“ต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย?” เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว
อาหู่พยักหน้า “ถูกต้องแล้วขอรับ ตามที่คนต่างแดนผู้นั้นพูด ทั้งสองฝ่ายเกิดความชิงชังต่อกัน ต้องการให้อีกฝ่ายตกตาย แต่ว่าเขาเพียงเห็นระหว่างทาง ผลลัพธ์เป็นอย่างไรกลับไม่ทราบ”
เยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ ครุ่นคิด “หมายความว่า สถานการณ์การต่อสู้ในตอนนั้นเสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบและเพลี่ยงล้ำ”
“คนต่างแดนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ระดับเคียงนภาระยะต้น เป็นคนมีประสบการณ์ เขาไม่น่าจะมองพลาด” อาหู่ตอบ
ชายหนุ่มถามต่อ “ศิษย์น้องซือคงสองคนใช้วรยุทธ์เดียวกันหรือไม่”
อาหู่ตอบกลับอย่างมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้น แม้ลักษณะภายนอกจะเหมือนกัน ทว่าคนหนึ่งใช้วรยุทธ์เขากว่างเฉิง ส่วนอีกคน คนต่างแดนผู้นั้นดูไม่ออก แต่รู้สึกว่าคล่องแคล่วมาก ทั้งยังแฝงกลิ่นอายโบราณ”
“อาหู่ มีปัญหาอยู่อีกหนึ่งข้อ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพร้อมนวดขมับของตนเอง
เขาเงยหน้า ก่อนจะหรี่ตาลงเป็นเส้นเล็ก “ถ้าหากทั้งคู่มีลักษณะเหมือนกันตามคำบรรยายของคนต่างแดนผู้นั้น ก็หมายความว่าคนทั้งสองมีอายุเท่ากัน”
“แต่พวกเราต่างรู้ดี ว่าศิษย์น้องซือคงในตอนนี้มีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าคนอายุเดียวกันแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวช้าๆ “คนอายุเท่ากันนี้ ไม่ใช่คนอายุเท่ากันส่วนใหญ่โดยทั่วไป เพราะเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ เป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นเหนือผู้มีฝีมือโดดเด่นตามคำเล่าขาน ในระดับศิษย์สืบทอดสายตรงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เมืองทะเลมรกต และหอคลื่นโหม”
“ระดับชั้นนี้ ศิษย์น้องซือคงเหนือกว่าคนที่มีอายุเท่ากันไปไกล นอกจากคนที่มีจำนวนจำกัดแล้ว โลกแปดพิภพในปัจจุบันมีคนที่เทียบกับนางน้อยมาก”
เขาไพล่สองมือไว้ด้านหลัง “หลังจากศิษย์น้องซือคงบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ ความเร็วในการเพิ่มระดับพลังฝึกปรือก็เรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง”
“ตอนนี้คนที่มีหน้าตาเหมือนนางกลับสามารถสู้กับนางได้อย่างสูสี ถือว่าปกติหรือไม่”
อาหู่ได้ยินดังนั้น ก็ครุ่นคิดในใจ
ครู่ต่อมา อาหู่ค่อยกล่าวเสริมว่า “ทั้งยังมิใช่ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าด้วย”
“แม่นางซือคงมีเงื่อนไขและได้รับการดูแลที่เยี่ยมที่สุดของเขากว่างเฉิง ทรัพยากรทุกอย่างล้วนครบครัน ในโลกแปดพิภพนี้ หากต้องการเงื่อนไขในฝึกฝนวรยุทธ์เหมือนกัน แต่มิใช่คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็มีจำนวนน้อยนิดเต็มที”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง”
