บทที่ 692 ผลิตเองขายเอง
หลังจากตัดสินใจจะให้พี่รองโจวไปอยู่ที่ปักกิ่ง นอกจากต้องไปคุยกับสะใภ้รองโจวแล้ว ต้องไปถามตัวพี่รองโจวเองด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น โจวชิงไป๋จึงไปหาพี่รองเขาเพื่อคุยเรื่องนี้
พี่รองโจวผงะ “จะทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า ฉันทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง คนแบบฉันจะไปอยู่ที่นู่นได้ยังไง?”
“ไปเรียนไงครับ ไม่มีอะไรที่เรียนไม่ได้หรอก” โจวชิงไป๋บอก
“ไม่ได้ ๆ คนแบบฉันจะไปอยู่เมืองใหญ่แบบนั้นได้ยังไงกัน ค่าใช้จ่ายสูงมากเลยนะ” พี่รองโจวพูดโดยไม่ต้องคิด
โจวชิงไป๋เห็นพี่รองเขาแบบนี้จึงปล่อยให้ภรรยาเขาพูดแทน
หลินชิงเหอยิ้ม “พี่รอง เราให้พี่รองไปอยู่ปักกิ่งไม่ได้จะให้พี่ไปกินฟรีอยู่ฟรีหรอกนะคะ พี่ก็รู้ว่าตอนนี้พวกเราธุรกิจเยอะ และยุ่งมากด้วย ปีหน้าจะสร้างตึกแล้ว ถ้าไม่มีคนกันเองช่วยเฝ้าคงไม่สบายใจแน่ ถ้าพี่เต็มใจไปช่วยเราคิดเงินเดือนให้ปกติ ถึงพี่ขอเงินเดือนสูงฉันก็ให้ไม่ได้หรอกค่ะ ให้พี่เดือนละ 150 หยวน กินฟรีอยู่ฟรีด้วย”
“จะสร้างตึกหรอ?” พี่รองโจวประหลาดใจมาก
“ใช่ค่ะ ตั้งใจจะปล่อยเช่า” หลินชิงเหอพูดเรียบ ๆ “สูงประมาณ 7 ชั้น พี่รองว่าควรมีคนของตัวเองไปเฝ้าไหมคะ”
“ก็ต้องมีน่ะสิ” พี่รองโจวพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ สูงตั้ง 7 ชั้น จะสูงขนาดไหนกันนะ? เขาเคยเห็นตึกรามบ้านช่องของคนในเมืองอยู่ แต่นั่นแค่กี่ชั้นเอง
เขารู้ว่าสองสามีภรรยาเจ้าสี่หมายความว่ายังไง อดถูมือไม่ได้ “แต่ว่านะแม่เจ้าใหญ่ ฉัน….ฉันกลัวว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ภาษาที่นู่นยังพูดไม่เป็นเลย”
“พี่รองอย่าดูถูกตัวเองไปค่ะ พี่ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่มานานแล้วนะ ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ต่างพูดภาษาปักกิ่งได้คล่องเลยค่ะ พวกเขาสองสามีภรรยาเฒ่าอายุเท่าไหร่กันแล้ว? พี่จะสู้พวกเขาไม่ได้เชียวเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ตอนนี้พ่อแม่ก็ชราลงแล้ว บางครั้งพวกเขาก็คิดถึงพี่รองเหมือนกัน คราวก่อนที่เจ้าใหญ่แต่งงาน คุณแม่ยังลากเซี่ยเซี่ยไปถามอยู่เลยว่าไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยวแต่ทำไมพี่ไม่ตามไปด้วย”
พี่รองโจวอดเศร้าใจไม่ได้ ที่จริงเขาอยากไปมาก อยากไปเยี่ยมพ่อแม่เขามาก เขาได้ยินจากเซี่ยเซี่ยตอนกลับมาว่าพ่อแม่แก่มากแล้ว ถึงแม้ชีวิตที่ปักกิ่งจะมีความสุขมาก แต่ตอนเห็นเซี่ยเซี่ย แม่ยังน้ำตาไหล
“ไปเถอะค่ะ ที่ปักกิ่งมีงานเยอะมาก พี่รองไม่ต้องห่วงว่าไปแล้วจะลำบากพวกเรา ฉันสิกลัวว่าถึงตอนนั้นพี่รองจะรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
