บทที่ 86 แม่ดีเด่นแห่งหมู่บ้าน
หลินชิงเหอกล่าวกับสามีแล้วก็ยักย้ายส่ายสะโพกจากไป จากนั้นก็นั่งตัดเนื้อพุทราจีนต่อด้วยกรรไกรเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ และโยนเมล็ดทิ้ง ก่อนจะนำเนื้อพุทราที่ตัดได้ไปทำหมั่นโถวพุทราจีน
ส่วนเรื่องท่านแม่โจวนั้น ต่อให้หญิงสาวจะแสดงออกไปว่ารับรู้แล้ว แต่ในใจเธอก็ไม่ยอมรับ
พวกเขาแยกครอบครัวกันแล้ว ดังนั้นต่อให้นางเป็นห่วงครอบครัวเธอ มันก็ควรจะมีขอบเขตกันบ้าง การที่นางคอยมาค่อนแคะเป็นประจำแบบนี้มันจะไม่อึดอัดได้อย่างไร?
หากเป็นคนที่เอาแต่มองโลกในแง่ดี บางทีพวกเขาคงไม่คิดแบบนั้นแล้วก็จะรู้สึกซาบซึ้งต่อท่านแม่โจวที่นางคอยเป็นห่วงเป็นใยเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ
แต่หลินชิงเหอไม่ขอรับความกรุณาแบบนั้นหรอก
เธอเป็นนายหญิงของบ้านและทำตามที่เธออยากทำ หากมีอะไรผิดพลาด โจวชิงไป๋เป็นคนเดียวที่ชี้จุดต้องแก้ไขให้เธอได้ แต่ถ้าเป็นคนนอกแล้วอย่าหวัง
นี่คือขีดความอดทนสูงสุดของเธอในฐานะหัวหน้าครอบครัว
ดังนั้นในวันต่อมา เธอก็ไม่ได้ส่งของอร่อยอะไรก็ตามที่เธอทำในบ้านไปให้บ้านตระกูลโจวเลย
“วันนี้ผมบังเอิญเดินผ่านไป แล้วก็เห็นเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ กำลังกินหมั่นโถวกันอยู่ แถมพวกเขาพูดกันว่ามันเป็นหมั่นโถวพุทราจีนที่อร่อยมาก ๆ ด้วยนะครับ” พี่ชายรองบ้านโจวเอ่ยขึ้น
เขาไม่ได้คิดจะหย่อนระเบิดอะไรหรอก แค่แสดงความคิดเห็นเฉย ๆ
ท่านพ่อโจวฟังแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ ขณะที่ท่านแม่โจวเงียบไป
“ฉันคิดว่าพวกเขาคงทำไว้ไม่มากแล้วก็เป็นของทานเล่นใหม่สำหรับเจ้าใหญ่และน้อง ๆ น่ะค่ะ” สะใภ้สามเอ่ยขึ้น
“ทำไมพวกเขาถึงไม่ส่งของทานเล่นใหม่มาให้คุณพ่อกับคุณแม่บ้างล่ะคะ” สะใภ้รองเลิกคิ้ว
“พวกเขาแยกตัวจากเราแล้ว จะอยู่จะกินอะไรก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้วล่ะ” สะใภ้ใหญ่ยิ้ม
หลังทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็กลับห้องของตัวเอง พี่ชายสามตระกูลโจวถึงกับตั้งคำถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณ?”
“ก็สะใภ้รองน่ะสิคะ หล่อนไปยุแยงคุณแม่ว่าสะใภ้สี่ให้ของกับน้องชายสามของเธอ คุณแม่ก็เลยไม่พอใจไปเตือนเธอเข้า ทำให้นับจากนั้นเธอไม่แบ่งอะไรให้ผู้ใหญ่เลย” สะใภ้สามแค่นเสียง
“หือ พวกเขาย้ายครอบครัวออกไปแล้วนี่ สะใภ้สี่จะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้วนะ คุณแม่ไปวิจารณ์หล่อนเพื่ออะไรกัน?” พี่ชายสามเอ่ย
“คุณแม่น่ะรักใคร่น้องเขยสี่อยู่เสมอ แล้วตอนนี้ภาระครอบครัวทั้งหมดก็ตกบนบ่าของเขา คุณแม่ย่อมไม่เห็นด้วยที่สะใภ้สี่เอาของกินของใช้ไปให้ครอบครัวฝั่งแม่ของเธอหรอกค่ะ” สะใภ้สามชี้ประเด็น
พี่ชายใหญ่เองก็ถกเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ใหญ่ในทันทีที่กลับเข้ามาในห้องเช่นกัน
“สะใภ้รองหาเรื่องชัด ๆ ทำไมหล่อนถึงไปพูดเรื่องนี้กับคุณแม่กันนะ” สะใภ้ใหญ่กล่าว
“คุณแม่เองก็ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องเหมือนกัน เรื่องไหนที่ท่านอยากรู้ก็ต้องรู้ให้ได้ ครอบครัวนั้นแยกตัวจากเราไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับบ้านนี้ แล้วทำไมท่านถึงยังไปจุ้นจ้านกับคนบ้านนั้นอีก?” พี่ชายใหญ่เสริม
“ใครจะไปรู้ล่ะคะ” สะใภ้ใหญ่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
ส่วนทางด้านสะใภ้รองก็มอบรางวัลให้พี่ชายรองด้วยการกอดและจูบในทันทีที่เข้ามาในห้อง แต่พี่ชายรองกลับมองหล่อนด้วยสายตารังเกียจ “คุณทำอะไรน่ะ?”