เขาลูบคางของตนเอง อมยิ้มเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าชักสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว”
ด้านหนึ่งเรื่องนี้มีความผิดปกติ ทั้งยังแฝงความพิสดารไว้หลายส่วน
อีกด้านหนึ่ง ความลับอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวซือคงจิง ซึ่งทำให้นางมีความเร็วในการพัฒนาเหนือธรรมดา บางทีอาจจะอยู่ตรงนี้
แม้ว่าจะไม่อยากขุดคุ้ยความลับของคนอื่น แต่มนุษย์ทุกคนล้วนอยากรู้อยากเห็น เยี่ยนจ้าวเกอสนใจเรื่องนี้มาก
หลังจากสนทนากับสวีเฟยครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ออกจากที่พักของตนเอง
อาหู่เตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เขาทราบแล้วว่าคนต่างแดนผู้นั้นไม่ได้ออกจากเมือง อีกทั้งยังรู้ที่พักของเขาด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอเจอให้อาหู่นำทางไปเจอคนต่างแดนผู้นั้นสักครั้ง
นอกจากจะทำความเข้าใจกับสถานการณ์บางส่วนอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังถามคำถามหนึ่ง “นอกจากศิษย์ของสำนักเรา อีกคนหนึ่งใช้มีการใช้วรยุทธ์เกี่ยงข้องกับผู้อาวุโสโม่หรือไม่”
ภายนอกมีศิษย์ที่ล้ำเลิศทรัพยากรครบครันแบบนี้ปรากฏขึ้น คนที่เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงเป็นคนแรกย่อมเป็นปราชญ์ภาพวาด ผู้อาวุโสโม่ในตำนานแล้ว
คนผู้นี้มีศักดิ์และอายุเหนือกว่าเจิ้งเฟิงและหวงกวงเลี่ย ใกล้เคียงกับจ่านซีโหลวและจ่านตงเก๋อแห่งเขากว่างเฉิง รวมถึงจางเชาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
โลกแปดพิภพในปัจจุบัน คนที่บรรลุเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มานานที่สุดก็คือผู้อาวุโสโม่
ถึงแม้ผู้อาวุโสโม่จะไม่ได้ตั้งสำนัก และไม่ขยายอาณาเขตของตนเอง
แต่ไม่ว่าใครก็มิอาจดูถูกจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณวุฒิมากที่สุดผู้นี้
คนต่างแดนตอบด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ปราชญ์ภาพวาดเป็นบุคคลในตำนาน ข้าไม่เคยเห็นผู้อาวุโสโม่ลงมือมาก่อน ได้ยินคนเล่ามาว่าสตรีนางนั้นมิได้ใช้วรยุทธ์ของปราชญ์ภาพวาดกระจ่างแจ้ง แต่ว่าวิชาของปราชญ์ภาพวาดเป็นวรยุทธ์ครอบจักรวาล ข้าเองก็ไม่กล้ายืนยัน”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ข้าเพียงถามเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
ผู้อาวุโสโม่เป็นเทพมังกร เห็นหัวไม่เห็นหาง ปกติเร้นตัวอยู่นอกน่านน้ำ ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก ถึงแม้เขาจะลงมือบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาปรากฏตัวออกมาเพียงพริบตา ทำให้คนยากจะพิจารณาตื้นลึกหนาบาง
แต่หากดูจากการลงมือหลายครั้งของเขา แสดงให้เห็นว่าผู้อาวุโสโม่ใช้วรยุทธ์ได้หลายสำนัก มีร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อีกทั้งยังมีวรยุทธ์ที่ปรากฏขึ้นก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ด้วย
ไม่มีใครบอกได้ ว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผู้อาวุโสโม่
