บทที่ 92 ได้เนื้อมาก็กิน
หลังธัญพืชส่วนสุดท้ายได้รับการเก็บเกี่ยวและถูกส่งให้กับทางรัฐ การแจกจ่ายอาหารรอบสุดท้ายก็เริ่มต้น
จากนั้นการปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวก็เริ่มต้นอีกครั้ง และฝ่ายผลิตก็ประกาศว่างานเสร็จสิ้นแล้ว
ในตอนนี้เองก็มีการเชือดหมูและชำแหละแจกจ่ายเนื้อหมู ขณะเดียวกันคนที่เลี้ยงหมูในหมู่บ้านก็ต้องส่งหมูให้กับทางฝ่ายผลิต
หมูของครอบครัวอื่นมีน้ำหนักราว 70 ถึง 80 ชั่งเป็นอย่างมาก แต่หมูทั้งสองของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มีน้ำหนักอย่างน้อยราว 200 ชั่งต่อตัว ดังนั้นหมูสองตัวจึงมีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 400 ชั่ง
เมื่อหมูสองตัวนี้ถูกพาออกจากเล้า มันก็สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งหมู่บ้านโจวเจี่ย
พวกเขาทั้งหมดจึงกรูเข้าไปถามโจวชิงไป๋ว่าเลี้ยงหมูอย่างไรถึงทำให้หมูตัวอ้วนพีได้ขนาดนี้?
โจวชิงไป๋จึงบอกไปอย่างไม่ปิดบัง มีผักขม ซากถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง แล้วก็ข้าวโพดบด
ส่วนผสมสามอย่างแรกยังพอรับได้ แต่พอได้ยินว่ามีข้าวโพดบด คนทั้งหลายก็ตกใจ
อะไรนะ เลี้ยงหมูด้วยข้าวโพดบดเหรอ?
พวกเขาไม่มีโอกาสได้กินข้าวโพดบดด้วยซ้ำ แล้วจะเอามาใช้เลี้ยงหมูได้อย่างไร
โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่ต้องเป็นความคิดจากภรรยายอดแย่ของเขาแน่
หลินชิงเหอชินกับคำตำหนิเช่นนี้ไปแล้ว เมื่อโจวชิงไป๋อยากจะบอกว่าพวกเขาเคยเลี้ยงหมูด้วยวิธีนี้แต่ตอนนี้ไม่ได้เลี้ยงแบบนี้แล้ว หญิงสาวก็ห้ามไว้ เธอบอกว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พวกเขาอยากจะเชื่ออย่างไรก็ปล่อยให้เชื่อไป
แต่หมูสองตัวนี้ที่มีน้ำหนักมากเกินกว่าหมูอ้วนตามเกณฑ์ปกติทั้งห้าตัวก็ได้กลายเป็นเป้าสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการเลี้ยงหมูครั้งนี้จะไม่ขาดแต้มค่าแรงแน่ ที่สำคัญมากกว่านั้นคือคนทั้งหมู่บ้านได้เตรียมลับมีดรอแล้ว
เนื่องจากหมูของครอบครัวอื่นรวมถึงฝ่ายผลิตไม่ได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ขนาดนั้น พวกเขาจึงต้องการเชือดหมูสองตัวนี้เพื่อแจกจ่ายให้กับทุกคน ได้หมูอ้วนพีมาแบบนี้แล้ว พวกเขาก็จะมีมันหมูสำหรับเจียวทำน้ำมันหมูในปริมาณมากอย่างแน่นอน!
