หลินโจวแบมือฝ่ามือของตนออก ไข่มุกวิเศษสีม่วงขนาดเท่าไข่ไก่เม็ดหนึ่งปรากฏอยู่กลางฝ่ามือเขา ส่องประกายแสงแวววาว
ไข่มุกวิเศษสีม่วงลอยขึ้นสู่อากาศด้วยตัวของมันเอง ก่อนจะหมุนวนโคจรล้อมรอบหลินโจว เผยลมปราณที่สั่นไหวจิตใจออกมาจากข้างใน
นี่ก็คือเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่กลายรูปมาแล้ว ซึ่งการุณยบุรุษเก็บสะสมเอาไว้ในตอนนั้น
หลินโจวเก็บเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างลักษณะเป็นไข่มุกวิเศษสีม่วง สุดท้ายมองแดนมายาแสงเงาแวบหนึ่ง
ในแดนมายามองไม่เห็นภาพของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่แล้ว มีเพียงเปลวเพลิงทั่วท้องฟ้า หินหนืดพวยพุ่ง
ทันใดนั้น แกนกลางค่ายกลวิญญาณที่หลินโจวอยู่ก็เริ่มพังทลายลง
ครึ่งฟากของเปลวเพลิงนั้น มีเพลิงลุกโชนที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยการประคับประคองน้ำแข็งหนาวเหน็บของอีกครึ่งฟากหนึ่งทั้งหมด
มุมปากของหลินโจวเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ เขาย่ำเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหยียบย่ำไปบนอักขระค่ายกลศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณ จนอักขระค่ายกลแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทั้งค่ายกลวิญญาณล้วนเริ่มไม่มั่นคง พื้นที่ครึ่งฟากน้ำแข็งหนาวเหน็บนั้นก็เริ่มพังทลายยับเยินเช่นกัน
จุดนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ส่งผลกระทบไปทั่วสุสานที่พักอาศัยเดิมของการุณยบุรุษ ไม่เพียงแต่โลกหินหนืดใต้พื้นดินที่เป็นที่ตั้งของโลงศพจริงจะโกลาหลอลหม่านเท่านั้น วังน้ำแข็งด้านบนก็คล้ายฟ้าถล่มดินทลายเช่นกัน!
พื้นที่ที่รอบนอกสุดที่เขาวงกตหมอกเย็นปกคลุมอยู่ หมอกเย็นเหมือนกับกระแสน้ำโหมซัดสาดอย่างไรอย่างนั้น กระสับกระส่ายอีกทั้งยังร้อนรน
ภายในห้องตั้งโลงศพเทียมนี้ ด้านในโลงน้ำแข็งหนาวเหน็บนั้น พลันส่องประกายเจิดจ้าอีกทั้งยังสว่างไสวแวววาว เล่ห์กลที่วางเอาไว้ภายในเริ่มทำงาน พลังทำลายล้างเริ่มต้นกระจายออกไปทั่วสารทิศ
เปลวเพลิงรุนแรงในโลกแห่งหินหลอมเหลวใต้พื้นดิน กับวังน้ำแข็งด้านบนพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง ยิ่งเกิดผลที่เชื่อมประสานหลอมรวมกัน
ค่ายกลวิญญาณที่การุณยบุรุษวางเอาไว้ เริ่มเลวร้ายลงทั้งหมดจนพังทลาย ค่ายกลที่เดิมทีโคจรอย่างเสถียรมั่นคง ราวกับคล้ายจะบ้าคลั่งในท้ายที่สุด ระเบิดปะทุพลังอันน่าหวาดผวาออกมา
น้ำแข็งและเพลิงผสมผสานเข้าด้วยกัน คล้ายกับนรก
หลินโจวก็ไม่กล้าหยุดอยู่ต่อไปเช่นกัน เขาถอยร่น หลีกหนีค่ายกลวิญญาณ ใช้ประโยชน์จากพลังอันมั่นคงของค่ายกลวิญญาณช่วงสุดท้ายก่อนที่ใกล้จะพังทลาย เปิดทางสัญจรให้ตนเองถอยกลับออกไปบนพื้นดิน
ส่วนโลกหินหลอมเหลวใต้พื้นดินในขณะนี้ ในแม่น้ำหินหลอมเหลว หินยักษ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ยืนอยู่ได้เริ่มแตกกระจายไปแล้ว