“แต่ที่นี่ยังมีไร่ตั้งเยอะ” พี่รองโจวเช็ดน้ำตาที่ขอบตา พูดขึ้นอย่างลังเล
“เรื่องนั้นไม่เห็นจะเป็นไร พี่ไปประกาศในหมู่บ้าน รับรองว่าต้องมีคนเยอะแยะเลยที่อยากได้ ไม่ต้องคิดเงินหรอกค่ะ โอนที่ให้คนอื่นปลูกต่อได้เลย” หลินชิงเหอกล่าว
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้คงไปไม่ได้แน่ ๆ เนื่องจากเก็บเกี่ยวหน้าร้อนไปแล้วก็จริง แต่เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงยังรออยู่
เก็บเกี่ยวหน้าร้อนเป็นแค่กำไรเล็ก ๆ เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงสิกำไรก้อนโต ปลูกเมล็ดพันธุ์ลงไร่ไปแล้วด้วย
“เก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงของปีนี้แล้วค่อยไป ถึงตอนนั้นฉันจะให้เจ้าสามมารับพี่รองแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงยังไงฝั่งปักกิ่งยังต้องติดต่อทีมงานรับเหมา แล้วก็แปลนแผนผังของบ้านชาวนาด้วย
พี่รองโจวโล่งอก เขานึกว่าครั้งนี้ต้องตามกลับไปเลย ที่ไร่มีงานอีกตั้งเยอะ โอนออกไปไม่ได้หรอก อีกอย่างอีกไม่นานก็เข้าช่วงเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงแล้ว เขานึกเสียดาย
รอเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วงให้เสร็จก่อนก็ยังดี
แต่พอเขานึกไปถึงภรรยาตัวเอง ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปาก หลินชิงเหอก็พูดขึ้นเอง “ตอนพวกเราไปอำเภอแล้วไปหาเซี่ยเซี่ยกันด้วย และจะบอกพี่สะใภ้รองให้ ถ้าอีกหน่อยพี่รองไม่มีเรื่องให้ใช้เงินที่ปักกิ่ง ฉันให้ที่อยู่ให้ข้าวกิน แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนที่เหลือโอนให้พี่สะใภ้รองหมดเลย พี่ว่าดีไหมคะ”
“ได้ ๆๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็ไม่ต้องเก็บไว้ให้ฉันหรอก ให้หล่อนไปหมดเลย ขอแค่หล่อนไม่ไปก่อกวนเป็นพอ” พี่รองโจวรีบบอก
“ให้หล่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว ที่เหลือพี่รองเก็บไว้เองเถอะค่ะ ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวอยากซื้ออะไรให้พ่อแม่จะไม่มีเงินใช้เอา ไหนจะพั่งพั่งอีก กำลังน่ารักเลยค่ะ รอให้เขาได้เจอตาของเขา ต้องแบมือขอค่าขนมกับตาแน่” หลินชิงเหอเอ่ย
พี่รองโจวหัวเราะ
และเรื่องนี้จึงตกลงตามนี้ไปก่อน
สะใภ้ใหญ่โจวรู้แล้วยังประหลาดใจ แต่ก็ดีใจ “ไปอยู่ปักกิ่งก็ดี สภาพแวดล้อมที่นั่นบำรุงคนดี” แต่ถามเรื่องงานอย่างลังเลขึ้นมา
หลินชิงเหอบอก “ไปนู่นแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องห่วงว่าพี่รองจะเป็นภาระพวกเราหรอกค่ะ งานเยอะมาก”
ลำพังแค่บ้านชาวนาก็ต้องสร้างตั้งหลายหลัง ปีสองปีนี้ไม่ได้อยู่เฉยหรอก