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากทุกคน เลขาธิการสาขาของหมู่บ้านก็ให้สัญญาณเชือดหมู คนอื่น ๆ รีบพุ่งไปประจำหน้าที่ทันที
การแจกจ่ายเนื้อหมูแบบครั้งนี้จะจัดขึ้นอีกครั้งก่อนถึงวันปีใหม่ มันยังมีหมูในฟาร์มเหลือสำรองสำหรับคอมมูนอีกเป็นจำนวนมาก
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยนัก ทุกคนจึงได้กินของดีกว่าเดิม
เมื่อหมูของครอบครัวพวกเขาถูกเชือด โจวชิงไป๋ก็ขอหัวหมู ลำไส้หมูท่อนหนึ่ง กระเพาะหมู หางหมู มันหมู 5 ชั่ง ซี่โครงใหญ่ 8 อัน และเนื้อติดกระดูก นอกจากนี้เขายังได้เนื้อสามชั้นกับเนื้อแดงล้วนอย่างดีมาส่วนหนึ่งด้วย
เนื้อส่วนที่นิยมทานและถือว่าเป็นเนื้อชั้นดีในยุคนี้คือเนื้อติดมัน รองจากนั้นก็เป็นเนื้อสามชั้นติดตะโพก และหัวหมู
ส่วนลำไส้ใหญ่ กระเพาะหมู และลำไส้เล็กนั้นไม่ถูกนับรวม และเนื้อแดง เนื้อซี่โครง เนื้อติดกระดูก ก็ไม่ใช่เนื้อส่วนที่นิยมทานกันนัก พวกมันจึงมีราคาถูก
แม้มันจะดูมาก แต่ความจริงแล้วมันก็ยังสัมพันธ์กับแต้มค่าแรงที่เขาได้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นหมูตัวใหญ่อ้วนพีสองตัวนี้ครอบครัวเขาเป็นคนเลี้ยง จึงไม่มีปัญหาอะไรที่เขาจะได้รับส่วนแบ่งก่อน โดยที่คนอื่นในหมู่บ้านไม่อาจว่าอะไรได้
ต่อให้มีคนจำนวนมากหมายตาหัวหมูหัวใหญ่อยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าค้านเมื่อโจวชิงไป๋คว้ามันไป
“สะใภ้สี่ ทำไมถึงไม่ให้น้องเขยขอมันหมูมากกว่านี้ล่ะ? เนื้อนั่นดีกว่าตรงไหนเหรอ?” สะใภ้ใหญ่กระซิบถาม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราควรเหลือไว้ให้คนอื่นบ้าง” หลินชิงเหอตอบ
“แม่เจ้าใหญ่ช่างใจกว้างจริง ๆ” ป้าสะใภ้หวงที่เป็นเพื่อนบ้านได้ยินแล้วก็ถึงกับเอ่ยชมเธอ
“ป้าสะใภ้หวงพูดอะไรน่ะคะ? ถ้าหล่อนใจกว้างจริง ทำไมหนูถึงไม่เห็นหล่อนทำงานในทุ่งนาเลยล่ะ” หวังหลิงหัวเราะคิกคัก
“ถ้าฉันไปทำงานในทุ่งนา แล้วเธอจะยังได้เนื้อดี ๆ จากหมูของครอบครัวฉันอยู่ไหมล่ะ? รู้ไหมว่ามันยากลำบากขนาดไหนกว่าจะเลี้ยงมันจนอ้วนพีได้ขนาดนี้? มีให้กินก็หุบปากซะนะ ไม่มีใครเห็นเธอเป็นใบ้หรอกหากว่าเธอไม่ได้พูดน่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า
ใบหน้าของหวังหลิงคล้ำลงทันที
หลินชิงเหอยิ้มเหยียดให้ เมื่อเป็นเรื่องทะเลาะทุ่มเถียงกันแล้วเธอก็ไม่กลัวหรอก ถ้าหล่อนมีความสามารถนักก็เข้ามาเลย!
ความจริงก็คือหวังหลิงไม่กล้าเข้าไปหาเรื่อง หล่อนจึงหันกลับมาคุยกับสะใภ้รอง สะใภ้รองถึงกับเหลือบชายตามองหลินชิงเหอ แต่เธอก็ไม่สนใจ
ทันทีที่โจวชิงไป๋จัดสรรเนื้อเสร็จแล้ว เธอก็ตามเขากลับไปพร้อมกับเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสาม
“แม่ครับ ปีนี้ครอบครัวเราได้เนื้อหมูมาเยอะเลย เราทำลูกชิ้นหมูได้ไหมครับ?”เจ้าใหญ่ถาม
เจ้ารองเองก็มองแม่ของเขาอย่างคาดหวัง
เขายังจำได้ถึงความอร่อยของลูกชิ้นหมูทอดเมื่อปีที่แล้วได้อยู่เลย
เจ้าสามยังเด็กนัก แต่เขารู้จากพี่ใหญ่กับพี่รองที่บอกว่ามันอร่อย เด็กชายเลยหันมาบอกแม่ “แม่ ลูกชิ้น”
“ก็ได้จ้ะ” หลินชิงเหอกำลังอารมณ์ดีจึงเห็นด้วยในทันที
แค่ลูกชิ้นหมูจะไปยากอะไร? อยากกินก็กินสิ ในเมื่อที่บ้านมีเนื้อหมูตั้งมากมายขนาดนี้
หลังกลับถึงบ้าน หลินชิงเหอก็ให้โจวชิงไป๋ล้างไส้หมู ของพวกนี้คือของที่เขาอยากกินเอง เธอทนกลิ่นมันไม่ได้เลยทำได้แค่บอกเขาว่าจะนำไปปรุงต่อหลังจากที่ทำความสะอาดมันเสร็จแล้ว ซึ่งเรื่องทำความสะอาดนี้เขาสามารถทำเองได้ แล้วเธอก็ยังให้เขาล้างกระเพาะหมูด้วยตัวเองอีกด้วย
