ะ?
เอาเข้าจริงเธอก็รู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อยว่าตนเองจะไม่สามารถทนไหว
เธอรู้สึกหวั่นใจเหลือเกิน
แต่ทั้งนี้คุณสมบัติของโจวชิงไป๋นับว่าตรงกับรสนิยมเธอไม่น้อย มีเพียงข้อเสียอย่างเดียวก็คือความเถรตรงของเขา ซึ่งเธอยังต้องฝึกเขาในเรื่องนี้ต่อไป
โจวเสี่ยวเม่ยร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านของเธอด้วย เมื่อหล่อนทานเสร็จแล้วก็กลับไปที่บ้านตระกูลโจว แต่ก่อนหน้านั้นหลินชิงเหอได้บอกไปแล้วว่าในวันพรุ่งนี้ครอบครัวของเธอจะเดินทางไปยังตัวอำเภอและให้เจ้าเฟยอิงเฝ้าบ้าน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมาหาเธอ
โจวเสี่ยวเม่ยได้ยินก็รีบตอบทันควัน “งั้นฉันไปกับพี่ด้วย!”
“คือว่าจักรยานไม่มีที่ว่างแล้วน่ะ แล้วก็เป็นเรื่องยากที่พวกเราจะได้ท่องเที่ยวกันทั้งครอบครัวสักที เธอแน่ใจเหรอว่าอยากมาด้วย?” หลินชิงเหอถาม
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยโบกมือ
“เธออยากกินอะไรไหม? ฉันจะได้ซื้อมาฝาก” หลินชิงเหอถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่คืนพรุ่งนี้ฉันมาร่วมทานมื้อเย็นได้ใช่ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถามเพื่อตรวจสอบวันว่างของอีกฝ่าย
“ได้สิ” หลินชิงเหอให้คำตอบ โจวเสี่ยวเม่ยจึงกลับไปด้วยความยินดีปรีดา
วันปีใหม่ผ่านไปอีกวัน โดยภาพรวมแล้วมันก็ยังอบอวลไปด้วยความสุข แต่มีเพียงคืนวันปีใหม่เท่านั้นที่โจวชิงไป๋แสดงความซุกซนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เมียครับ คุณน่าจะหายงอนได้แล้วนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยเสียงพร่า
ต้องบอกว่าน้ำเสียงของเขาช่างสะกดใจเหลือเกิน แต่มันก็ยังไม่อาจทำอะไรหัวใจอันแข็งแกร่งของหลินชิงเหอได้ “อย่ามาแตะฉันนะ คุณจะนอนก็นอนไปสิ”
“เมียครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยและจุมพิตที่ต้นคอด้านหลังของเธอ
หลินชิงเหอสะดุ้ง “ถ้าคุณทำเกินกว่านี้ อย่าหาว่าฉันทำร้ายร่างกายคุณแล้วกัน!”
“ความคิดที่จะทำธุรกิจของคุณมันไม่เข้าท่าเลย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา คุณจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้นะ” โจวชิงไป๋ยืนกราน
“ฉันบอกไปแล้วนี่คะว่ามีวิธีอยู่ เมื่อไหร่ที่ฉันเจอปัญหา ฉันก็จะล้างมือจากวงการนี้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ฉันลองสักครั้งได้หรือไม่ มันก็แค่การขายเนื้อหมูไม่กี่ชิ้นเองค่ะ จะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน? คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่สถานการณ์นี้เป็นไปแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ ในอนาคตข้างหน้าก็จะเป็นโลกของการค้าขายแล้ว” หลินชิงเหอให้คำยืนยัน
“เรื่องของอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้มันยังทำไม่ได้” โจวชิงไป๋ยังคงยืนกระต่ายขาเดียว
“ชิงไป๋ ให้ฉันลองเถอะนะคะ แค่ครั้งเดียว ถ้ามันไม่ได้ผลฉันก็จะเลิก ถ้าทำได้ คุณจะยอมให้ฉันได้เริ่มต้นมันอย่างราบรื่นได้ไหมคะ” หลินชิงเหอขอร้องอย่างนุ่มนวล
เธอแตะมือทั้งสองบนแก้มและคางที่เต็มไปด้วยตอหนวดเคราของเขา มันให้ความรู้สึกสบายใจและกระตุ้นอารมณ์ไม่น้อย
เป็นเรื่องยากที่โจวชิงไป๋จะได้เห็นภรรยามีท่าทางเชื่องเป็นแมว เขาจึงปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับการเชิญชวนของเธอพอเป็นพิธีก่อนจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น
