สถานการณ์ทางด้านเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นแน่นอนแล้ว บัดนี้ต่อให้ความลับรั่วไหลก็มิสำคัญ
ถึงแม้ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะทราบเรื่อง ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ย่ำแย่พออยู่แล้ว
ส่วนความคิดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่อื่นๆ ทั้งหลาย นอกจากเขาไร้พรมแดนที่อาจจะขุ่นเคืองอยู่บ้างแล้ว อันที่จริงก็จะไม่ได้รุนแรงอะไรนัก
ในท้ายที่สุด เขากว่างเฉิงที่ยืนบนป้อมปราการเฝ้าสังเกตฝ่ายอื่นต่อสู้กันในการทดสอบแห่งจันทรามาโดยตลอด สุดท้ายก็มีสตรีแห่งจันทราที่นับว่าเป็นของตนเสียที ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราเท่านั้น
ท้ายที่สุดมงกุฎจันทราจะตกเป็นของผู้ใด ก็ยังต้องดูผลการแข่งขันชิงชัยของสตรีแห่งจันทราจากแต่ละสำนัก
ฉะนั้นผู้ที่ยิ่งชวนให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นทั้งหลายต้องหลีกเลี่ยง ตั้งแต่แรกเริ่มจนสุดท้ายยังคงเป็นเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงผู้ซึ่งล่าช้าไปมิน้อย ทั้งเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง ดูจากสถานการณ์แล้ว ยากยิ่งที่จะมีความน่าเกรงขามเป็นธรรมดา
หากกล่าวอย่างมิเกรงใจล่ะก็ ให้นางไปเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สามเมื่อครึ่งปีก่อน เป็นไปได้มากว่าผลสุดท้ายนางจะเป็นอันดับสุดท้าย
ถึงขั้นที่ต่อให้ครึ่งปีหลังไปเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สี่ เกินกว่าครึ่งก็ยังคงต้องวิ่งตามอยู่เช่นกัน
นี่มิเกี่ยวกับพรสวรรค์และความปราดเปรื่องของเฟิงอวิ๋นเซิง แต่เป็นเพราะนางเริ่มต้นล่าช้ากว่าคนอื่นๆ มากจนเกินไป ยากที่นางจะเทียบเคียงเมิ่งหว่านและคนอื่นๆ ได้
กระนั้น นี่ล้วนเป็นคำพูดสำหรับสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามกับปกติ…
ดังนั้นที่หลินโจวคาดเดาเรื่องที่เฟิงอวิ๋นสามารถฟื้นฟูจันทรากายได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะนำข่าวคราวไปเปิดเผยให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่น ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจมากนักแต่อย่างใด
เทียบกับแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอสนใจว่าหลินโจวรู้เรื่องได้อย่างไรมากกว่า
เพราะนี่หมายถึงความเป็นไปได้แบบหนึ่ง ว่าหลินโจวคิดแผนการที่ใช้อาคมหยินหยางส่งเสริมอานุภาพในการบ่มเพาะสตรีแห่งจันทราได้เช่นกัน
เช่นนี้แล้ว สตรีแห่งจันทราของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อัสนีพิภพก็จะแข็งแกร่งผงาดขึ้นมา
เรื่องราวเกี่ยวพันกับมงกุฎจันทราเช่นนี้ ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นพันธมิตรต่อกัน หลินโจวและตำหนักอัสนีสวรรค์ก็คงมิใจดีบอกกล่าวสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรเสีย เมิ่งหว่านเองก็เป็นสตรีแห่งจันทราที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้แล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหากหลินโจวครุ่นคิดวิธีออกมาแล้ว เช่นนั้นเขาจะทำให้ล่วงลุได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทดลองวัตถุดิบที่ตกทอดมาจากก่อนวิกฤตการณ์ หรือเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทานของเขาที่ทำให้คิดวิธีออกมาได้ หากมีเพียงเขาเพียงคนเดียวที่รู้ เช่นนั้นจริงๆ แล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังมิค่อยกังวลเท่าใดนัก
กระนั้นหากหลินโจวได้วิธีการจากทางอื่น เช่นนั้นก็หมายความว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะได้รับวิธีการเช่นเดียวกัน
เดิมเมิ่งหว่านที่รุดหน้ามากที่สุด หากพัฒนาฝีมือให้เพิ่มสูงขึ้นอีกก้าว เช่นนั้นแม้แต่เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ปวดศีรษะอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