เพลิงลุกโชนเหินบิน หินหลอมเหลวม้วนกลับ ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับโลกถล่มทลาย
อาหู่อ้าปากตาค้าง “ไม่ได้กระทบกระเทือนโลงศพเลย เพียงแค่หยิบเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปเท่านั้น ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอพ่นลมหายใจออกมายาวๆ “ผ่านศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณไป ก็ทำให้ค่ายกลวิญญาณเลวร้ายลงได้แล้ว”
“พลังที่เหมือนกับภัยธรรมชาติเช่นนี้ มหาปรมาจารย์มากมายก็ไม่สามารถต้านทานได้เช่นกัน!” สีหน้าอาหู่ดูไม่สู้ดี
ชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ “เตรียมการพร้อมสรรพย่อมไม่มีภัยพิบัติ คำโบราณว่าไว้ไม่ลวงหลอก”
ขณะที่กล่าวอยู่นั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นมือซ้ายของตนออกมา บนข้อมือซ้ายผูกเชือกเอาเอาไว้เส้นหนึ่ง บนเส้นเชือกมีผลึกแก้วสีแดงดุจเพลิง รูปร่างสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน คล้ายกับกระสวยทอผ้าเล็กๆ อันหนึ่ง
เขาถอดมันออกมา แล้วกรอกปราณจิตราเข้าไปภายใน ปริมาตรผลึกแก้วเล็กๆ พลันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทันที กลายเป็นยาวสองฉื่อ ความหนาขนาดเท่าแขน
นั่นคือกระสวยแหวกพิภพที่เยี่ยนจ้าวเกอหลอมสร้างเองกับมือ!
เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วลงไปบนกระสวยแหวกพิภพเบาๆ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาวุธวิญญาณระดับล่างทั้งสองชิ้นที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติไม่สามารถส่งผลใดๆ ได้เลย ทว่าของสิ่งนี้กลับทำได้”
“ผจญภัยสำรวจหาของล้ำค่า จะอยู่ที่จวนหรือออกเดินทางก็ต้องเตรียมการสิ”
กระสวยแหวกพิภพที่มีความยาวสองฉื่อ ขยายเป็นใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นก้อนผลึกกระสวยยาวที่มีขนาดเท่าเรือลำเล็ก
อาหู่มองตรงไปวูบหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอคว้าเขาไว้ แล้วหย่อนกายลงไปในกระสวยพร้อมกัน
ชั่วขณะถัดมา กระสวยแหวกพิภพก็กลายสภาพเป็นลำแสงสีแดงเพลิง หย่อนลงไปในแม่น้ำหินหนืดด้วยตัวมันเอง
ครั้นกายอยู่ในกระสวยแหวกพิภพ อาหู่ถึงได้ประคองคางของตนที่หวิดจะตกลงพื้นกลับสู่ตำแหน่งเดิม มองๆ ตรงนั้น จับๆ ตรงนี้ “คุณชายขอรับ นี่ก็คือ…ผลจริงๆ ของกระสวยแหวกพิภพใช่หรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “กระสวยแหวกพิภพ เห็นชื่อก็คิดโยงไปถึงความหมายของมัน เจ้าเข้าใจว่าใช้ทำอะไรเล่า”
อาหู่ลูบหลังศีรษะ “ข้าเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้เบิกทางหรือไม่ก็สำรวจเส้นทาง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถบรรทุกคนได้ขอรับ”
