หลังจากเวลาผ่านไป ซ่งอู๋เลี่ยง เจ้าเมืองทะเลมรกตก็ยังคงไม่ออกจากฌาน
ผู้อาวุโสเขากว่างเฉิง เฟิงฉือออกณานหลังจากปรุงโอสถแล้วเสร็จ ครั้นพบปะกับเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างฝ่ายจึงเล่าถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมาในช่วงหลายปีนี้
หลังจากนั้นเฟิงฉือกับเฟิงม่อสองพ่อลูกก็มุ่งหน้ากลับเขากว่างเฉิงด้วยกัน
สิ่งที่พวกเขาพกติดตัวไปด้วยคือถุงย่อส่วนที่เยี่ยนจ้าวเกอมอบให้ ด้านในผนึกโอวหยางฉีที่ถูกสะกดพลังฝึกปรือไว้
ซือคงจิงพักฟื้นอยู่ที่เมืองทะเลมรกต ภายใต้การช่วยเหลือจากโอสถของเยี่ยนจ้าวเกอ อาการบาดเจ็บของนางหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เหลือสิ่งตกค้างอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนจ้าวเกอฝึกปรืออยู่ที่เมืองทะเลมรกตอย่างเงียบสงบ
การฝึกปรือวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้เข้าสู่ช่วงคอขวด ขอแค่ทลายออกไปได้ เบื้องหน้าก็จะเป็นดินแดนแห่งใหม่
ตอนที่เดินทางไปยังที่ราบหิมะแดนเหนือ เยี่ยนจ้าวเกอให้กำเนิดเมล็ดวิญญาณได้สำเร็จ บรรลุสู่ระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่สอง ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง
ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าเมล็ดวิญญาณของตนเองแตกหน่ออย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นต้นกล้าที่โผล่พ้นมาจากดินแล้ว
ถ้าหากให้กำเนิดรากวิญญาณได้สำเร็จ นั่นก็หมายความว่ามีต้นแบบญาณวรยุทธ์อย่างเป็นทางการ
อีกทั้งเมื่อเลื่อนจากขั้นซ่อนจิตระยะกลาง กลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะท้าย ก็จะสามารถให้กำเนิดญาณวรยุทธ์ที่แท้จริงของตัวเอง และยังเตรียมหลอมจิตราให้กลายเป็นญาณได้
ความเร็วตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเลื่อนเลื่อนจากระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะต้น สู่ขั้นซ่อนจิตระยะกลางก่อนหน้านี้ ทำให้อาหู่ตกตะลึงมาแล้ว
ทว่าความเร็วในการเลื่อนจากระดับซ่อนจิตระยะกลาง สู่ขั้นซ่อนจิตระยะท้ายยิ่งน่าตื่นตระหนกกว่าเดิม
และผลจากการดูดซับสารจำเป็นและปราณวิญญาณจากเลือดมังกร ยังทำให้เยี่ยนจ้าวเกอข้ามผ่านขั้นตอนการสั่งสมพลังได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นซ่อนจิตระยะกลางด้วย
แต่คิดจะข้ามธรณีประตู เพื่อเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นจิตระยะท้ายอย่างแท้จริง กลับมิใช่เรื่องง่าย
เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอเตรียมความพร้อมอยู่ตลอด สะสมพลังอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้จึงเป็นเวลาเริ่มเก็บเกี่ยว
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอจะพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวมเร็วยิ่ง
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เตะตาเกินไป จะมากจะน้อยเขาก็ต้องจำกัดให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