มงกุฎจันทราบัดนี้อยู่ในมือเมิ่งหว่าน นางฝึกฝนตนเองจนมีประสิทธิผลมากขึ้นอย่างยิ่งยวดแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอลูบไล้คางของตนเองซ้ำไปซ้ำมา เอ่ยกับอาหู่ว่า “ช่วงนี้รวบรวมข่าวสาร ระมัดระวังสตรีแห่งจันทราของสำนักศักดิ์สุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ให้มากขึ้นหน่อย”
อาหู่ยิ้มอย่างซื่อตรง “ขอรับ คุณชาย”
บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่มารวมพลกันอยู่ที่เขาหิมะพันผูกบูรพา เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่จึงเคลื่อนกายย้อนกลับทันที
มินานนัก ฝั่งเขาไร้พรมแดนก็ได้รับข่าวคราว ทราบว่าศิษย์เขากว่างเฉิงใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำพุวิเศษเมฆหยินหยางบนเขานิมิตเมฆฟื้นฟูจันทรากาย
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน เรื่องที่จะสกัดกั้นสังหารสตรีแห่งจันทราของอีกฝ่ายแน่นอนว่าไม่สามารถกระทำได้
พวกเขาทำได้เพียงหาข้ออ้างส่งเฟิงอวิ๋นเซิงออกจากเขานิมิตเมฆ ห้ามนางย่างกรายกลับเข้าไปอีกก็เท่านั้น
ถ้าหากเขากว่างเฉิงยืนกรานจะหยุดอยู่ต่อ เช่นนั้นเขาไร้พรมแดนก็ไม่อาจจะบีบบังคับขับไล่ได้ และจะใช้โอกาสนี้คืนไมตรีจิตที่เยี่ยนจ้าวเกอฟื้นคืนสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำ ณ เขานิมิตเมฆเสียให้สิ้น นี่เป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาสามารถยอมรับได้เช่นเดียวกัน
ทว่าฟู่เอินซูที่ได้รับการเรียกตัวจากเยี่ยนจ้าวเกอได้ทันกาล นางจัดการเฟิงอวิ๋นเซิงให้สำเร็จงานสุดท้ายจนเสร็จสิ้นเสียตั้งนานแล้ว
ขณะนี้เผชิญหน้าคนของเขาไร้พรมแดน นางจึงมิทุกข์มิร้อน จิตใจมั่นคงเป็นอิสระ พาเฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิงกล่าวลา กลับนภาพิภพอย่างว่องไวหมดจด
ผลลัพธ์นี้ดูเหมือนจะมิเลว แต่กลับทำให้ผู้คนของเขาไร้พรมแดนมีความรู้สึกกลัดกลุ้มชนิดที่ต่อยหมัดออกไปในพื้นที่ว่างเปล่า
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับข่าวคราวแล้วเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจปิดบังความสามารถชั่วคราว ดังนั้นดูจากลักษณะภายนอกจึงมองความผิดปกติอันใดมิออก
ถึงกระนั้นสถานการณ์ความเป็นจริงภายใน คิดดูๆ แล้วมิสงบนิ่งแต่อย่างใด
ขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นเซิงแพร่ไปทั่วทุกหนแห่ง ข่าวที่หลินโจว ศิษย์สืบทอดตำหนักอัสนีสวรรค์ เชี่ยวชาญวิชาคมเชือก วิชาลับเมืองทะเลมรกตก็กำลังแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้าเช่นกัน
เมืองทะเลมรกตพลันอื้ออึงเกรียวกราว แม้แต่ทางด้านตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ตื่นตะลึงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
บริเวณเขตแดนติดต่อกันของอัสนีพิภพกับวารีพิภพ ทั้งสองฝ่ายที่เดิมทีปะทะกันอย่างไม่หยุดหย่อน ก็มีความรู้สึกสถานการณ์ตึงเครียดพร้อมปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้นเรื่องของเขานิมิตเมฆยุติเรียบร้อย เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้กลับไปที่นั่น แต่เดินทางอ้อมลงทางใต้ไป
วันเวลาของการประชุมฝ่านภาครั้งใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ชายหนุ่มเตรียมเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เช่นกัน
ในฐานะการประชุมกลุ่มพันธมิตรของบุตรสวรรค์คนโปรดรุ่นเยาว์แห่งโลกแปดพิภพ กลุ่มผู้มากความสามารถรวมตัว แต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
จากธรรมเนียมปฏิบัติแต่กาลก่อน ตามปกติแล้วจะหมุนเวียนให้ทั้งหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่สับเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ
การประชุมฝ่านภาคราวนี้ หากยึดตามลำดับการหมุนเวียน ตำหนักอัสนีสวรรค์จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันตึงเครียดกว่าก่อนหน้าไกลโข เขากว่างเฉิง เขาไร้พรมแดน และเมืองทะเลมรกตต่างก็ไม่สามารถปล่อยให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ไปอัสนีพิภพ เช่นนั้นเหมือนกับปล่อยเนื้อเข้าปากเสือก็มิปานได้