“พูดว่าเบิกทางหรือไม่ก็สำรวจเส้นทาง จริงๆ แล้วก็ไม่นับว่าผิดนัก” เยี่ยนจ้าวเกอเงยศีรษะมองขึ้นไป มีก้อนผลึกบางๆ กั้นอยู่หนึ่งชั้น หินหนืดเพลิงลุกโชนโหมซัดสาดทำร้าย จนเหมือนกับว่าสามารถทำลายกระสวยแหวกพิภพได้ตลอดเวลา
เขาจุ๊ปากชมเชย “ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ยังมีภัยอันตรายอยู่บ้าง หากระยะเวลานานจนเกินไป กระสวยแหวกพิภพก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้เช่นกัน”
อาหู่ตื่นตกใจ ขณะที่เขากำลังจะกล่าวถามว่าควรทำอย่างไร ครั้นผ่านก้อนผลึกโปร่งแสงไปแล้ว ก็เห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของภาพฉากเบื้องหน้า แสงเพลิงสลัว ความมืดมิดทั่วทั้งผืน
เมื่อหันศีรษะกลับไปมอง ก็เห็นได้ว่าหินหนืดเพลิงลุกโชนสีแดงก่ำ ไล่ตามติดอยู่ด้านหลัง
ที่แท้กระสวยแหวกพิภพก็เข้าไปภายในชั้นหินลึก หลีกหนีโลกแห่งเพลิงลุกโชนนั่น ทิ้งเพลิงลุกโชนและหินหนืดเอาไว้ด้านหลัง
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เคราะห์ดีที่เดิมทีมันก็ไม่ใช่สิ่งของที่นำมันมาป้องกันกายโดยเฉพาะ แต่มีไว้ใช้ตีฝ่าวงล้อม หาทางหนีทีไล่ต่างหาก เพียงแต่ว่าผ่านการเคราะห์ครั้งนี้แล้ว ปราณดั้งเดิมของกระสวยแหวกพิภพย่อมต้องเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้มีเตาผลึกหินชั้นในมาหลอมซ่อมแซมอีกครั้ง แต่หากต้องการให้มีประสิทธิผลที่ดีเช่นนี้ ก็ต้องรอช่วงระยะเวลาหนึ่งเช่นกัน”
ขณะเยี่ยนจ้าวเกอกล่าว เขาก็มองไปด้านหน้าอย่างใจลอยอยู่บ้าง
ตอนนี้เองในที่สุดอาหู่ก็ถอนใจ ใจที่ลอยอยู่กลางอากาศได้กลับลงมาอีกครั้งแล้ว
ครั้นหลุดพ้นจากอันตรายได้อย่างปลอดภัย สมองของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นเป็นธรรมดา ทว่าก็ยังกล่าวกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นได้ว่า “คุณชาย เจ้าหลินโจวนี่แสบนัก!”
เยี่ยนจ้าวเกอหยักไหล่ “การแย่งชิงเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต่างก็อาศัยกลอุบาย โดยปกติแล้ว เมื่อได้รับเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ จะจากไปเลยก็ได้ ก่อนหน้าไม่ได้คบค้าสมาคมโดยตรงใดๆ ไม่ได้โกรธแค้นชิงชัง ก็ไม่จำเป็นต้องจัดการผู้แข่งขันให้ไปอยู่ที่ที่ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้”
“เพียงแต่สถานการณ์ของข้ามีความพิเศษเล็กน้อย ทั้งยังไม่ยกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์เป็นพันธมิตร เขาไร้พรมแดนทำรากฐานของวิชากำเนิดสายฟ้ารั่วไหลออกไปอยู่หลายส่วน ตำหนักอัสนีสวรรค์รู้ว่าเป็นความคิดของข้าที่ให้เขาไร้พรมแดนไปปล้นหยกหิ่งห้อยสายฟ้า แน่นอนว่าพวกเขาปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสังหารข้า”
