เยี่ยนจ้าวเกอพูดจาเอื่อยเฉื่อย ทว่าความหมายในวาจา กลับไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด
ไม่เพียงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ คนที่ยิงผลพลิกตะวันก่อกวนมหาค่ายกลนภา ตอนเหตุอลหม่านจากภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตก่อนหน้านี้ นอกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็เข้ามาเอี่ยวด้วยเช่นเดียวกัน
หากไม่ใช่เพื่อเตรียมป้องกันขวานจามสวรรค์ของเขาไร้พรมแดน ประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์เฉินลี่ท่านนี้ เกรงว่าก็คงย่ำขึ้นมายังเขากว่างเฉิงเช่นกัน
พวกหลินเทียนเฟิงแม้จะสิ้นใจ ทว่าเพลิงโทสะของทั้งเขากว่างเฉิงที่มีต่อตำหนักอัสนีสวรรค์นั้น ไม่น้อยไปกว่าที่มีต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่าใดนัก
“เฉินหัวล้าน หากยึดตามที่พวกเจ้ากล่าวเช่นนี้ล่ะก็ ในความคิดข้า พวกเจ้าตำหนักอัสนีสวรรค์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก ที่เป็นไส้ศึกของนพยมโลก” หยวนเจิ้งเฟิงสวมทับด้วยชุดคลุมนภา สืบเท้าออกมา เดินไปทางทิศทางที่เฉินลี่อยู่ “สำนักข้าทำสงครามหลั่งเลือดกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต สุดท้ายปราบพวกมันราบคราบ หนำซ้ำยังขัดขวางการมาเยือนเขากว่างเฉิงข้า และโลกแปดพิภพของนพยมโลกได้สำเร็จ ”
“ในระหว่างสงครามเดือด ตำหนักอัสนีสวรรค์ของเจ้ากับสำนักสุริยันศักดิ์สิท ธิ์ก่อกวนมหาค่ายกลนภาของสำนักข้าด้วยกัน”
“หลังเกิดเรื่องยังร่วมมือกันโจมตีเข้ามาถึงประตู จะแก้แค้นแทนภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตอย่างนั้นหรือ? จะสานต่อภารกิจที่พวกมันยังทำไม่สำเร็จ ทำให้นพยมโลกมาถึงอย่างนั้นหรือ?”
เฉินลี่แค่นเสียงเย็น พริบตาเดียวพลังปราณแล่นออกไปไกล
ผู้อาวุโสเก่าแก่ท่านหนึ่ง ผู้อาวุโสสูงสุดท่านหนึ่ง บุคคลระดับสำคัญของตนทั้งสอง แม้แต่ยอดฝีมือคนอื่นๆ จำนวนมาก ก็เปลี่ยนทิศทางที่เขากว่างเฉิงพร้อมกัน
หมดทางแก้แค้นไม่เอ่ยถึง ตนเองยังต้องร้อนรนหลีกหนี
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าสีเขียวท่านนี้ อึดอัดในใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ยากที่จะรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร
หากแต่ขณะนี้ เขาอดไม่ได้ที่เขาจะไม่ถอยไป
บางเรื่อง อย่าได้กล่าวว่าเฉินลี่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ไรไม่เคยลืมเลือน แม้เขาจะหลงลืมชั่วขณะ เมื่อครู่หยวนเจิ้งเฟิงต่อสู้กับหวงกวงเลี่ย ก็สามารถทำให้เขาหวนนึกขึ้นมาได้เช่นกัน
เวลาผ่านพ้นไปไม่นานนัก ‘หัตถ์เทียมนภา’ หยวนเจิ้งเฟิง ก็เป็นผู้ที่เหนือที่สุดในบรรดารุ่นอาวุโสเดียวกันกับตน
ถึงแม้จะไม่ได้รับการขนานนามว่าไร้เทียมทานเฉกเช่นศิษย์ของเขา เยี่ยนตี๋ หรือแม้กระทั่งล้ำเหนือคนรุ่นเดียวกัน อยู่สูงมองลงต่ำชั่วชีวิต ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงในปีนั้น ก็เคยสร้างตำนานเป็นของตัวเองเช่นกัน
เมื่อย่างเหยียบสุดขั้นมหาปรมาจารย์ ขั้นบรรลุธรรม หยวนเจิ้งเฟิงล้วนเร็วกว่าคนอายุเท่ากันเฉกเช่นหวงกวงเลี่ย เฉินลี่ หยวนเทียน และซินตงผิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซ่งอู๋เลี่ยงและอันชิงหลินที่อายุน้อยกว่าเล็กน้อย
ปีนั้น ทุกคนต่างยังเยาว์วัย ยุคสมัยนั้นที่ชื่อเสียงเพิ่งจะลือเลื่องขึ้นมาอย่างเร็วไว หยวนเจิ้งเฟิงเป็นคนคนนั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุด และก็เป็นคนที่ได้รับการดูแลอย่างดีท่ามกลางคนรุ่นอาวุโสเดียวกัน มีความเป็นไปได้มากที่สุด รวดเร็วที่สุดที่จะประสบสำเร็จขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์