ส่วนหลินชิงเหอนั้นเริ่มคัดแยกเนื้อส่วนที่เหลือ
เธอหั่นไขมันหมูออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นก็ใส่ลงกระทะเพื่อทำมันหมูเจียว
แม้มันจะมีปริมาณแค่ 5 ชั่ง แต่พวกเขาก็มีน้ำมันอยู่ที่บ้านในปริมาณมาก ยิ่งกว่านั้นเธอยังผสมน้ำมันถั่วลิสงเข้าไปด้วย ซึ่งนับว่าพอใช้แล้ว
มันหมู 5 ชั่งมีน้ำมันไหลซึมออกมาเป็นจำนวนมาก
ขณะที่กำลังเจียวมันหมูอยู่นั้น หลินชิงเหอก็เริ่มเทเนื้อติดกระดูก เนื้อสามชั้น และเนื้อแดงล้วนออกมา
แม้ตอนนี้อากาศจะเย็นลงและเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมทางจันทรคติ แต่สุดท้ายแล้วเนื้อพวกนี้ก็ไม่อาจคงความสดไว้ได้ ไม่เหมือนกับเนื้อที่ได้รับแจกจ่ายในวันสิ้นปี หากเป็นช่วงเวลานั้นมันจะคงความสดไว้ได้นานกว่า
เพราะว่าพวกเขากำลังจะทำลูกชิ้นหมูกัน เนื้อส่วนนี้จึงถูกวางเตรียมไว้ เนี้อซี่โครงก็สามารถนำมาต้มทำน้ำแกง นึ่ง หรือทอดได้
ส่วนเนื้อติดกระดูกเอาไว้ใช้ต้มน้ำแกง
ไส้หมูนำมาผัดกับผักดองได้ และยังมีหัวหมูขนาดใหญ่กับกระเพาะอีก
ไม่นานนัก หลินชิงเหอก็ปรุงอาหารเสร็จทั้งหมด
การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้กินพลังไปมากจริง ๆ โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องบำรุงโจวชิงไป๋โดยด่วน
ดังนั้นในวันถัดมาหลังจากนั้น ต่อให้โจวชิงไป๋จะยังไม่หิวนัก แต่เขาก็กินจนกระทั่งปากมันแผลบทุกครั้ง
อาจเป็นเพราะรู้สึกอิ่มเอมและลงต้นกล้าข้าวสาลีฤดูหนาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวชิงไป๋ที่ว่างงานไม่มีอะไรทำก็ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับหลินชิงเหอในตอนกลางคืนราวกับว่ากำลังเตรียมตัวเข้าสู่การเก็บตัวในบ้านช่วงฤดูหนาว
โจวเสี่ยวเม่ยที่ได้หยุดพักงานเห็นสภาพพี่สะใภ้สี่ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลก็รู้สึกอายม้วนขึ้นมา ใครจะรู้ว่าในใจของหล่อนคิดอะไรอยู่
“ครั้งนี้เธอกลับมาทำไมน่ะ? หรือว่าเธอจะแต่งงานแล้ว?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว
“ตอนนี้พ่อกับแม่ฉันว่างแล้ว ฉันก็เลยกลับมาบอกให้พ่อกับแม่รู้แล้วก็จะลงหลักปักฐานน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตอบอย่างเอียงอาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าชื่นมื่น
“เยี่ยมไปเลย! รีบไปบอกพ่อกับแม่เร็ว พวกเขาคงจะดีใจแน่ ซูต้าหลินเป็นคนดีเลยล่ะ” หลินชิงเหออุทาน
หลังจากนั้นเธอก็พบกับซูต้าหลินและสนทนากับเขาอีกสักเล็กน้อย ชายหนุ่มคงไม่เดินทางผิดหรอก เขารู้จักใช้ชีวิตดีทีเดียว
“อืม งั้นฉันกลับไปก่อนนะคะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
“เอาลูกชิ้นหมูถาดนี้กลับไปด้วยสิ พี่แถมจานให้เธอใบหนึ่ง แล้วอย่าลืมคืนถาดพี่ด้วยนะ” หลินชิงเหอเอ่ยและมอบลูกชิ้นหมูให้น้องสามีไปหนึ่งถาด
“ขอบคุณพี่สะใภ้สี่มากค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยอมยิ้มขณะรับลูกชิ้นหมูไว้
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วิธีของแม่เริดมาก แม่ต้องเขียนตำราว่าเลี้ยงหมูอย่างไรให้กลายเป็นหมูยักษ์แล้วนะคะ
หวังหลิงอย่าสู้กับแม่เลยค่ะ เธอสู้แม่ไม่ได้หรอก อย่าหาทำเลย
แปลถึงตอนนี้ก็หิวอีกแล้วค่ะ ทำไมนางเอกของเรื่องนี้ชอบทรมานผู้แปลจังนะ
เสี่ยวเม่ยจะแต่งงานแล้ว ยินดีด้วยค่า ขอให้รักกันนาน ๆ นะคะ
ไหหม่า (海馬)