รอให้บ้านชาวนาขึ้นจนใกล้เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาพัฒนาฟาร์มใหญ่แถบชานเมือง พอฟาร์มเข้าที่เข้าทางแล้ว พี่รองโจวไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีอะไรทำ
ทำงานในไร่ในนามาแล้วทั้งชีวิต ให้เขาเป็นคนดูแลฟาร์มนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
เห็นว่าหลินชิงเหอวางแผนไว้หมด สะใภ้ใหญ่โจวก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ก็ยินดีกับพี่รองโจวจากใจจริง
อย่างไรเสียไปอยู่ที่ปักกิ่งก็ไม่แย่กว่าอยู่ที่บ้านหรอก
เจ้าใหญ่โจวข่ายและเจ้ารองโจวเฉวี่ยนกลับมาไล่เลี่ยกัน เพิ่งถึงตอนค่ำ ทั้งสองยืมมอเตอร์ไซค์ของน้าเล็กและขับตรงกลับมาบ้าน
แต่ต้องยอมรับเลยว่า สองพี่น้องนี้กลับมาบ้านที เหล่าเด็กสาวคุณนายทั้งหลายต่างเขินอายที่ได้เจอ
แม่ของไฉ่ปาเม่ยหรือป้าไฉ่รู้สึกเสียดายสุด ๆ นางหมายตาเจ้าใหญ่ไว้นานแล้ว คิดว่าโตไปไม่แย่แน่เลยอยากหมั้นหลานสาวตัวเองไว้กับเขา ให้หมั้นกันแต่เด็กไว้เลย นางเคยยัดไข่ไก่ให้เจ้าใหญ่ไม่น้อย
แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ถึงแม้คนที่หลานสาวแต่งงานด้วยตอนนี้ก็ไม่เลว แต่หลานเขยของนางเทียบกับโจวข่ายไม่ได้หรอก
“แต่ละคนได้ดีกันหมดแล้ว เด็กหนุ่มแบบนี้ใครเห็นก็ต้องอิจฉา เธอนี่สอนลูกเก่งจริง ๆ เลยนะชิงเหอ” ป้าไฉ่กล่าว
หลายปีมานี้นางเองก็แก่ขึ้นเยอะ แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่
หลินชิงเหอยิ้ม “โตกันหมดแล้ว ได้ดีด้วยตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ”
ขณะนั้นเสียงของโจวตงก็ดังเข้ามา เขากำลังคุยอยู่กับพวกเจ้าใหญ่
ป้าไฉ่พูดขึ้น “โจวตงซื้อของกินกลับมาเยอะเลยล่ะ คืนนี้ต้องไปกินที่บ้านนู้น”
แม้ว่าบรรดาลูกชายจะไม่ค่อยลงรอยกับลูกเขยเพราะเรื่องร่วมทุน แต่นางในฐานะแม่ยายถือว่ายุติธรรมมาก ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างลูกชายตัวเอง
เดิมทีก็เป็นความผิดของลูกชายตัวเองอยู่แล้ว ที่ให้ครอบครัวภรรยาตัวเองเข้ามาวุ่นวายด้วย
ตอนนี้ลูกเขยออกไปทำเองก็ทำได้ดีมีผลงาน กลับเป็นลูกชายสองคนของนางนี่สิ ไม่จบไม่สิ้นเพราะครอบครัวภรรยาตัวเองเข้ามาวุ่นวาย
แต่ป้าไฉ่ขี้เกียจยุ่ง นางพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ไม่ใช่ว่าแช่งหรอก แต่ฟาร์มไก่นั่นไม่น่าจะเปิดรอด
“งั้นเราไปกินมื้อใหญ่ที่บ้านโจวตงกันค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม
ตอนกลางคืนจึงมากินข้าวที่บ้านโจวตงกัน โจวตงเตรียมอาหารมือใหญ่ไว้ให้จริง ๆ และขอความคิดเห็นจากหลินชิงเหอด้วย
หลินชิงเหอจึงแนะนำให้เขาผลิตเองขายเอง
………………………………………………