เล่มที่ 1 ตอนที่ 9 เคะเพื่อนบ้านกับเมะที่เก็บได้จากข้างถนน 09
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์เรื่องยาในช่วงฤดูใบไม้ผลิครั้งนั้นก็ทำให้หร่านซวี่จือไม่กล้าสบตากับพระเอกโดยตรง
อย่างไรก็ตาม สำหรับชายแท้แล้วสถานการณ์เช่นนี้นำมาซึ่งแรงกระทบกระเทือนที่ค่อนข้างหนักหนา แต่ทว่าเว่ยหมิ่นกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ไม่รู้ว่าหร่านซวี่จือคิดไปเองหรือไม่ นับตั้งแต่ผ่านพ้นเรื่องนั้นไป การบังเอิญเจอกันของเขากับเว่ยหมิ่นก็บ่อยจนแทบจะเทียบกับสถิติของผู้โดยสารที่เจอเข้ากับแท็กซี่พอดีอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนเช้าวันอาทิตย์ หร่านซวี่จือกับไป๋เสี่ยวอวิ๋นกำลังยืนพิงหน้าต่างสนทนากัน เมื่อสายตาของหร่านซวี่จือเหลือบไปเห็นตรงมุมตึกที่ปรากฏร่างของพระเอกซึ่งกำลังเดินขึ้นมา เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวลากับไป๋เสี่ยวอวิ๋น จากนั้นก็คิดจะวิ่งหนี
เว่ยหมิ่นที่กำลังขึ้นตึกเห็นเงาใครบางคนกำลังจะหนีก็รีบจ้ำอ้าวเข้ามาคว้าคอเสื้อของหร่านซวี่จือไว้แล้วถามว่า “ทำไมเห็นฉันแล้วต้องหนีด้วย? ”
น้ำเสียงของเว่ยหมิ่นนั้นโมโห ส่วนหร่านซวี่จือเองก็รู้สึกว่าท้ายทอยตนเองนั้นแทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็งก้อนแล้ว
“ทำไมต้องหลบหน้าฉัน? การมีตัวตนของฉันมันสร้างความลำบากใจให้นายขนาดนั้นเลยหรือ? ” เว่ยหมิ่นถามอย่างไม่เกรงใจ
หร่านซวี่จือยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วพูดว่า“ไม่มีอะไร ฉันแค่ไม่อยากรบกวนนายกับไป๋เสี่ยวอวิ๋นก็เท่านั้นเอง”
ขณะที่พูดก็สังเกตระดับความคืบหน้าเหนือศีรษะเว่ยหมิ่นไปพลาง
นี่มันบ้าอะไรกัน! ทำไมไม่เพิ่มแต่กลับลดลงเนี่ย!
“นายถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นมากหรือ?” เพียงคำพูดเดียวของเว่ยหมิ่นกลับตรงเข้าประเด็นเลยทันที
ไป๋เสี่ยวอวิ๋นยืนงงอยู่ข้างๆ ถามว่า “พวกนายกำลังพูดอะไรกันอยู่? เรื่องวันนั้น? ”
หร่านซวี่จือเริ่มโมโหเพราะท่าทีของเว่ยหมิ่น
หร่านซวี่จือพูดขึ้น “ไร้สาระ! จะไม่ถือสาได้อย่างไรกัน! ”
เว่ยหมิ่นก็ตอบว่า “ก็ฉันไม่ถือสานี่นา! ”
หร่านซวี่จือตอบไปอีกว่า “นั่นเป็นเพราะว่านายไม่ได้ชอบฉัน! นายเห็นฉันเป็นแค่คู่ขาร่วมเตียงก็แค่นั้นแหละ! ”
เว่ยหมิ่น “??? ”
เว่ยหมิ่นพูดขึ้นมาว่า “ใครบอกว่าฉันเห็นนายเป็นคู่ขาของฉันกัน! ”
พอพูดจบเว่ยหมิ่นก็คว้าคอเสื้อของหร่านซวี่จือไว้แล้วประทับริมฝีปากลงไป
หร่านซวี่จือเหมือนถูกฟ้าผ่าจนเกรียมนอกสุกใน ส่วนไป๋เสี่ยวอวิ๋นเองก็เหวอจนคางห้อย
มีเพียงระบบที่แจ้งเตือนตามหน้าที่ด้วยความดีใจ
ระบบ: “ยินดีกับคุณรันด้วยครับ ระดับความสุขของพระเอกเพิ่มขึ้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ได้รับแต้มสะสมห้าร้อยแต้ม กรุณาพยายามต่อไปนะครับ”
หร่านซวี่จือแข็งทื่อกลายเป็นหิน เขารู้สึกว่าทัศนคติสามด้านของตนเองที่เพิ่งจะก่อตัวคืนเป็นรูปเป็นร่างต้องมาพังทลายอีกรอบ คำพูดนี้ฟังดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสารมากมาย
นี่มันบ้าอะไรกัน! ทำไมพระเอกถึงชอบเขา!!! ทำไม! หรือเพราะว่าเรื่องในคืนนั้นงั้นหรือ???