“อะไรกันคะ คุณรังเกียจฉันเหรอ?” สะใภ้รองจ้องเขม็งในทันที
พี่ชายรองเบ้ปากพลางคิดในใจ ‘ถ้าคุณเป็นเหมือนสะใภ้สี่ผมก็คงยอมจูบด้วยล่ะ แต่ดูหน้าคุณตอนนี้สิ จะไปเทียบกับสะใภ้สี่ได้อย่างไร’
พูดตามตรงก็คือเมื่อบรรดาผู้ชายทั้งหลายพูดกันในที่ลับ พวกเขาก็มักจะคุยกันเกี่ยวกับสะใภ้สี่ แน่นอนว่าเขาเองก็นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรกับคนเหล่านั้น
พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องชายสี่บ้านโจวช่างโชคดีเหลือเกิน
พี่ชายรองเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าน้องชายสี่ของเขาช่างโชคดี
เห็นไหมว่าภรรยาของน้องชายสี่ดูแลสามีของหล่อนดีขนาดไหนหลังจากที่เขากลับมาที่บ้าน? ได้ยินว่าหล่อนมีความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหารอย่างมากเลยทีเดียว
เขาเองก็เห็นมากับตาในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูร้อน อาหารกลางวันที่ครอบครัวนั้นกินมีซาลาเปาไส้หมู หรือไม่ก็ชุนปิ่งหรือเกี๊ยวทอด แย่สุดคือหมั่นโถวข้าวโพด
แต่มันก็ยังบรรจุมาในกล่องอาหารของน้องชายสี่พร้อมกับข้าวที่เต็มไปด้วยเนื้อนานาชนิด
หลังการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนอันวุ่นวายสิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่น้องชายสี่จะไม่ผ่ายผอมลงเหมือนคนอื่น ๆ แต่ยังได้รับการบำรุงอย่างดีจนเห็นได้ชัด เรื่องนี้ทำให้พี่ชายอย่างเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมา
“ฉันพูดอยู่นะคะ คุณคิดอะไรอยู่?” สะใภ้รองเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก ผมจะคิดอะไรได้ล่ะ” พี่ชายรองถอนหายใจ “ผมแค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ครอบครัวเราจะได้ทำของกินอร่อย ๆ กันสักที?”
เขาเดินผ่านบ้านของน้องชายสี่เมื่อใดก็รู้สึกอยากเข้าไปร่วมวงอาหารด้วยจริง ๆ แต่เมื่อเห็นเด็ก ๆ มากมายมามุงรอบ ๆ เพราะกลิ่นหอมหวานของหมั่นโถวพุทราจีนที่เด็กชายทั้งสามได้ทานแล้วในที่สุดเขาก็รู้สึกกระดากเกินกว่าที่จะเข้าไป
“คุณแม่ของพวกเราอยู่อย่างมัธยัสถ์นะคะ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่วันสำคัญอะไรด้วย ดังนั้นเลิกคิดเถอะค่ะ” สะใภ้รองโบกมือ
ในตอนนี้เองลูกชายของพวกเขาก็เข้ามาในห้องและบอกว่าเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ได้ทานของอร่อยอีกแล้ว เขาเองก็อยากทานด้วยเหมือนกัน
ลูกชายของสะใภ้รองมีชื่อว่าโจวเซี่ย เขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้ารองและแก่กว่าโจวหยางที่เป็นลูกชายของสะใภ้ใหญ่ เนื่องจากสะใภ้ใหญ่มีแต่ลูกสาวก่อนที่จะให้กำเนิดเขา
“แกอยากกินงั้นเหรอ? ทำไมไม่ไปเป็นลูกชายของบ้านนั้นซะเลยล่ะ” สะใภ้รองดุ
“ได้เหรอครับ?” ดวงตาของโจวเซี่ยเป็นประกายมากกว่าเดิม
พี่ชายรองได้ยินก็หัวเราะ “ลูกเอ๋ย ลูกไม่ได้มีชีวิตแบบนั้นนะ เราทานข้าวโพดจี่ที่บ้านเรากันดีกว่า”
สีหน้าของผู้เป็นลูกชายหมองลงในทันที
เขาอยากเป็นลูกชายของคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่จริง ๆ
เจ้าใหญ่ได้กินอาหารอร่อย ๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือบะหมี่หรือหมั่นโถวขาว แถมพวกเขายังได้กินลูกอมกระต่ายขาว นมผงรสมอลต์ แล้วก็แตงโมลูกยักษ์ด้วย!