มือซุกซนของหลินชิงเหอไล้ลงต่ำและกอบกุมจุดยุทธศาสตร์ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ เรื่องนี้ทำให้โจวชิงไป๋ถึงกับตัวเกร็ง แต่อดไม่ได้ที่จะต้องการมากกว่านี้
หลินชิงเหอจึงจัดการสานฝันให้เขา แต่เมื่อถึงกลางทางเธอก็หยุดมือ จากนั้นจึงสลับตำแหน่งกับเจ้ารองและเมินเขาอย่างไม่ไยดี ทำให้คนที่กำลังตื่นตัวเต็มที่อย่างโจวชิงไป๋ถึงกับจวนเจียนจะระเบิดจากบทลงโทษที่ภรรยาใจร้ายของเขามอบให้
ในกลางดึกคืนนั้นเอง เขาก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนกางเกงชั้นในอย่างไม่ต้องสงสัย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งครอบครัวก็ทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้า จากนั้นจึงมุ่งหน้าลงไปในอำเภอด้วยจักรยานของครอบครัว
พวกเขาให้กุญแจบ้านกับท่านแม่โจวและขอให้นางช่วยปรุงอาหารให้หมูที่บ้านทานเมื่อถึงเวลา ซึ่งพวกเขาได้ให้อาหารพวกมันไปแล้วครั้งหนึ่งก่อนที่จะออกจากบ้านไป
ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามต่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้เข้าเมืองพร้อมกับพ่อแม่
เจ้าใหญ่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด ขณะที่หลินชิงเหออุ้มเจ้ารองกับเจ้าสามซ้อนท้าย แล้วทั้งครอบครัวก็เดินทางเข้าไปในตัวอำเภอในสภาพเช่นนี้ด้วยจักรยานคันเดียว
อันดับแรกที่พวกเขาทำคือการถ่ายรูปครอบครัว แต่ด้วยความหลงตัวเอง หลินชิงเหอจึงขอถ่ายรูปเดี่ยวของตัวเองเพิ่มสองรูป โดยที่โจวชิงไป๋ถูกเธอบังคับให้ถ่ายรูปเดี่ยวหนึ่งรูปเช่นกัน ส่วนเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามได้ถ่ายรูปหมู่พี่น้องหนึ่งรูปและรูปเดี่ยวคนละรูป
จากนั้นพวกเขาก็พากันไปดูหนัง
แม้ว่าหนังที่พวกเขาดูจะไม่ใช่หนังที่ดี แต่เจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็ติดงอมแงม ส่วนเจ้าสามหลับไปขณะที่หนังดำเนินไปได้ครึ่งเรื่อง
โจวชิงไป๋อุ้มเขาไว้ เช่นเดียวกับหลินชิงเหอที่ยังดูต่อพร้อมกับเด็กโตสองคน
หลังดูหนังเสร็จ ทั้งครอบครัวก็ออกมาหาอะไรรับประทานที่ภัตตาคาร
เมื่อออกจากภัตตาคารมาได้ เจ้าใหญ่ก็ถึงกับบ่น “เกี๊ยวที่ร้านอร่อยสู้เกี๊ยวที่บ้านเราไม่ได้เลย”
“สู้อาหารที่บ้านเราทำก็ไม่ได้” เจ้ารองพยักหน้า
“มีให้ทานแล้วก็จงพอใจซะ อย่าเรื่องมากนักเลย” หลินชิงเหอพูด เธอซื้อแอปเปิลผลเล็กไปบ้างและไม่ได้ซื้ออะไรอย่างอื่นอีกเพราะวันนี้เธอใช้เงินไปเยอะแล้ว ส่วนรูปถ่ายพวกนั้นก็คงจะมารับได้ภายในสัปดาห์หน้า
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ก่อนอื่นผู้แปลต้องยอมรับว่าตอนแปลถึงบทบรรยายคุณสมบัติของพี่ไป๋นี่กาแฟแทบพุ่ง อา…ชิงเหอ ฉันพอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมหลวมตัวสักที ไก่พี่ไป๋แกตัวใหญ่มากนี่เอง
แต่ชิงเหอคะ…เธอลืมไปแล้วเหรอว่าร่างที่เธออยู่น่ะคลอดลูกมาสามครั้งแล้ว อะไร ๆ มันก็น่าจะยืดหยุ่นตามนะ ไม่ต้องกลัว ๆ เดี๋ยวมันก็จะชินและฟินไปเองค่ะ 555
ท่านผู้อ่านคะ บทปฐมฤกษ์ “เมื่อไหร่ผมจะได้ทานเมียตัวเอง” ของโจวชิงไป๋มันเริ่มตอนนี้เองค่ะ แต่ฟินได้ไม่นานก็ต้องขำก๊าก ทำไมชิงเหอร้ายกาจแบบนี้ ทำให้เขาใกล้จะถึงฝั่งแล้วก็เททิ้งกลางทางเฉย
ชื่อตอนนี้ฟังดูครอบครัวอบอุ่น ใส ๆ ในทุ่งลาเวนเดอร์จังเลย แต่ทำไมเนื้อหากลางตอนมันเร่าร้อนอย่างนี้ล่ะคะ เฮ้อ…จะแปลต่อโดยที่ยังไม่ระเบิดตัวเองเพราะความเขินแล้วกันค่ะ ตอนที่ผู้อ่านหลายท่านรอคอยมันจะมาในเร็ว ๆ นี้แหละ รอติดตามนะคะ
ไหหม่า (海馬)