เพียงเพราะอาการเจ็บเดิมในอดีต หยวนเจิ้งเฟิงจึงหยุดนิ่งอยู่ที่ขั้นบรรลุธรรมเสมอมา ภายหลังถึงมีหวงกวงเลี่ย เฉินลี่ และคนอื่นๆ ไล่ตามมา
หยวนเจิ้งเฟิงที่เวลาผ่านไปเปล่าประโยชน์หลายปี ในที่สุดวันนี้ก็ก้าวข้ามธรณีประตูนั้น ผ่านขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้คนมากมายยิ่งฟื้นคืนความทรงจำที่ฝุ่นจับทันใด
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกในขณะนี้ นอกจากผู้อาวุโสโม่ที่อายุมากลำดับอาวุโสสูงน้อยนักจะออกมือ ยากวินิจฉัยลึกตื้นแล้ว คนอื่นๆ ภายใต้ระดับชั้นเดียวกัน ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยวนเจิ้งเฟิง
หวงกวงเลี่ยที่องอาจผึ่งผายมาหลายปี ประมือกับหยวนเจิ้งเฟิง ตอนแรกขั้นปรมาจารย์ จนขั้นมหาปรมาจารย์ ยังไม่เคยรับชัยชนะ จำนวนครั้งที่ปราชัยแก่หยวนเจิ้งเฟิงภายใต้โอกาสแต่ละแบบ นิ้วมือข้างหนึ่งล้วนนับไม่หมด
ประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์เฉินลี่ เขาเคยประมือกับหยวนเจิ้งเฟิงในตอนที่ระดับพลังฝึกปรืออยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ปี และก็แพ้พ่ายยับเยินเช่นกัน
วันนี้ แม้หยวนเจิ้งเฟิงจะเหยียบย่างขั้นศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่ม กระนั้นก็ทำให้เฉินลี่ยากประจันคู่ต่อสู้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หยวนเจิ้งเฟิงยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชุดคลุมนภาติดกาย!
ถ้าหากกล่าวว่า ออกจากประตูเขากว่างเฉิง หวงกวงเลี่ยไม่มีมาตรสุริยันวัดสวรรค์ก็กล้าต่อสู้กับหยวนเจิ้งเฟิงล่ะก็ เฉินลี่ที่ไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือ ทำได้เพียงหันกลับออกไป
เฉินลี่ถอยออกไป หยวนเจิ้งเฟิงกลับไม่ให้เขาได้ผ่อนคลาย กดดันด้วยกระบวนท่าฝ่ามือนภากว่างเฉิงออกไปโดยพลัน
ไกลออกไป ผืนฟ้าทิศที่เฉินลี่อยู่ราวกับถล่มลงมา เส้นขอบฟ้าคล้ายกับบิดเบี้ยวครู่หนึ่ง
เสียงแค่นฮึดฮัดส่งทอดมาไกลโพ้น เฉินลี่ไม่รับคำท้ารบโดยสิ้นเชิง เขาแปลงกายเป็นแสงอัสนีบาต อดกลั้นอาการเจ็บอย่างหนัก พร้อมกับถอยออกไปด้วยความเร็ว
เฉินลี่เหินบินไปตามเส้นทาง ผ่านเขตแดนเกาะนภาตะวันออก ที่นี่จอมยุทธ์กว่างเฉิงได้ถอนกำลังไปก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ออกมาจากปฐพีพิภพแล้ว ห้อตะบึงอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเขาหลินเทียนเฟิงไปเขากว่างเฉิงเกาะนภากลาง ยังมีคนอื่นๆ ตั้งเขตฐานแนวหลังขึ้นที่นี่
ทว่าเวลานี้ คนเหล่านี้มองดูประมุขตำหนักของตนทะยานรุดหน้าผ่านไปด้วยความประหลาดใจ แสงอัสนีบาตโหมกระหน่ำไล่หลังม้วนเอาทุกคนไปพร้อมกัน กลับไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด บนหนีไปทางปฐพีพิภพ ทะลุผ่านปฐพีพิภพ กลับสู่อัสนีพิภพ
หลินโจวเองก็อยู่ในนั้น แลเห็นมีเพียงเฉินลี่คนเดียว จึงอดตะลึงงันไม่ได้ “ท่านอาจารย์ปู่ พ่อข้ากับท่านอาจารย์อาขุนเขา พวกเขา…”
ใบหน้าเฉินลี่ซีดเซียว ไม่เปล่งวาจาสักคำ
หลินโจวสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดชั่วพริบตา
เขาตั้งสติ สูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง คิดอยากเอ่ยถามอีก
ทว่าเห็นสีหน้าอันน่าพรั่นพรึงนั่นของเฉินลี่ หลินโจวอ้าปาก กลับไม่มีเสียงลอดออกมา
‘อาจารย์ปู่น่าจะเพียงแค่เสียเปรียบเล็กน้อย อารมณ์ไม่ดี ถึงได้มีท่าทีเช่นนี้…’ หลินโจวรำพันกับตัวเองในใจ ‘พวกท่านพ่อคงไม่เกิดเรื่องหรอก’
‘ตั้งใจโจมตีเขากว่างเฉิง สุดท้ายโจมตีไม่ได้ เลยเสียหน้าอย่างนั้นหรือ?’