หลังจากพลังฝึกปรือของเขาล้ำลึกขึ้นทุกวัน จนผู้อื่นค่อยๆ เคยชินกับความระดับพลังอันน่าตกใจของเขา การควบคุมนี้ก็เริ่มถูกละเลย
เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพัก รอบๆ ตัวมีปราณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่ขมุกขมัว
ส่วนด้านล่างปราณบริสุทธิ์ กลับล้อมรอบไปด้วยกลุ่มปราณที่ไม่ชัดไม่จาง ไม่ดำไม่ขาว ไม่เย็นไม่ร้อน ยากจะอธิบายอยู่ชั้นหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอลืมสองตาขึ้น ลมหายใจมั่นคงยิ่ง
ขณะที่หายใจเข้าออก กลุ่มปราณขมุกขมัวที่ปกคลุมอยู่รอบตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งเย็นยะเยือก ทั้งร้อนแผดเผา ปรากฏสายฟ้า ภาพผืนดิน และก่อเกิดพายุอย่างต่อเนื่อง
เมล็ดความโกลาหลที่อยู่ตรงจุดตันเถียนของเยี่ยนจ้าวเกอพลันขยับขึ้นลงเช่นกัน
เขาเป่าลมเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทำเอากลุ่มปราณขุ่นมัวรอบกายเริ่มกระจัดกระจายไป
ในร่างกายของเขาคล้ายกับมีปราณกลุ่มหนึ่งกำลังพัดลงบนเมล็ดความโกลาหล จากนั้นเมล็ดเม็ดนี้ก็พลันแตกออก
ขณะนั้นคล้ายกับก่อเกิดสรรพสิ่งมากมายขึ้นจากสิ่งที่ยากจะอธิบาย
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกกดทับจนถึงขีดสุด ทำให้สูญเสียรูปร่าง ยุบกลายเป็นจุดเดียว ก่อนจะขยายตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เวลาคนอื่นฝึกฝน เมื่อเมล็ดวิญญาณแตกหน่อ จะก่อให้เกิดญาณวรยุทธ์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
อย่างเช่น วิชาเอกพิสุทธิ์ของเขากว่างเฉิง จะกลายเป็นท้องฟ้าไร้ขอบเขต
ลมปราณสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จะกลายเป็นพระอาทิตย์สีทอง
ปรากฎการณ์เหล่านี้ หลังจากจอมยุทธ์ฝึกพลังสำเร็จเกิดเป็นญาณวรยุทธ์ ก็มักจะมีลักษณ์คล้ายกัน
ทว่าการแตกหน่อเมล็ดวิญญาณของเยี่ยนจ้าวเกอกลับแตกกต่าง มิได้เกิดปรากฏการณ์อย่างเป็นรูปธรรม เพียงปรากฏภาพขมุกขมัว
ครั้นหายใจออกครั้งหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็สูดหายใจเข้าลึกจนเต็มปอดอีกครั้ง
ภาพอันขุ่นมัวนั้นพลันหายไป กลายเป็นท้องฟ้ากระจ่างใสอีกครั้ง เหมือนกับวิชาเอกสุทธิ์ดั้งเดิมของกว่างเฉิง หลังจากเลื่อนสู่ขั้นซ่อนจิตระยะท้าย
เหมือนดั่งคำที่ว่า มีหนทางน้ำย่อมไหลไป บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุระดับมหาปรมาจารย์ขั้นที่สาม ขั้นซ่อนจิตระยะท้ายได้สำเร็จ ห่างจากขั้นกำเนิดญาณเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ผู้อื่นต้องเจออุปสรรคต่างๆ แต่เรากลับสะดวกโยธิน
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปด้านข้าง
เตาผลึกหินชั้นในตรงนั้นทำงานอย่างเงียบๆ เยี่ยนจ้าวเกอตบข้างเตาเบาๆ เตาผลึกหินชั้นในพลันหยุดทำงาน ฝาเตาเปิดออก แสงสว่างสีทองสาดออกมาราวกับหยาดพิรุณแห่งแสง
ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอส่งผลให้พิรุณสีทองอร่ามรวมตัวกันกลายเป็นลำแสง ก่อนจะพุ่งสู่ใจกลางฝ่ามือของเขา