“ปัจจุบันพันธมิตรภูผานภาวารี สามพิภพที่สำนักเราอยู่ ส่วนใหญ่ได้ฉีกหน้าพันธมิตรอัคคีอัสนีซึ่งก็คือตำหนักอัสนีสวรรค์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว หลินโจวคือผู้สืบทอดตำหนักอัสนีสวรรค์ หากเขาสังหารข้า กลับไปตำหนักอัสนีสวรรค์ไม่เพียงไม่ถูกลงโทษเท่านั้น ยังได้บำเหน็จอีกชิ้นอย่างไรเล่า”
เสียงเยี่ยนจ้าวเกอทุ้มต่ำลง ในดวงตาทั้งสองทอประกายความแวววาวที่แฝงความไม่ชัดเจนบางอย่างไว้ “บางทีอาจจะยังมีเหตุผลที่ส่วนตัวยิ่งกว่าอยู่ เขาหวังว่าจะกำจัดการมีอยู่ของข้ากระมัง”
อาหู่แยกเขี้ยวยิงฟัน “แต่ความเร็วของเขาจะรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน พวกเราไล่ตามเขาไม่ทันตลอดทาง ตั้งแต่ค่ายกลวิญญาณเริ่มทำงาน จนพวกเราเข้าสู่ค่ายกล แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ใช้เวลายาวนานเท่าไรนี่ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างไม่ประหลาดใจ “ไม่แน่ว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าอย่างไรเล่า”
เขายื่นมือทั้งสองออกมา ยันบนหัวกระสวยแหวกพิภพไว้ แล้วกรอกปราณจิตราของตนเข้าไป
ทิศทางที่กระสวยแหวกพิภพรุดหน้าไป กำลังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อาหู่มองมาด้วยความสงสัย “คุณชายขอรับ”
ชายหนุ่มหลับตาทั้งสองข้างลง เพิ่มจิตสัมผัสของตนจนสูงสุด “การุณยบุรุษเลือกเขาหิมะพันผูกบูรพาเพื่ออยู่อย่างสันโดษโดยเฉพาะ อาจจะยังไม่มีเหตุผลอื่นๆ เจ้ายังจำลายมือที่เปลี่ยนรูปมาจากเพลิงบนโลงหิน ที่ผ่านไปเป็นเวลานานก็ไม่กระจายหายไปได้หรือไม่”
อาหู่กล่าวตอบ “เหมือนจะเป็นคำว่า ‘เสียดายนิ่งนัก’ มีความหมายว่าเสียใจยิ่งขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าก่อนที่การุณยบุรุษจะสิ้นลมกำลังเสียดายสิ่งใดอยู่”
“เสียดายตนเองที่แม้จะได้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์มา แต่กลับยังต้องอยู่อย่างสันโดษหลบๆ ซ่อนๆ เปราะฝุ่นไปพร้อมกับของล้ำค่าอย่างนั้นหรือขอรับ” อาหู่เกาศีรษะ กล่าวถามด้วยความลังเล
ทันใดนั้น เยี่ยนจ้าวเกอหลับตา และยกมือขึ้นวาดบนกระสวยแหวกพิภพอย่างรวดเร็ว ภาพลวดลายที่วาดออกมา คล้ายคลึงกับค่ายกลวิญญาณที่การุณยบุรุษวางเอาไว้อย่างคาดไม่ถึง
“คำกล่าวของเจ้า เป็นความเป็นไปได้แบบหนึ่ง เพียงแต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกแบบหนึ่งเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เสียดายที่ตนเองมีความมุ่งมาดปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จ มีแผนการที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ แต่อายุขัยกลับหมดสิ้นแล้ว ทำได้แค่เพียงทิ้งความเสียดายเอาไว้”
การเดินทางของกระสวยแหวกพิภพเกิดความเปลี่ยนแปลงตามการเกิดของลวดลายอย่างเห็นได้ชัดเจน รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านพักใหญ่ เบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ก็พลันส่องสว่าง ใต้ปฐพีอันมืดมิดก็พลันสว่างไสวอย่างฉับพลัน!
………………..
Related