หลินโจวกัดฟัน ‘แต่หวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกฌานแล้ว มีมาตรสุริยันวัดสวรรค์อยู่ในมือ ซ้ำยังมีอาจารย์ปู่ตรึงขวานจามสวรรค์ของเขาไร้พรมแดนให้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะโจมตีเขากว่างเฉิงที่เพิ่งต่อสู้กับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายหมาดๆ ไม่ได้?’
‘เมืองทะเลมรกตกับหอคลื่นโหม ล้วนถูกปีศาจอัคคีบนทะเลตะวันออกตรึงเอาไว้แล้วเช่นกัน ไม่มีทางข้ามปฐพีพิภพมาช่วยเหลือยังนภาพิภพได้’
หลินโจวครุ่นคิดว่า ‘บางทีอาจจะโดนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ชิงชุดคลุมนภาไป อาจารย์ปู่ถึงได้กระหืดกระหอบเช่นนี้ นี่เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดแล้ว’
ถ้าหากเขากว่างเฉิงล่มสลาย จากนั้นแม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชุดคลุมนภายังตกอยู่ในมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นรูปการณ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะต้านทานจริงๆ แล้ว มีลางสังหรณ์พร้อมที่จะกำจัดใต้หล้าอยู่หลายส่วน
ถึงเวลานั้น ไม่แน่ว่าตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เจรจากับเขาไร้พรมแดน ร่วมมือกับเมืองทะเลมรกต
ถึงขั้นที่แม้แต่หอคลื่นโหมล้วนยังยากที่จะคำนึงถึงแต่ตนเองต่อไปอีก ไม่อาจไม่ละทิ้งการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่เช่นนั้นก็ต้องแหงนหน้าแสร้งพูดเอาใจสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
หลินโจวปลอบประโลมตนเองในใจตลอดเวลา
ทว่ารอจนกลับถึงตำหนักอัสนีสวรรค์ เฉินลี่ที่สงบสุขุมลงก็ปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสคุมการณ์คนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มีข่าวสารจากภายนอกส่งมาเช่นกัน ทำลายความหวังของหลินโจว
คุณชายฟ้าคำรนผู้นี้ค่อยๆ เผยเห็นท่วงทีสง่างามของบุคคลอันดับหนึ่งรุ่นเยาว์แห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ ขังตนเองอยู่ภายในห้องลำพังคนเดียว
คนที่เดินผ่านทางเข้าห้องเขาทั้งหมด ล้วนสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอัดอั้นอีกทั้งบ้าคลั่งในนั้น ราวกับมรสุมและสายฟ้ากำลังถาโถม
แม้กระทั่งเยี่ยนส่านที่แต่ไรมาไม่ลงรอยกับหลินโจว บัดนี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้หลินโจวตรงนั้นอยู่บ้างเช่นกัน
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสตำหนักอัสนีสวรรค์ล่วงรู้ ต่างทอดถอนใจครั้งหนึ่ง
วันหนึ่งหลังจากนั้น ประตูห้องพลันเปิดออก หลินโจวเดินออกมาจากด้านใน
บนใบหน้าเขาปกคลุมด้วยพยับเมฆหนาแน่น แววตายิ่งทวีความเยือกเย็นและห่อเหี่ยว
“ข้าวางแผนจัดการอย่างระวัง คิดหาวิธีอย่างเหนื่อยยาก ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชะตา ผลคือท่านพ่อยังคงจากข้าไปอยู่ดี” สีหน้าหลินโจวซึมกะทือ สายตามองยังฟากฟ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นทิศทางที่นภาพิภพและเขากว่างเฉิงตั้งอยู่
“พยายามมาตั้งนาน สุดท้ายยังคงเสียแรงเปล่า เช่นนั้นข้าพยายามไปจะยังมีประโยชน์อะไร ไม่สู้ไหลลอยไปกับคลื่นน้ำก็พอแล้ว…” ในแววตาของหลินโจว พลันมีเพลิงโทสะลอยสูงขึ้น “หาไม่แล้ว ก็ก่อการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกับมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย!”
“หากไม่ทลายเขากว่างเฉิงของเจ้าให้พินาศ ข้าสาบานว่าจะไม่อยู่เป็นคน!”
…………..