ชายหนุ่มแบมือ ผลึกน้ำแข็งสีทองหลายเม็ดปรากฏขึ้นบนมือ
ผลึกน้ำแข็งเหล่านี้เดิมทีเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต แต่หลังจากผ่านการหลอมแล้ว กลับกลายเป็นสีทองอร่าม
เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา ปราณขุ่นมัวในจุดตันเถียนชี่ไห่พลันกระจายออก ปรากฏเป็นเมล็ดสีแดงเพลิงเม็ดหนึ่ง
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของสารจำเป็น หลังจากที่ฝึกคัมภีร์ทำลายสวรรค์เป็นผลสำเร็จ
มือซ้ายที่ว่างเปล่าของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที ลวดลายเปลวเพลิงสีแดงหลายสายปรากฏขึ้นบนผิว ก่อนจะแผ่กระจายไปรอบๆ ฝ่ามือขวาของเขา
ลวดลายนั้นคล้ายเปลวเพลิงกำลังเผาไหม้ ควันไฟลอยขึ้นบนผิวของเยี่ยนจ้าวเกอ กลายเป็นไอร้อนปะทะใบหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอมิได้จงใจระเบิดพลัง ก็มีสภาวะทำลายสวรรค์ออกมาจากด้านใน รุนแรงและบ้าคลั่งยิ่ง
ครั้นมือซ้ายอยู่ในลักษณะเช่นนี้ มือขวาของเขากลับสั่นไหวเบาๆ ผลึกน้ำแข็งสีทองที่แฝงความเย็นเยียบลอยออกมา กลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงบนฝ่ามือซ้ายของตนเอง
พริบตานั้น แสงสีทองปกคลุมจนทั่วห้องพัก
ไอความเย็นอันยิ่งใหญ่แผ่กระจายออกมา แทบจะเปลี่ยนให้ห้องกลายเป็นถ้ำน้ำแข็ง
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเหมือนสูญเสียแขนซ้ายของตนเองไปในชั่วขณะนั้น
ความเย็นเยียบคมกริมดังมีด แผ่กระจายตามเส้นชีพจรของมือซ้ายไปยังจุดตันเถียน เป้าหมายคือเมล็ดไฟสีแดงเม็ดนั้น คล้ายกับต้องการทำลายให้สิ้นจึงจะยอมหยุด
เขาพยักหน้าอย่างพอใจ ปราณจิตราในร่างกายเปลี่ยนแปลงสู่ความเย็นยะเยือกทั้งหมด ส่งผลให้เมล็ดไฟสีแดงหายไป
จากนั้นควาวมเย็นที่แผ่กระจายในเส้นชีพจรพลันหยุดลง เพราะถูกความเย็นในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนดูดกลืนจนสิ้น
“อาคมน้ำแข็งปราบมารได้ผลไม่เลว” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ก่อนจะเก็บผลึกน้ำแข็งสีทองทั้งหลายขึ้นมา
หลังจากเก็บเสร็จแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปยังปากเตาหลอมผลึกหินชั้นใน ก้มหน้ามองไปด้านใน
ด้านในเตาผลึกหินชั้นใน มีน้ำแข็งย้อยที่เหมือนกับง้าวสั้นเก้าแท่งตั้งนิ่งอยู่
ชายหนุ่มงอนิ้วเคาะน้ำแข็งย้อยแท่งหนึ่งในนั้น ครั้นตรวสอบดูรอบหนึ่งแล้ว เขาก็พึมพำกับตัวเอง “ยังไม่ดีพอ”
ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อาหู่ก็เคาะประตูอยู่ข้างนอก
เยี่ยนจ้าวเกอให้อาหู่เข้ามา เขาพบว่าสีหน้าของอาหู่เคร่งขรึมอยู่หลายส่วน “คุณชาย เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ไว้ ปีศาจอัคคีเคลื่อนไหวแล้ว อีกทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน มีปีศาจอัคคีที่แข็งแกร่งเข้ามายังมหาอำนาจแปดพิภพมากกว่าหนึ่งตัว”
เขาได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ผู้คุมหอคลื่นโหมกับเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ น่าจะถึงนอกทะเลตะวันออกแล้วกระมัง”
……………………………..