ชีวิตของพวกเขาช่างสุขสำราญเหลือเกิน เขาอยากเป็นลูกชายของคุณอาบ้างจังเลย
ไม่ใช่โจวเซี่ยคนเดียวที่อิจฉาชีวิตของเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ โจวหยางที่เป็นลูกชายของสะใภ้ใหญ่ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เช่นเดียวกับโจวอู่นีที่เป็นลูกสาวของสะใภ้สาม
นี่แค่เฉพาะเด็ก ๆ ในบ้านตระกูลโจว แต่ยังมีเด็กจำนวนมากในหมู่บ้านอีก ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครล่ะจะไม่รู้สึกอิจฉา?
พวกเขาได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าแม่ของเจ้าใหญ่ไม่รู้จักใช้ชีวิต แต่ตัวพวกเขาเองกลับรู้สึกว่าไม่มีแม่คนไหนบนโลกที่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมเหมือนแม่ของเจ้าใหญ่และน้อง ๆ อีกแล้ว
ถ้าหล่อนได้เป็นแม่ของพวกเขามันจะดีแค่ไหนนะ?
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าเธอได้กลายเป็นแม่ในอุดมคติของเด็ก ๆ ทั่วทั้งหมู่บ้านไปแล้ว
ครั้งนี้เธอแค่ทดลองทำหมั่นโถวพุทราจีนเท่านั้น แต่ไม่คิดว่ามันจะออกมารสชาติดีขนาดนี้จนเธอรู้สึกชอบ
พุทราจีนไม่ได้มีราคาถูกเลย แต่ถ้าซื้อของล็อตใหม่ที่กำลังจะออกขายคงจะได้ถูกกว่ามาก ถึงตอนนั้นเธอคงซื้อมามากขึ้นแล้ว เพราะครั้งนี้เธอไม่เคยคิดทำหมั่นโถวพุทราจีนมาก่อนจริง ๆ
ทันทีที่โจวชิงไป๋กลับมาจากการทำงาน เขาก็ไปจับปลาไหลนา ปลาหนีชิว ปลาชนิดอื่น ๆ และกุ้ง แม้แต่หอยทากเขาก็ยังจับมา ภรรยาของเขามีทักษะการปรุงอาหารเป็นเลิศ ของเหล่านี้คงจะกลายเป็นอาหารเลิศรสฝีมือภรรยาของเขาได้
“ถ้าคราวหน้าฉันเข้าไปในตัวอำเภออีก ฉันจะซื้อเหล้าเหมาไถให้ขวดหนึ่งนะคะ ถ้าทานอาหารแบบนี้กับเหล้าเหมาไถด้วยมันคงจะทำให้คุณมีความสุขขึ้น” หลินชิงเหอเอ่ยกับโจวชิงไป๋ขณะที่กำลังผัดหอยทากอยู่
โจวชิงไป๋ได้ฟังก็ยิ้มกว้าง “คราวหน้าคุณซื้อเหล้ากลับมาขวดหนึ่งแล้วเรามาดื่มด้วยกันดีไหม?”
“ได้ค่ะ” หลินชิงเหอยักคิ้ว
ปลาไหลในช่วงฤดูนี้มีเนื้อตัวอ้วนพีและรสชาติอร่อยมาก ที่สำคัญคือมันเป็นปลาไหลที่ได้จากธรรมชาติจึงอุดมด้วยสารอาหารจำนวนมาก หากโจวชิงไป๋ไม่ได้อ่อนแรงจากการทำไร่ทำนา หลินชิงเหอก็จะให้เขาไปจับปลาไหลมาทุกวัน
“วันพรุ่งนี้คุณไปจับปลาหนีชิวนะคะ จะได้เอาไปแลกกับกากถั่วเหลือง จากนั้นคุณก็ขอเต้าหู้มาด้วย ฉันจะทำเต้าหู้ทอดน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“ได้เลย” โจวชิงไป๋พยักหน้า
ชีวิตที่บ้านสุขสบายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหลินชิงเหอจะพาเจ้ารองกับเจ้าสามเข้าไปในอำเภอหลังจากนั้นอีกเจ็ดหรือแปดวัน
ต้องบอกว่าสองพี่น้องกลายเป็นเด็กฉลาดขึ้นทุกวันหลังได้ติดตามหลินชิงเหอไปด้วย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วุ่นกันทั้งอำเภอเพราะเธอคนเดียวเลยนะสะใภ้รอง รู้ตัวไหมคะเนี่ย
เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ มีชีวิตที่น่าอิจฉาจริง ๆ ค่ะ ได้กินของอร่อยฝีมือแม่ทุกวันเลย
ปล. อ้าว…พ่อคิดจะมอมเหล้าแม่เหรอคะ พ่อได้กินแม่เกือบทุกวันแล้วยังไม่อิ่มอีกเหรอคะเนี่ย
ไหหม่า (海馬)