ด้วยเหตุนี้ แผนการประนีประนอมสุดท้าย สถานที่การประชุมจึงกำหนดให้อยู่บึงพิภพ
หอคลื่นโหมมิฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตั้งแต่ตนจนจบ มิเอนมิเอียง หากพวกเขาเป็นเจ้าภาพ ไม่ว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักอัสนีสวรรค์ หรือเขากว่างเฉิง ทั้งสามสำนักล้วนสามารถวางใจได้
เพียงแต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หอคลื่นโหมก็รับประกันความปลอดภัยของแวดล้อมส่วนนอกเท่านั้น
คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า การประชุมฝ่านภาครานี้ กลิ่นดินปืนและกลิ่นคาวเลือด จักต้องเหนือกว่าปกติอย่างแน่นอน
การแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันยังคงมีอยู่ ทว่าผู้คนมิน้อย เกรงว่าเป็นการมุ่งเข้าสู่กระบวนการประลองชิงชัย ไปต่อสู้โจมตีศิษย์สำนักศัตรูจนพิกลพิการล้มตาย
ถึงแม้ว่าจะเป็นการประชุมฝ่านภาที่จัดขึ้น ณ บึงพิภพ กระนั้นหากต้องรุดหน้าไปบึงพิภพ ก็จะเป็นระยะทางที่ยาวไกลเป็นอย่างมาก
เขากว่างเฉิงหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่น นอกจากศิษย์เยาว์วัยที่เข้าร่วมการประชุมแล้ว ยังคงมียอดฝีมือชั้นสูงในสำนักนำคณะ
เพียงแต่ว่าคนออกสู้รบของเขากว่างเฉิงคราวนี้ ไม่ใช่ฟู่เอินซูแต่อย่างใด แต่เป็นบุคคลในระดับที่สำคัญยิ่งกว่า
ฟางจุ่น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวิหารปฏิบัติกิจ หนึ่งในสามวีรบุรุษกว่างเฉิง นำคณะมุ่งหน้าบึงพิภพด้วยตนเอง
เยี่ยนจ้าวเกอรู้อยู่แก่ใจดี ว่านี้หมายความว่าสำนักตนต้องการยกระดับการแลกเปลี่ยนเชื่อมสัมพันธ์กับหอคลื่นโหมขึ้นอีกขั้น
ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรหอคลื่นโหมจะเป็นกลาง เฝ้ารักษาบึงพิภพของตนอย่างรอบคอบเพียง มิข้องเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ทว่าบรรยากาศทั้งโลกแปดพิภพในปัจจุบันตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หอคลื่นโหมที่จัดอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก สำหรับเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ล้วนเป็นเรื่องที่มิง่ายที่จะมองข้าม
ดูจากภูมิศาสตร์แล้ว บึงพิภพมีเขตแดนติดกับอัคคีพิภพและวารีพิภพ
ฟางจุ่นยังคงมีท่าทางอ่อนโยน สะอาดสดชื่น สูงส่งงดงาม เขามองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ้มพลางกล่าวถาม “เห็นรายงานเรียกตัวของเจ้า อัสนีฟาดฟ้าคำรนคู่นั้นแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ ล้วนพ่ายแพ้ด้วยมือของเจ้าแล้วหรือ”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ
“เด็ดขาดทั้งดาบและกระบี่ ใช้พลังฝึกปรือระดับปรมาจารย์บำเพ็ญจนกลายเป็นอัสนีฟาดประสานฟ้าคำรน อีกทั้งยังทนทานกว่าจอมยุทธ์จากตำหนักอัสนีสวรรค์ทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง”
“น่าจะเป็นการพบโดยบังเอิญ ทำให้ปราณจิตราของเขาทรงพลัง ระดับความหนาแน่นเหนือคนรุ่นเดียวกันไปไกลโข”
“แน่นอนว่า ยังมีวิชาคมเชือกของเมืองทะเลมรกตอีก”
ฟางจุ่นกล่าวอย่างมิทุกข์มิร้อน “แต่กลับไม่รู้ว่าเขาศึกษาวิชาคมเชือกจนชำนาญได้อย่างไร”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ พอกล่าวถึงระดับพลังของฟางจุ่น สิ่งที่เป็นที่กังวลอันดับแรกยังคงเป็นเรื่องนี้ เนื่องจากอาจเกี่ยวข้องกับการพิพาทระหว่างทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความอ่อนด้อยหรือแข็งแกร่งของศิษย์เยาว์วัยอีกต่อไป
เทียบกันแล้ว แม้แต่หลินโจวบำเพ็ญจนกลายเป็นอัสนีฟาดประสานฟ้าคำรน แม้ว่าจะเป็นที่น่าตกตะลึงไปทั่วหล้า ความสำคัญก็ต้องทิ้งห่างอยู่หน่อยแล้วเช่นกัน
ฟางจุ่นมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้าไม่ได้กลับสำนักมาโดยตลอด การกระทำที่เขานิมิตเมฆของเจ้าก่อนหน้า บำเหน็จที่ควรจะได้ ครานี้นำให้เจ้าพร้อมกัน”
………………..
Related