อาหู่มองเยี่ยนจ้าวเกอ ชายหนุ่มจึงใช้ปราณจิตรากระซิบหาคนสนิท ‘ถ้าหากยืนยันได้ว่าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสโม่ ก็วางใจเถอะ ส่วนตอนนี้…’
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าเล็กน้อย หลังจากถามสถานการณ์แล้ว ก็บอกลาพร้อมอาหู่
เมื่อทักทายผู้อาวุโสอันดับหนึ่งจากเมืองทะเลมรกตที่เมืองศิลาจากแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ก็ออกจากเมืองศิลา
เพื่อนร่วมทางในครั้งนี้เพิ่มขึ้นหนึ่งคน
ชายหนุ่มเงยหน้าหลบลิ้นขนาดใหญ่ที่พ่านพ่านเลียใส่ เบะปาก “เด็กดี อยู่นิ่งๆ สิ”
พ่านพ่านฉีกยิ้มอย่างเอาใจ จากนั้นร่างขนาดยักษ์เหมือนช้างก็ก้าวไปทางทะเล
เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ปีนขึ้นหลังพ่านพ่าน รอบๆ ตัวพ่านพ่านเกิดกระแสน้ำสีดำพุ่งออกมา ประคองให้มันเดินบนผิวทะเลที่มีลูกคลื่นขึ้นลงได้เหมือนเดินบนพื้นเรียบ
เขากับอาหู่ที่นั่งอยู่บนหลังพ่านพ่านมุ่งไปด้านหน้า ค่อยๆ ออกจากอาณาเขตที่อยู่ในการควบคุมของเมืองศิลา จากทะเลชั้นในทะเลเหนือ สู่นอกน่านน้ำทะเลเหนือ
ระหว่างทาง เยี่ยนจ้าวเกอมิได้หยุดการฝึกฝนของตัวเอง
นอกจากการฝึกฝนของเขากับอาหู่แล้ว พ่านพ่านก็ได้บารมีไปด้วย
สุดท้าย เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าสภาพของตัวเองแปลกประหลาดมากขึ้น
สิ่งที่เขาขี่อยู่ไม่เพียงแต่เป็นหมีสยงเมา ยังเป็นหมีสยงเมายักษ์ที่ร่างกายเปล่งแสงสีน้ำเงินแวววาวด้วย…
ซือคงจิงต้องการเคี่ยวกรำตัวเอง ยอมเผชิญอันตราย ไม่พึ่งพาการช่วยเหลือของสำนัก เขากว่างเฉิงเคารพการตัดสินใจของนาง อนุญาตให้นางออกเดินไปโดยไม่ก้าวก่ายมากนัก
แต่เพื่อรักษาการติดต่อในยามจำเป็น สำนักก็ได้เตรียมตัวไว้บ้างเช่นกัน
เพียงแต่การเตรียมพร้อมเหล่านี้ไม่อาจยืนยันตำแหน่งของซือคงจิงได้ ได้แต่บอกกล่าวอาณาเขตคร่าวๆ เท่านั้น
หลังจากติดต่อกับสำนักที่นภาพิภพจนได้ตำแหน่งคร่าวๆ ของซือคงจิงมาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ขี่พ่านพ่านออกทะเล
ระหว่างทางยังถือโอกาสแวะสถานที่ที่คนต่างแดนผู้นั้นเห็นซือคงจิงสองคนต่อสู้เสี่ยงชีวิตกันด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอหยุดครู่หนึ่ง พลางสำรวจว่ามีร่องรอยอะไรเหลืออยู่หรือไม่
พอเดินทางถึงที่นั่น กลับพบว่ามีคนมาก่อนเขาแล้วก้าวหนึ่ง
หลังจากเยี่ยนจ้าเกอเห็นอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว ม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างอดไม่ได้
คนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเป็น ‘ซือคงจิง’
แต่อยู่ในเสื้อคลุมบุรุษ ดูหล่อเหลายิ่ง
ตอนมองแวบแรก ยังนึกว่าเป็นซือคงจิงแต่งชุดบุรุษ
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมองดูอย่างละเอียด กลับแน่ใจว่านี่คือบุรุษจริงๆ!
เพียงแต่เครื่องหน้าบนใบหน้าแทบจะเหมือนซือคงจิง นอกจากเอกลักษณ์ของรูปร่างบางอย่างแล้ว ภายนอกล้วนเหมือนกันหมด!
……………