หร่านซวี่จือร้องอุทาน
ไป๋เสี่ยวอวิ๋นยืนเขินอายอยู่ด้านข้างพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ขออวยพรให้พวกนายมีความสุขนะ”
หร่านซวี่จือ “หยุดก่อน! ระบบ! อธิบายหน่อยสิ! นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ไป๋เสี่ยวอวิ๋นน่าจะชอบพระเอกไม่ใช่หรือ? ”
ระบบ: “คุณรันอย่าเพิ่งใจร้อนครับ ความยากของโลกนี้ไม่มากนัก ดังนั้นพระเอกจึงถูกพิชิตใจได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งวิธีการที่ทำให้สำเร็จนั้นมีหลากหลาย คุณรันนั้นค้นพบหนึ่งในวิธีแล้ว ยินดีด้วยครับ”
หร่านซวี่จือ “…”
นี่มันเนื้อเรื่องบ้าบออะไรกัน
หลังจากที่เว่ยหมิ่นสารภาพรักกับเขา วันต่อมาก็หายสาบสูญ ไป๋เสี่ยวอวิ๋นจึงร้องไห้โฮมาหาหร่านซวี่จือเพื่อที่จะมาบอกว่าเพราะหร่านซวี่จือไม่ตอบรับเขาดังนั้นเว่ยหมิ่นจึงหนีออกจากบ้านไปใช่หรือเปล่า
หร่านซวี่จือทำท่าว่าตนนั้นโดนใส่ความ เขาไม่ได้ปฏิเสธพระเอกสักหน่อย! ทั้งที่พระเอกจูบตนเองแล้วจากนั้นก็หน้าแดงก่ำวิ่งจากไปเอง!!!
ส่วนเรื่องที่หายตัวไปอย่างกะทันหันนั้นก็น่าจะเป็นเพราะเว่ยหมิ่นฟื้นคืนความจำเรื่องสถานะของตนเองแล้ว จึงกลับไปหาพ่อกับแม่
หร่านซวี่จือ: “ระบบ ระดับความคืบหน้าของพระเอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ”
ระบบ: “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยินดีกับคุณรันด้วยครับ”
หร่านซวี่จือ: “อืม ดีมาก”
หลังจากผ่านไปจนไม่สามารถนับวันได้ พระเอกก็ยังไม่ได้กลับมา ระบบเองก็ไม่ได้แจ้งเตือนให้เขาสามารถกลับโลกปัจจุบันได้
หร่านซวี่จือจึงเอ่ยด้วยความสงสัย: “สองสามสาม ระดับความคืบหน้าของพระเอกยังไม่เต็มอีกหรือ? ”
ระบบ: “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยินดีกับคุณรันด้วยครับ”
หร่านซวี่จือ: “…คงเพราะเรื่องราวมากมายที่บ้านยังจัดการไม่แล้วเสร็จ”
หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน หร่านซวี่จือก็เริ่มท้อแท้: “สองสามสาม! ระดับความคืบหน้าของพระเอกยังมีแค่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใช่ไหม! ”
ระบบ: “คุณรันฉลาดล้ำมากครับ ยินดีด้วย”
ยินดีบ้านแกสิ
หร่านซวี่จือที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจก็ได้ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปดูสถานการณ์ที่บ้านของเว่ยหมิ่น นี่มันผ่านมาเกือบสองปีแล้ว กลับไม่มีข่าวคราวจากเว่ยหมิ่นเลย หากไม่ใช่ว่าภารกิจยังไม่ล้มเหลว หร่านซวี่จือก็คงคิดว่าพระเอกเสียชีวิตที่นั่นไปแล้วหรือเปล่า
ครอบครัวของเว่ยหมิ่นอยู่ที่เมืองเอส หร่านซวี่จือใช้เวลาสองชั่วโมงในการบินไปที่นั่น หลังจากลงเครื่องแล้วก็โทรหาเว่ยหมิ่นทันที
“ตายไปหรือยัง? ” เมื่อปลายสายรับโทรศัพท์ หร่านซวี่จือก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
เสียงของเว่ยหมิ่นนั้นดูแปลกใจเล็กน้อย ทว่าในความแปลกใจก็มีความกระวนกระวายปนอยู่ด้วย “หร่านซวี่จือ? ”
“ฉันเอง” หร่านซวี่จือถือกระเป๋าสัมภาระออกมา “นายอยู่ไหน? ฉันมาเยี่ยมนายน่ะ”
“นาย…” เว่ยหมิ่นชะงักไปชั่วครู่ เหมือนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนทางนั้น “นายยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับไปไหนนะ”