พวกเยี่ยนจ้าวเกอมุ่งไปทิศตะวันตกตามคำบอกของโอวหยางฉี
หลังจากเข้าใกล้ได้ระยะหนึ่ง ศิษย์ของเขากว่างเฉิงมีวิธีการติดต่อกันอย่างง่าย ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสามารถยืนยันตำแหน่งของซือคงจิงได้แล้ว
ซือคงจิงนั่งขัดสมาธิบนหลังอสูรทะเลตัวหนึ่งกลางมหาสมุทร ร่างกายของนางขยับขึ้นลงตามคลื่นทะเล
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอสูรทะเลตัวนั้น มันเป็นอสูรที่เลี้ยงและฝึกเพื่อใช้เดินทางในทะเล
ตอนที่ซือคงจิง ซ่งเฉา และหลี่จิ้งหว่านแยกกัน หลี่จิ้งหว่านมอบอสูรทะเลให้พวกนาง
ไม่รอให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้ ซือคงจิงที่นั่งหลับตาอยู่ในตอนแรกก็ลืมตาขึ้น มองมายังชายหนุ่มทันที
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ มองโอวหยางฉีด้านข้างด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
โอวหยางฉีกลับนิ่งเงียบ
พวกเยี่ยนจ้าวเกอซึ่งนั่งอยู่บนหลังพ่านพ่านเข้าใกล้ซือคงจิงกับอสูรทะเลตัวนั้น
ชายหนุ่มมองซือคงจิงอย่างละเอียด ก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังอสูรทะเล เมื่อมาถึงด้านหลังซือคงจริง เขาเอื้อมมืออกมาวางบนกลางหลังนาง “บาดเจ็บหนักทีเดียว”
ซือคงจิงพยักหน้า “ยังมีคนตามข้าอยู่ เนื่องจากเอาแต่หนี จึงไม่ได้ดูแลรักษา”
ขณะที่คุยกับเยี่ยนจ้าวเกอ ซือคงจิงก็จับจ้องไปที่โอวหยางฉี ซึ่งถูกอาหู่ควบคุมอยู่บนหลังพ่านพ่าน
เดิมทีนางมีนิสัยใจเย็น แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าซับซ้อน งงงวย ระวังตัว ปรากฏขึ้นมาไม่หยุด
โอวหยางฉีมองซือคงจิงเช่นกัน ทว่านิ่งงันไม่พูดจา มีเพียงแววที่ตาซับซ้อนเล็กน้อย
ถึงแม้จะเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี แต่เมื่อทั้งสองคนประจันหน้ากัน บรรยากาศก็หนักอึ้งอยู่บ้าง
“ข้าพอจะรู้เรื่องคร่าวๆ แล้ว” หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมองโอวหยางฉี เขาก็ถามซือคงจิง “เขารับรู้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของเจ้าได้ เจ้าเองก็น่าจะรู้สึกถึงเขาได้เช่นกันใช่หรือไม่”
ซือคงจิงตอบ “ถูกต้อง ขอแค่อยู่ในรัศมีหนึ่งพันลี้ ข้าก็รับรู้ได้”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “คนที่ประมือกับข้าก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอถาม “เจ้าบอกว่าหลังจากนั้นยังมีคนไล่ล่าเจ้า แล้วคนผู้นี้เล่า”
“คนผู้นี้ไม่เหมือนกับพวกเขา พวกเราไม่ได้พบหน้ากันตรงๆ เป็นข้าได้ยินคนพูดถึงว่าคนผู้นั้นตามหาข้า เขามีพลังฝึกปรือสูงมาก น่าจะเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ”
เยี่ยนจ้าวเกอหันไปถามโอวหยางฉี “อาจารย์ของเจ้าหรือ”
โอวอย่างฉีมิได้ตอบ
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอใช้ฝ่ามือแนบกับหลังซือคงจิงแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของนาง “เป็นกระบวนท่าเทพมารอัคคีแห่งหัตถ์เทพมารปัญจธาตุจริงๆ”
หัตถ์เทพมารปัญจธาตุ วรยุทธ์ที่มีอยู่ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ หลังจากผ่านช่วงวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ไป นี่นับว่าปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกแปดพิภพ
โดยแบ่งเป็นท่ามือห้าท่าตามธาตุห้าธาตุ ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน
เทพมารทองดุร้าย รุนแรงและเฉียบแหลม เหมาะกับการปะทะซึ่งหน้า
เทพมารไม้ตรงไปตรงมา ใช้กล้าแข็งทำลายพิสดาร ใช้อืดอาดทำลายเล่ห์เหลี่ยม เหมาะใช้กับกระบวนท่าที่ลื่นไหลของคู่ต่อสู้
เทพมารวารีคล่องแคล่ว ตรงกันข้ามกับเทพมารอัคคี ลบจุดด้อยของตัวเอง ใช้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่า ใช้ความลื่นไหลเอาชนะ
เทพมารปฐพีทรงพลัง หนักแน่นไม่หวั่นไหว เหมาะกับการป้องกัน
ท่าสุดท้ายเทพมารอัคคี คือกระบวนท่าที่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่ตัวเอง
หากใช้กระบวนท่าเทพมารอัคคี ศัตรูจะเป็นอย่างไรยังมิต้องพูดถึง ตนเองต้องเจอกับความเสี่ยงใหญ่หลวง ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ว่าอานุภาพของกระบวนท่านี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด พลังทั้งหมดในร่างรวมอยู่ที่การโจมตีเดียว บ้าคลั่งอย่างยิ่ง
อานุภาพเหนือกว่าวารีเทียมฟ้า ซึ่งเป็นวรยุทธ์ที่หายสาบสูญของเมืองทะเลมรกตแห่งวารีพิภพอีก
ซือคงจิงกล่าว “นางสู้ข้าไม่ได้ จึงเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาชัยชนะ สุดท้ายถูกข้าสังหาร แต่ข้าก็บาดเจ็บเพราะนางเช่นกัน”
พอพูดถึงคู่ต่อสู้ สีหน้าของซือคงจริงก็ปรากฏความฉงน
ถึงแม้กระบี่ของซือคงจิงจะไม่ได้ลิ้มรสเลือดมากเท่าดาบของเฟิงอวิ๋นเซิง แต่ก็มิใช่ไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน คนที่ตายด้วยน้ำมือนางก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในการเดินทางที่ทะเลชั้นนอกเพื่อฝึกฝนในครั้งนี้ นางยิ่งเข่นฆ่ามาตลอดทาง
เพียงแต่ครั้งนี้คู่ต่อสู้ที่ถูกนางสังหารแตกต่างกันเล็กน้อย
เมื่อมีการช่วยเหลือจากเยี่ยนจ้าวเกอ อาการของซือคงจิงก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บไม่เป็นปัญหาแล้ว แต่คิดจะแก้ต้นเหตุจำเป็นต้องพักผ่อน
เยี่ยนจ้าวเกอชักมือกลับ ส่วนซือคงจิงผุดลุกขึ้น ก่อนจะเปิดถุงย่อส่วนที่นำติดตัวไว้
ศพสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอย่างละเอียด ใบหน้าของสตรีนางนี้เหมือนซือคงจิงไม่ผิดเพี้ยน
ถ้าหากบอกว่าโอวหยางฉีมีข้อแตกต่างเรื่องเพศ เช่นนั้นรูปลักษณ์ภายนอกของหญิงสาวผู้นี้ก็เหมือนกับซือคงจิงอย่างกับแกะ
ความแตกต่างอยู่ที่เสื้อผ้า หากเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน แล้วยืนคู่กับซือคงจิง ไม่ว่าใครก็คงแยกแยะไม่ออก
อีกฝ่ายมีพลังฝึกปรือระดับปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระยะท้ายเช่นกัน ร่างกายผ่านการฝึกฝนนานานัปการ แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ถึงเวลาจะผ่านไปนานร่างก็ยังไม่เน่าเปื่อย
ทว่าตรงทรวงอกของนางถูกซือคงจิงเจาะเป็นรูเลือด กล้ามเนื้อเท่ากับถูกทำลาย พลังปราณจึงสูญสลายอย่างรวดเร็ว
บนหน้าผากของหญิงสาวผู้นี้มีวิญญาณน้ำแข็งเม็ดหนึ่ง ซือคงจิงอธิบายว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้รับมาโดยบังเอิญจากการออกทะเลในครั้งนี้ สามารถสะกดให้ร่างกายไม่เน่าสลายได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
นางมองใบหน้าที่ซีดขาวใบนั้นด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย คล้ายกับกำลังส่องกระจก
“นางวางค่ายกลเพื่อซุ่มโจมตี คิดจะจับเป็นข้า ก่อนหน้านั้นข้าได้รับของล้ำค่าจากศิษย์พี่หลี่ที่ทะเลมรกตพอดี จึงทำลายค่ายกลของนายได้ จากนั้นก็เข้าสู้กับนาง ทว่านางมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ข้าคิดไว้ชีวิตนาง แต่นางใช้กระบวนท่าสังหารที่ต้องบาดเจ็บสองฝ่าย ข้าได้แต่ต้องลงมือเต็มที่ และไม่อาจรักษาชีวิตของนางได้”
แววตาของซือคงจิงค่อยๆ สงบลง เพียงแต่จะมากจะน้อยก็มีความผิดหวังอยู่บ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอถาม “ตอนเจ้าฆ่านาง ร่างกายของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่”
ซือคงจิงส่ายหน้า “ที่เปลี่ยนแปลงกลับไม่มี แต่ความรู้สึกนั้นประหลาดนัก เหมือนกับ…ฆ่าตัวเอง ฆ่าคนที่เหมือนกับตัวเอง”
“ถ้าหากต้องพูดเรื่องประหลาด ในวินาทีนั้นเบื้องหน้าข้าราวกับปรากฏภาพมากมาย”
บนใบหน้าของซือคงจิงปรากฏความงงงวย “ข้าคล้ายกับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ในทุกสถานที่ข้าล้วนเห็นตัวเองอยู่หลายคน มีบุรุษบ้าง สตรีบ้าง อายุใกล้เคียงกับข้า ทุกใบหน้าล้วนเหมือนข้ามาก”
สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย หางตากวาดมองโอวหยางฉีแวบหนึ่ง ทว่าเขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร
‘มองเห็นใบหน้าของตัวเจ้ามากมาย แต่ไม่ได้มองเห็นภาพเบื้องหน้าผ่านสายตาของพวกเขาหรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ส่งเสียง กลับใช้ปราณจิตรากระซิบถามซือคงจิง
ซือคงจิงพยักหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอหลุบตาลง ไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เพียงแต่หมุนตัวไปถามโอวหยางฉีด้วยรอยยิ้ม “คนที่ประมือกับศิษย์น้องข้าก่อนหน้านี้เป็นคนร่วมสำนักเจ้ากระมัง”
โอวหยางฉีเงียบครู่หนึ่งค่อยตอบ “ถูกต้อง นางชื่อโอวหยางหนิง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ถามเสียงเรียบ “พวกเจ้าไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดกันกระมั้ง มีคนเปลี่ยนแซ่หรือ”
………….